สอนภาษาเยอรมัน Deutsch macht Spass.
สอน"ภาษาเยอรมัน"ตั้งแต่เบื้องต้น บร?
สถานที่สอน: 1.เอสพละนาดแคราย, เดอะมอลล์งามวงศ์วาน, บิ๊กซีติวานนท์, เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์
2. ร้านกาแฟ ร้านนั่งชิล หรือศูนย์การค้าบริเวณที่รถไฟฟ้า BTS และ MRT ผ่าน
**ไม่รับสอนตามบ้านนะคะ** ต้องขอโทษด้วยค่า
************************
สวัสดีค่ะทุกคน มีใครสนใจศึกษาภาษาเยอรมันกันบ้างเอ่ย?
ถ้าสนใจล่ะก็ ติดต่อมาได้เลยค่ะ
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวติวเตอร์สักนิดก่อนนะคะ
ชื่อ นุ่น ค่ะ เป็นเด็กสายวิทย์-คณิตฯ ศิษย์เก่
สวัสดีค่ะทุกคน 😊😊
ใกล้จะเลิกงานแล้ว หลังเลิกงานอย่าลืมแวะมาเรียนเยอรมันกัน นะคะ
ช่วงนี้แม้สถานการณ์ต่างๆ ที่เมืองไทย อาจทำให้หลายคนรู้สึกไม่มั่นคงใดๆ ในชีวิตเลย แต่อย่าลืมนะคะว่าสิ่งหลักที่ขับเคลื่อนชีวิตของเรามาจากในตัวของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นหัวใจที่เต้นอยู่ ร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ จิตใจที่ยังมีความรู้สึก สมองที่ยังคิดเรื่องต่างๆ ฯลฯ พลังการเริ่มต้นที่ดีและแท้จริงเริ่มจากภายใจตัวเราเองทั้งนั้นค่ะ สภาวะภายนอกไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม เราเป็นคนเลือกว่าเราจะรับสิ่งต่างๆ เข้ามาสังเคราะห์เป็นพลังงานที่ดี หรือ ความกังวล ให้กับตัวเอง
วิกฤตครั้งนี้เหมือนเป็นเบรคเล็กๆ ให้หลายท่านได้กลับมาค้นหาและค้นพบตัวเอง และได้ค้นพบความสามารถที่ไม่เคยรู้มาก่อน หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีไม่เคยทำมาก่อน วันนี้นุ่นเลยนำ Verben หรือคำกริยา ที่เหมือนคล้ายแต่ไม่คล้ายเลยสองตัวนี้มาฝากกันอีกครั้งค่า
v. entdecken (เอ็นทฺ-เด็คเคน) = eng. discover
หมายถึง ค้นพบ (สิ่งที่มีอยู่แล้ว) เช่น ค้นพบความสามารถใหม่ของต้นเอง หรือค้นพบอะไรที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ
เช่น Während der Sperrzeit habe ich mein neues Talent entdeckt.
(แวเรนดฺ แดรฺ ชแปรฺไซทฺ ฮาเบ่อะ อิคชฺ มายนฺ นอยเอส ทาเลนทฺ
เอ็นทฺเด็คทฺ.)
(eng. During the lockdown period, I've discovered my new talent.)
ระหว่างช่วงล็อคดาวน์ ฉันได้ค้นพบความสามารถใหม่ของตัวเองด้วยล่ะ
กรณีนี้คือเป็นความสามารถที่มีอยู่แล้วแต่เจ้าตัวไม่เคยรู้ตัวเพราะอาจไม่เคยได้มีโอกาสและเวลามาโฟกัสและลงมือทำอย่างเต็มที่ ทำนองนี้ค่ะ เช่นบางคนทำอาหารเก่งมาก แต่ไม่เคยได้มีเวลาทำ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าถ้าทำแล้วจะทำได้ดีขนาดนี้ พอเจอวิกฤตโควิดก็ทำขายเล่นๆ ปรากฏว่าอร่อยมาก ขายดีจนเหลือเชื่อ
ส่วนคำต่อไปคือ
v. erfinden (แอรฺฟินเดน) = eng. invent
หมายถึง คิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น หลอดไฟ หรือหน้ากากอนามัยที่ใส่แล้วสามารถกินอาหารไปด้วยได้อย่างสบาย (^^?)
เช่น Er hat eine neue Art von Schutzmasken erfunden. Man kann beim Antragen normal essen. 😄😁
(แอรฺ ฮัท อายเน่อะ นอยเอ่อะ อารทฺ ฟอน ชุทซฺมาสเคน แอรฺฟุนเดน. มัน คัน ไบมฺ อันทราเกน นอรฺมาล เอสเซน.)
(He has invented a new kind of protective masks. One can eat normally while wearing.) 😁
เขาได้ประดิษฐ์คิดค้นหน้ากากอนามัยแบบใหม่ขึ้นมา เราสามารถกินได้ตามปกติแม้ใส่หน้ากากนี้อยู่ก็ตาม 😄😆
สนุกไหมคะ 😁😄😆😉 แล้วจะนำสาระดีๆ มาฝากกันเรื่อยๆ เลยค่า
ตอนนี้ก็ขอให้ทุกคนระวังรักษาตัวกันให้ดีนะคะ แล้วเราจะผ่านทุกสถานการณ์นี้ไปได้อย่างดีด้วยกันค่ะ :)
:)
Manchmal ist die Reise selbst nicht weniger schön als das Ziel.
(ม้านชฺ-มาล อิสทฺ ดี ไรเซ่อะ เซลบ์สฺทฺ นิคชฺทฺ เวนิเกอรฺ เชิวฺน อาลสฺ ดาส ทฺซีล.)
Sometimes, the journey itself is not less beautiful than the destination.
บางครั้งการเดินทางเองก็ไม่ได้งดงามน้อยไปกว่าจุดหมายปลายทางเลย :)
Das Foto ist mein eigenes. Das war ein Sonnenuntergang in 2016 von Vorne des Schiffs MS Nippon Maru auf dem Südchinesischen Meer.
รูปนี้เป็นรูปที่นุ่นถ่ายเองตอนไปเป็นตัวแทนเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ (SSEAYP) ปี 2559 ค่ะ :) ถ่ายจากด้านหน้าเรือนิปปอนมารูตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ตอนนั้นอยู่แถวทะเลจีนใต้ค่ะ
การเดินทางไปกับเรือเป็นเวลากว่า 40 วันในตอนนั้นทำให้เสพติดการเดินทาง 555 และได้เรียนรู้ว่า "บางทีการเดินทางก็งดงามไม่น้อยไปกว่าจุดหมายปลายทางเลย" เพราะตอนอยู่เรือดูเหมือนจะรักการเดินทางกลางมหาสมุทรกับเรือมากกว่าเวลาเรือจอดเทียบท่าซะอีก ><
ทำให้ได้รู้ด้วยว่า แม้พระอาทิตย์ตกดินที่มีทุกวัน ก็ยังไม่มีวันไหนเหมือนกันเลยสักวัน :)
เวลาเดินทางอย่ามัวจดจ่อแค่จุดหมายจนลืมมองวิวสวยๆ ระหว่างทางนะคะ :)
สวัสดีค่ะทุกคน 😊😊
สวัสดีค่ะทุกคนและสวัสดีเจ้าเพจ 😊☺️
ที่เงียบไปนี่ไม่ได้ไปไหนค่ะ ยังคงตอบแมสเสจอยู่เรื่อยๆ นะคะ
ช่วงนี้ครูพี่นุ่นกำลังหัดการ ฝึกจิตใจ ค่ะ
จิตใจ แท้จริงแล้วเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
ความคิดที่ดีและไม่ดี ความเคยชินที่ดีและไม่ดีต่างๆ ไปจนถึงการกระทำทั้งดีและไม่ดีของคนๆ นึง ถ้ามองดีๆ แล้ว ล้วนเป็นผลมาจากสิ่งที่อยู่ภายใน ที่เราเรียกว่า จิตใจ นี้ทั้งนั้น
จิตใจที่ได้รับการฝึกมาดี จะมีพลังในตัวเองที่จะเลือกคิด มอง ทำ และดึงดูดสิ่งที่มีประจุเดียวกับที่เราเลือก นั่นก็คือไม่ว่าเราเลือกทางที่ดีหรือไม่ดี เราจะเป็นคนกำหนดมันเองด้วยตัวเอง ไม่ใช่หลงไปโดยควบคุมตัวเองไม่ได้จึงได้ทำความดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นมา
มีประโยคนึงที่นุ่นเชื่อและขอนำมาเป็นข้อคิดแบ่งปันทุกท่านด้วยค่ะ คือ
Die Kraft von innen kann Wunder bewirken.
(ดี คราฟทฺ ฟอน อินเนน คัน [ฟ]วุนเดอรฺ เบเวียรฺเคน.)
The power from within can cause miracles.
พลังจากภายในสามารถสร้างปาฎิหาริย์ได้
บางทีสิ่งที่เราเห็นและเป็นอยู่ในชีวิต เช่นพฤติกรรมของคนอื่นต่อเรา สถานการณ์ เหตุการณ์ หรือความคิดและการกระทำของเราเอง มันเป็นเพียงผลจากเหตุในใจของเรา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ดังนั้นหากเราฝึกจิตใจ สร้างเหตุที่ดี ผลที่ออกมาก็สามารถเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือดีขึ้นได้ เพียงแต่ก็ต้องใช้ความอดทนและสม่ำเสมอ มากไปกว่านั้นคือ ความตั้งใจจริง
แต่มันก็คุ้มค่ามาก จริงไหมคะ ถ้าไม่เริ่ม ก็ไม่รู้ และอาจได้ผลหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ถ้าตั้งใจทำจริง ต่อให้ได้ผลหรือไม่ อย่างน้อยทุกสิ่งที่เราตั้งใจทำ มันก็ฝึกให้ตัวเราเองเป็นคนที่ดีขึ้น นี่ก็ถือว่า ได้ผลที่ดีเช่นกัน :)
การเรียนภาษาเองก็ได้ผลดีด้วยวิธีนี้เช่นกัน ที่นุ่นบอกได้เพราะนุ่นทำและเห็นผลมาด้วยตัวเองแล้ว เรียกว่าทดสอบมาแล้วและได้กับตัวเองจริงๆ และนุ่นเชื่อว่าวิธีนี้ให้ผลกับทุกเรื่องค่ะ
สวัสดีวันเสาร์ตอนดึกๆ ค่า
วันนี้จะมาคุยเรื่อง der Traumberuf
(ทรฺาอุม [ออกเสียงแบบ ท ทหารควบ ร เรือ ในคอ เป็นสระ เอา และปิดด้วยเสียง ม ม้า แบบรวบริมฝีปากปิดน่ะค่ะ] เบรูฟ)
dream job
หรือก็คือ อาชีพในฝัน ค่ะ
หลายคนอาจจะทราบตั้งแต่เด็กแล้วว่าอาชีพในฝันของตนเองคืออะไร พูดง่ายๆ ก็คือโตไปอยากจะเป็นอะไร อยากจะทำงานอะไร นั่นเอง
แต่หลายคนก็อาจจะตามหาตัวเองมาตลอดเกือบทั้งชีวิตเลยว่า ตัวเราเองชอบอะไร ถนัดอะไร และเหมาะจะทำงานอะไรหรืออาชีพอะไร
พอดีนุ่นไปเจอแบบฝึกหัดทดสอบอาชีพมา ซึ่งนุ่นลองทำแล้วรู้สึกว่าให้ผลตรงดี (อย่างน้อยก็สำหรับนุ่นน่ะนะคะ ^^) ทำได้ทั้งน้องๆ นักเรียน นิสิตนักศึกษา และบุคคลทั่วไป ทำงานแล้วก็ทำได้ค่ะ หรือเลิกทำงานแล้วก็ทำได้เช่นกันค่า เผื่อเจอทางดีๆ สายใหม่หรือสายที่รู้อยู่แล้วแต่ยังไม่กล้าเริ่ม :)
http://sixfac.eduzones.com/future/
ที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะน้องๆ นักเรียนหลายคนที่มาปรึกษา นักเรียนที่เคยเรียนด้วยกัน เพื่อนๆ ของนุ่นหลายคน หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ของนุ่นเอง ที่ทำให้รู้สึกว่า คนบางคนก็ไม่รู้จริงๆ จนถึงกับตั้งคำถามกับตัวเองว่ามีสิ่งที่ชอบหรือถนัดจริงๆ มั้ยนะ (ซึ่งนุ่นเชื่อว่าต้องมีค่ะ)
การทำความรู้จักตัวเอง แปลกดีที่มันมักไม่ง่ายแบบที่มันฟังดูเลย ทั้งที่เป็นตัวเราเองแท้ๆ แต่การรู้จักและเข้าใจตัวเองในหลายครั้งและบางเวลาก็เป็นสิ่งยากยิ่งกว่าการทำความเข้าใจคนอื่นหรือบทเรียนใดๆ เสียอีก
สิ่งนี้เกิดได้กับคนทุกวัยค่ะ บางคนทำงานมาจนจะเกษียณแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าตนเองชอบอะไร ที่ทำนี้เพื่อหาเลี้ยงชีพ และทำได้ดีเสียด้วย บางคนทราบตั้งแต่เด็กและมาทางสายนั้นเลย บางคนกว่าจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไรจริงๆ สลับสายไปมา อาจจะเสียเวลาไปบ้าง แต่กำไรว่าได้เรียนรู้ทักษะหลายแบบระหว่างทาง กลายเป็นมีความสามารถรอบด้านเลย หลายคนอยากทำอาชีพนึงเพราะพ่อแม่ทำ เห็นพ่อแม่แล้วรู้สึกเท่มาตลอด พอทำแล้วเกิดความภาคภูมิใจ รู้สึกเหมือนเป็นแบบพ่อแม่ที่เป็นไอดอลของตัวเองแล้ว แบบนั้นก็ดีไปอีกแบบ หรือน้องๆ นักเรียนหลายคนที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยในอีกไม่นานนี้แล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากเรียนอะไร หรือ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ วัยทำงานหลายๆ คน ที่ทำงานเพื่อเก็บเงินมาตลอด แต่ทำอะไรที่ทำได้ไปก่อน ไม่ได้ชอบในสิ่งนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
ที่จริง กุญแจหลักในการรู้จักและค้นพบตัวเอง ก็คือการสังเกตตัวเองทั้งความคิดและพฤติกรรมอย่างใส่ใจและสม่ำเสมอค่ะ หลายครั้งที่ตัวเราเองก็ให้ตัวช่วยและคำตอบอย่างไม่รู้ตัว ขอเพียงแค่เราสังเกตเห็นและเปิดใจ หรือบางคนอาจไม่มีสิ่งที่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสร้างไม่ได้ ยิ่งคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น "เป็ด" ที่หมายถึงทำได้ดีทุกอย่างแต่ไม่ถนัดหรือเด่นอะไรสักอย่าง แบบนี้ก็ไม่ใช่ไม่ดีนะคะ รอบรู้หลายด้าน ความสามารถหลากหลาย และสร้างได้ด้วยว่าอยากไปในด้านไหนให้สุด เพียงแต่ก็ต้องลงมือลงแรงกับมันอย่างจริงจัง
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างหนึ่งในการศึกษาไทย ซึ่งเห็นได้จากน้องๆ นักเรียนในปัจจุบัน ปัจจุบันมาสิบปีนิดๆ ได้แล้วค่ะ ตั้งแต่นุ่นเริ่มสอนภาษาเยอรมัน😁 หรืออาจจะเป็นมาตลอด เพราะเท่าที่จำได้ รุ่นนุ่นเป็นนักเรียนเองก็ยังเป็น คือ
การเข้าคณะที่ปรารถนา นั้นว่ายากแล้ว บางทีการรู้ว่าอยากเรียนคณะอะไรจริงๆ และจะทำอะไรต่อไปในอนาคตนั้นยากยิ่งกว่า เหมือนเด็กไทยเราไม่ได้ถูกฝึกมาให้คิด ให้รับผิดชอบชีวิตตัวเอง รู้ทางของตัวเอง ตั้งแต่ยังเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการเลี้ยงดูของที่บ้านหรือระบบการศึกษาการเรียนการสอนที่โรงเรียน เหมือนยังไม่เอื้อกับสิ่งเหล่านี้เท่าที่ควร นุ่นเองเคยประสบกับสิ่งนี้เหมือนกันตอนอยู่มัธยมปลาย คือถ้าถามว่าอยากทำอาชีพอะไร ไม่รู้จริงๆ นะคะตอนนั้น แต่ถ้าถามว่าชอบทำอะไร ถนัดอะไร และคณะไหนที่ใช่ตัวตนเรา อันนั้นตอบได้ชัดเจน แล้วสิ่งเหล่านั้นก็พานุ่นมาเป็นตัวนุ่นในวันนี้
แต่หลายคนอาจไม่ได้ตอบได้แบบนี้ หรือมีความชอบ ความถนัดอะไรที่โดดเด่นจนตัวเองเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ ยังมีน้องๆ นักเรียนหลายคนที่มีความคิดว่า วิชาที่เรียนอยู่สายของตนเองในโรงเรียนนี่มันยากเหลือเกิน วิชาคลาสสิคที่ถูกกล่าวถึงนี่ก็คือ เลข !!! 😅(ซึ่งเราช่วยอะไรท่านไม่ได้จริงๆ ตอนเราเรียนเราคะแนนดี แต่นั่นเพราะเพียร ตั้งใจจริง ต้องเข้าใจและไม่ยอมแพ้ เลยได้เกรดงามมาตลอด แต่ก็เข้าใจความทรมานและความยากของวิชานี้จริงๆ ถ้าไม่ใช่คนที่หัวเลขจริงๆ ต่อให้เก่งเกรดงามยังไงก็เคยผ่านความทรมานกับวิชาเลขมาแน่นอนค่ะ เชื่อเถอะ)
แล้วน้องๆ นักเรียนหลายคนที่รู้สึกว่าเลขมันทรมานเหลือเกิน ไม่ไหวแล้ว ก็มักจะปรากฏความคิดว่า "ลองหาวิชาอื่นที่คนสอบน้อยๆ เช่นภาษาเยอรมัน มาสอบแทนดีกว่า เผื่อคะแนนจะดีกว่าเลข"
ถ้าถามว่า แล้วคิดแบบนี้มันผิดหรือยังไง? ก็ไม่เชิงว่าผิดหรอกค่ะ เพราะก็มีคนทำได้และทำได้ดีมากมาหลายคนแล้ว นุ่นเองก็เป็นหนึ่งในนั้น 😄😆
แต่มันมีปัจจัยบางอย่างที่เราก็ต้องนำมาชั่งน้ำหนักไปด้วยค่ะ
อย่างเช่น ถ้าให้นุ่นยกเคสตัวเอง นุ่นเป็นเด็กสายวิทย์ฯ ไปแลกเปลี่ยนเยอรมันมา หนึ่งปีที่เยอรมันนั้นบวกกับการกลับมาติวPinnacle วันอาทิตย์เช้าห้องรวมกับอาจารย์อรนุชสองคอร์ส คือคอร์สรวมไวยากรณ์และเตรียมสอบ และทบทวนเอง นุ่นในตอนนั้นมีความรู้เยอรมันระดับจบ B1 แล้ว ตอนอยู่เยอรมันก็เรียนรู้รับมาเยอะจริงๆ ค่ะ เรียกว่าเคยเรียนด้วยวิธียากๆ ในสถานการณ์ที่บังคับมาแล้ว และผ่านมาได้อย่างดี ตั้งแต่นั้นเลยไม่สะทกสะท้านอีกแล้วเพราะรู้หลักในการเรียนภาษาแล้ว และมันใช้ได้กับทุกภาษาจริงๆ ซึ่งถ้ามองเรื่องของนุ่นโดยรวม ก็จะเห็นว่า แม้จะเป็นเด็กวิทย์ฯ แล้วอยากมาสอบเยอรมัน แต่มันไม่ใช่การเสี่ยงตายกับสิ่งที่ไม่รู้จัก เพราะข้อสอบแพทเยอรมัน ก็คือความรู้เยอรมันระดับจบ B1 ซึ่งนุ่นในตอนนั้นมีอยู่แล้ว และนุ่นก็ไม่ได้เอามาแทนเลข แต่ตั้งใจจะเรียนต่อเยอรมันในมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว มันเลยเป็นไปในทางเดียวกัน เรียกว่าเหมือนไหลลื่นไปตามทางของมันเอง
หรือนักเรียนของนุ่นหลายคนที่ก็เรียนสายวิทย์เหมือนกัน และมาด้วยความรู้สึกว่า พี่นุ่น หนูมีเวลาแค่ปิดเทอมใหญ่กับเทอมหนึ่งของ ม.6 ก็ต้องสอบแล้ว ความรู้เยอรมันเกือบศูนย์ เคสหนึ่งคือ เคยลงเรียนไว้ แล้วกะแค่มาเก็บชั่วโมงให้หมด แต่หลังจากเรียนกับนุ่นก็ได้รับแรงบันดาลใจ ตั้งใจจะเต็มที่ขึ้นมาจริงๆ แล้วก็เอาจริงด้วยกัน จัดเต็มจริงๆ ผ่านทั้งเวลาลำบาก แบ่งเวลาให้กับวิชาอื่น การสอบอื่นๆ จนในที่สุดน้องทำได้จริงๆ นุ่นดีใจกับน้องมากเหมือนสอบเข้าคณะนุ่นได้เองอีกครั้งเลย 😊 ส่วนเคสถัดมา น้องมาแบบนี้คล้ายๆ กัน แต่น้องเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาก่อน ได้ภาษาดัทช์ ซึ่งคล้ายกับเยอรมัน แต่นุ่นก็ได้รู้จากน้องนี่ล่ะค่ะ ว่าถ้าคนที่เป็นเยอรมัน ไปอ่านดัทช์ มันจะรู้เรื่องมากกว่าคนเป็นดัทช์แล้วมาอ่านเยอรมัน เพราะเยอรมันยากกว่า น้องเป็นคนที่นุ่นนับถือเรื่องวินัยอย่างมาก และมีความพยายามและการบริหารจัดการตัวเองอย่างดีเยี่ยม แต่ก็เป็นคนยืดหยุ่นและมองโลกในความเป็นจริง ใจดี น้องทำได้จริงๆ ทั้งที่เราไม่ค่อยได้มีเวลาปูพื้นกันเลย เรียนออนไลน์ และเน้นตะลุยสอบ และน้องทำได้จริงๆ เข้าคณะที่น้องต้องการได้ 😊หรือน้องๆ อีกหลายคน ที่มาแบบนี้
หรือก็มีน้องๆ อีกไม่น้อย ที่มาเคสนี้คล้ายๆ กัน แต่ทำไม่สำเร็จตามที่ต้องการ (แต่แน่นอนว่าได้คณะที่ดีๆ มีที่เรียนนะคะ) บางคนมาเรียนครั้งแรกแล้วถอดใจไปเลย บอกนุ่นตรงๆเลยว่า พี่คะ หนูคิดว่าไม่ไหวจริงๆ แบบนี้ก็ดีค่ะ จะได้เอาเวลานี้ไปเตรียมตัววิชาที่จะพึ่งพาคะแนนได้จริง หรือบางคนที่เรียนไปสักพัก แล้วโชคดีได้สอบตรง หลายคนถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่น้องมาขอบคุณ บอกว่าพี่ไม่ได้สอนแค่เยอรมัน แต่พี่เชื่อในตัวหนู ถึงหนูไม่ได้เอาเยอรมันสอบในคณะนี้เลย แต่หนูเอาแรงใจมาจากพี่นี่ล่ะ ไม่เคยมีใครเชื่อว่าหนูทำได้ ตัวหนูเองยังไม่เชื่อ แต่พี่เชื่อ และเชื่อมาตลอดจนหนูเชื่อพี่ว่าหนูทำได้ แปลกๆมั้ยคะ แต่มันจริง ☺️ แบบนี้นุ่นก็ดีใจกับน้องๆ มากๆ อาจจะมิชชั่นเยอรมันไม่คอมพลีท แต่นับว่ามิชชั่นหลักคอมพลีทแล้ว ☺️
ดังนั้นปัจจัยที่สำคัญคือ ความตั้งใจจริง แรงใจและความพยายาม ความถนัดของเราเองค่ะ การจะทำแบบนี้ได้ เราจะต้องชั่งใจและชั่งน้ำหนักมาดีแล้ว ว่าสามารถแบ่งเวลาและสมองไปให้วิชาอื่นๆ ที่ใช้สอบได้เหมือนกัน เพราะการเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ใช้แค่วิชาเดียว และเรายังต้องเรียนที่โรงเรียน มีงาน มีการบ้าน มีการสอบ มิดเทอม ปลายภาค สังคมและชีวิตส่วนตัวก็ยังต้องมี การพักผ่อนก็ต้องการ ถ้าเราคิดว่า เราจัดการบริหารสิ่งเหล่านี้ได้ดี มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงค่ะ
แต่ก็อย่าลืมนะคะว่าการตัดสินใจแบบนี้ มันก็หมายถึง
"การที่เรายอมเสี่ยงฝากชีวิตไว้กับสิ่งที่เรายังไม่รู้จัก และไม่รู้ว่าจะทำได้ดีหรือไม่ จะทำได้ดีกว่าสิ่งเดิมที่เรารู้จัก เรียนมานาน แต่ไม่ถนัด หรือไม่"
เราจะเอาความสำเร็จหรือล้มเหลวของคนอื่นมาตัดสินของตนเองไม่ได้ค่ะ เพราะคนละคนกัน เรื่องที่คนอื่นทำสำเร็จ เราอาจทำสำเร็จเช่นกัน ทำไม่สำเร็จ หรือทำได้ดียิ่งกว่า ก็เป็นได้ แต่เราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยนอกจากจะลองลงมือทำเพื่อชิมลาง ถ้าเราไม่ไหวและไม่ถนัดจริงๆ การยกเลิก ก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่เอาไหนหรือพ่ายแพ้ แต่เป็นการที่เรารู้ตัวเองว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ ซึ่งดีแล้ว ดีกว่าทำไปแบบไม่มีจุดหมายค่ะ
อยากให้ทุกคนได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักและถนัด หามันเจอ และได้เป็นมันอย่างมีความสุขไปตลอด ขออวยพรล่วงหน้าให้น้องๆ นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียน ในการสอบ สอบเข้ามหาวิทยาลัย และการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคตนะคะ
การหาตัวเองเจอ ไม่ว่าเร็วหรือช้าไม่สำคัญเท่ากับหาเจอแล้วตั้งใจกับมันอย่างเต็มที่ ได้เป็นตัวเองอย่างมีความสุข เพราะหาตัวเองเจอแล้ว หรือถ้าหาไม่เจอก็สร้างซะเลย แล้วสร้างให้ดีไปตลอด แบบนี้ก็ดีไม่แพ้กันเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกคน และแบมือขอกำลังใจจากทุกคนเช่นกันค่ะ 😁☺️
หวังว่าแบบทดสอบนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
แบบทดสอบค้นหาอาชีพ อนาคต Notice: Undefined index: description in /home/admin/domains/eduzones.com/public_html/sixfac/templates_c/16d20015e26a48dd0d87e50d30b6a21c2553593f_0.file.main_responsive.tpl.php on line 34 Notice: Trying to get property of non-object in /home/admin/domains/eduzones.com/p...
Hallo Juni!! สวัสดีเดือนมิถุนายนค่า
วันนี้เพื่อนแท็กโพสต์นี้มา อ่านแล้วชอบมาก ดีมากจริงๆ รูปวาดก็ดูสบายตาน่ารัก เลยคิดว่าขอแชร์เค้ามา แล้วมาลองแปลเป็นเยอรมันดูน่ะค่ะ แบ่งปันเนื้อหากัน เผื่อจะมีประโยชน์กับหลายๆ คนต่อไปค่า
เนื้อหาในโพสต์ ถ้าเป็นภาษาเยอรมันจะบอกว่า
"Freundliche Bemerkung: wenn man sagt 'so lange du dein Bestes gibst', bedeutet es nicht 'das Beste, das du jemals tun können hätten', sondern 'das Beste, zu dem du zu der Zeit fähig warst. Manchmal heißt 'das Beste zu geben' einfach nur morgens aufzustehen. Nur weil du dich nicht bis auf die Knochen gearbeitet hast, heißt das nicht, dass du nicht dein Bestes versucht hast."
"ฟรอยนฺดฺลิคฮฺเชอ เบแมรฺคุง: เว็น มัน ซ้ากทฺ 'โซ ลางเง่อะ ดู ไดนฺ เบสทฺเทส กิ๊บสฺ', เบดอยเท็ท เอส นิคชฺทฺ 'ดาส เบสทฺเท่อะ, ดาส ดู เยมาลสฺ ทูน เคิวฺนเนน เฮ็ทเทน', ซนเดิรฺน 'ดาสเบสทฺเท่อะ, ทฺซุ เดม ดู ทฺซู แดรฺ ทไซทฺ เฟอิกคฮฺ วารสฺทฺ. มานชฺมาล ไฮซฺทฺ 'ดาส เบสทฺเท่อะ ทฺซู เกเบน' ไอนฺฟาคฮฺ นัวรฺ มอรฺเกนสฺ เอาฟฺ-ทฺซู-ชเตเอน. นัวรฺ ไวลฺ ดู ดิคชฺ นิคชฺทฺ บิส เอาฟฺ ดี คน็อคฮฺเคน เก-อารฺไบเท็ท ฮัสทฺ, ไฮซฺทฺ ดาส นิคชฺทฺ, ดัส ดู นิคชฺทฺ ไดนฺ เบสทฺเทส แฟรฺ-ซูคฮฺทฺ ฮัสทฺ."
กว่าจะเขียนคำอ่านเสร็จ แอบหืดขึ้นคอเลยค่ะ ><
แปลเป็นไทยคือ
คำเตือนอันแสนเป็นมิตร: เมื่อมีคนกล่าวว่า "ตราบเท่าที่เธอทำดีที่สุดแล้ว" มันไม่ได้หมายความว่า "ดีที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถทำได้ในชีวิตนี้" แต่หมายถึง "ดีที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถทำได้ในเวลานั้นๆ หรือก็คือในตอนนี้"
บางครั้ง "การทำดีที่สุด" นี้อาจจะหมายถึงเพียงแค่การตื่นนอนลุกจากที่นอนมาในตอนเช้า ก็ได้
การที่เธอไม่ได้สู้อย่างสุดแรงเกิดในทุกนาที มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ได้พยายามอย่างดีที่สุดทุกนาทีนี่นา
อาจจะแปลเป็นภาษาสวยๆ ยากสักนิดนึง แต่ก็พยายามที่สุดเท่าที่จะคิดออกในตอนนี้แล้วค่ะ :D
ส่วนใครที่อ่านแล้วชอบ ก็ไปติดตามเพจเค้าได้นะคะ ไม่รู้จักกัน ไม่มีค่าโฆษณาใดๆ เห็นโพสต์นี้แล้วชอบเป็นการส่วนตัว เลยแนะนำ 😄😆 เค้าจะอัพเป็นภาษาอังกฤษนะคะ ใครสะดวก สนใจ ก็ตามพิกัดนี้เลยค่า
Thank you Nepenthe for the best inspiration of the day (1.June 2020)
Danke Nepenthe für die beste Inspiration des Tages (1.Juni 2020)
"Friendly reminder: when people say ‘as long as you tried your best’ it doesn’t mean ‘the best you could possibly have done ever’ it means ‘the best you were capable of at the time.’ Sometimes ‘trying your best’ is just getting out of bed in the morning. Just because you weren’t working yourself to the bone doesn’t mean you weren’t trying your best."
lovenotreminders
[Illustration: gunselisepici]
สวัสดีค่ะทุกคน :) Hallo Alle!
พอเขียนเรื่องกวนๆ ของชเตฟานติดๆ กัน ก็เลยทำให้นึกถึงสิ่งนี้ขึ้นมา
"มีใครไปอยู่ต่างประเทศใหม่ๆ ยังพูดภาษาเค้าไม่ได้ แล้วเจอเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่า คนรอบข้างกำลังพูดถึงเราในทางไม่ค่อยดี บ้างไหมคะ?" 😅
ไม่น่าถามเลยเนอะ นุ่นคิดว่ามีคนเคยสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว นุ่นเองก็เคยค่ะ ตอนที่อยู่เยอรมันเคยแค่ครั้งเดียว แต่แค่ครั้งเดียวก็กระทบใจพอควรเลย
เหตุการณ์ครั้งเดียวนี้ก็เกิดเนี่องจากชเตฟานคนเดิมนี่ล่ะค่ะ 😅 เนื่องจากไม่รู้อะไรดลบันดาล ทำให้นุ่นกับเค้าบ้านอยู่ในทางเดียวกัน และต้องขึ้นรถเมล์กลับบ้านสายเดียวกัน 😅 ตอนแรกๆ ก็เจอกันบนรถเมล์หลายครั้ง นุ่นก็แอบหงุดหงิดใจเล็กๆ ว่าทำไมมันจะต้องมาขึ้นรอบเดียวกันด้วยนะ แล้วมันก็มีอยู่วันหนึ่งที่เราบังเอิญขึ้นรถคันเดียวกันกลับไม่พอ ยังได้นั่งตรงข้ามกันพอดีในที่นั่งแถวหลัง ที่นั่งบนรถเมล์ที่เยอรมัน บางคันจะมีที่นั่งแถวหลังในรูปแบบเดียวกับรถสองแถว คือเป็นแผงที่นั่งหันหลังติดกระจกข้างรถสองข้าง ตรงกลางเว้นที่ให้คนยืน แบบรถเมล์บ้านเราเดี๋ยวนี้บางคัน หรือรถไฟฟ้าน่ะค่ะ
วันนั้นชเตฟานมากับเพื่อนๆ เค้าคนอื่นๆ ที่อยู่คนละห้องกับพวกเรา ตอนแรกเค้าก็นั่งอยู่เฉยๆ ก็มองเราบ้าง ไม่มองบ้าง แล้วก็คุยกับเพื่อนๆ พวกนั้น แล้วทีนี้เค้าก็เริ่มมองเราบ่อยขึ้น แล้วก็คุยกันออกรส แล้วก็หัวเราะกันใหญ่ หัวเราะแบบก็ยังคงรักษามารยาท แต่ขำแล้วมองเรากันแบบนี้ และพูดกันในภาษาที่เราตอนนั้ยังไม่เข้าใจ บรรยากาศแบบนั้น คิดว่าไม่ว่าใคร จะคิดบวก คิดกลาง หรือคิดลบ ก็คงไม่ชอบเท่าไหร่ ใช่ไหมคะ?
ตอนนั้นนุ่นหงุดหงิดมาก รู้ตัวเลยว่าโกรธ และคิดหาการเอาคืนที่ดีและสะใจไม่ออกเลย หัวตื้อ ก็เลยเฉยๆ ไม่สนใจ พอถึงป้ายบ้านเรา เราก็ลง แล้วก็เดินคิดเรื่องนี้แบบไม่รู้ตัว เดินมาถึงบ้าน ป๊ากับม๊ายังไม่กลับจากที่ทำงาน แต่บ้านเรามีแมวหนึ่งตัว ชื่อมิกกี้ และมิกกี้จะมาอยู่เป็นเพื่อนนุ่นบ่อยๆ เวลานุ่นอยู่บ้านคนเดียว (มิกกี้ก็คงจะหาเพื่อนเช่นกัน😅😆) นุ่นก็เลยทั้งเล่า ทั้งด่าให้มิกกี้ฟัง 😆 เป็นภาษาไทยนี่ล่ะค่ะ มิกกี้มันก็ตั้งใจฟัง มานอนพิง เหมือนจะบอกว่า โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะ ถ้าแมวอยู่ตรงนั้นตอนนั้น แมวก็คงจะรู้ว่าเค้าว่าอะไรหรือเปล่า แต่ยังไงแมวก็คงบอกให้ศศิฟังไม่ได้อะนะ เพราะพูดภาษาคนไม่ได้ 😅
แล้วอยู่ดีๆ มาม๊าก็กลับมาค่ะ เค้าเดินเข้ามาเงียบๆ และคงได้ยินที่นุ่นงอแงด่าด้วยความอัดอั้นตันใจกับมิกกี้ เค้าก็เดินยิ้มๆ เข้ามา
ม๊า "ศศิ ม๊ามาแล้ว มิกกี้ ได้เวลาเปลี่ยนเวรกันแล้ว 😆เดี๋ยวม๊าจัดการเรื่องนี้ให้ศศิเองนะ"
มิกกี้ก็เหมือนรับคำ มองหน้านุ่น เหมือนแบบ งั้นคุยกับม๊าไปนะ แมวไปพักก่อน เดี๋ยวมาใหม่ 😆(อาจมีคนคิดว่า อ้าว จะว่าไปนุ่นก็คุยกับแมวรู้เรื่องนี่นา 😅)
นุ่น "ม๊า ศศิไม่ชอบเลย เล่นไม่แฟร์นี่นา เห็นศศิยังพูดภาษาเยอรมันไม่ได้ ฟังไม่ออก ก็เพิ่งมาอยู่ได้แค่เดือนเดียว ลองไปอยู่ไทยบ้างมั้ยล่ะ ศศิยังไม่เคยทำกับใครแบบนี้เลย มันน่าเกลียด ไม่มีมารยาท"
ม๊า "งั้นศศิก็ฝึกภาษาเยอรมันให้ได้เก่งๆ เลยสิ เพราะปัญหาที่จริงมันคือเพราะศศิฟังไม่ออกใช่มั้ย ว่าเค้าพูดว่าอะไร และวิเคราะห์เองจากสถานการณ์ที่เห็น และอาจจะอคติและความกลัวด้วย ว่าเค้าจะต้องพูดไม่ดีกับเราและหัวเราะเยาะเราแน่ๆ เลย ทั้งที่จริงเค้าก็อาจจะทำจริงๆ หรืออาจจะแค่คุยกันเรื่องอื่นแล้วตลก เลยขำ แต่พอดีว่าศศินั่งอยู่ตรงข้าม และคนเรามันไม่สามารถมองจุดใดจุดหนึ่งอยู่จุดเดียวนานๆ ได้ ก็เลยเปลี่ยนที่มองไปมา แล้วศศิอยู่ตรงนั้นพอดี ก็ได้ หรืออีกอย่างนะ คือ ทุกคนตรงนั้นอาจคิดว่าศศิสวย น่ารัก ก็เลยอยากมอง แต่ปากเค้าคุยอยู่กับเพื่อนๆ และหัวเราะอยู่ ที่จริงเนื้อหาไม่มีอะไรเกี่ยวกับศศิเลยก็เป็นได้"
สิ่งนี้ที่ม๊าพูดนี่ล่ะค่ะ ที่สอนใจนุ่นมาเสมอตั้งแต่นาทีนั้นเลย มันสอนให้นุ่นมองอย่างเปิดใจให้กว้างมากขึ้น และได้เข้าใจว่า คนเราถ้ายิ่งมองคนอื่นๆ และสิ่งต่างๆ อย่างใจกว้าง (กว้างเท่าที่เหมาะสมนะคะ ไม่ใช่กว้างซะจนเสียความเป็นตัวเองไป) มันจะเป็นเราเองที่อยู่ง่าย เพราะเราจะไม่ไปเสียเวลาสนใจคนอื่นจนลืมสนใจเวลาของตัวเราเอง ถ้าเรามองแต่แคบๆ ตัดสินไปซะทุกอย่าง เราก็จะอยู่ได้แต่ในโลกแคบๆ ใบนั้นที่เราสร้างขึ้นมาเอง บีบตัวเองแท้ๆ เลย
เหมือนม๊าเปิดโลกอีกมุมให้ได้มอง จริงค่ะ ใช่ บางทีเค้าอาจว่าเราจริงๆ และขำกัน ซึ่งนั่นก็เป็นตัวบอกตัวตนของเค้า ไม่ใช่เราเลย หรือถ้าเค้าไม่ได้ทำจริงๆ แต่แค่คุยกันเรื่องอื่นที่ขำ แล้วดันสายตาหันมามองเราบ้างพอดี นั่นก็เป็นไปได้ และถ้าเป็นแบบหลังนี้จริงๆ แต่เราดันเอาใจไปเดือดร้อน ก็เท่ากับว่า เราขาดทุนเอง ทำให้ตัวเองเดือดร้อนเอง
นุ่นก็เลยคิดได้ว่า ในเมื่อเราไม่สามารถไปรู้ได้ ว่าสรุปแล้วเค้าทำแบบไหนกันแน่ แต่เราเลือกได้ ว่าเราจะมองมันแบบไหน และก็ถูกของม๊าจริงๆ ที่ว่าปัญหาหลักมันคือ การที่นุ่นยังฟังและพูดเยอรมันไม่ได้ เพราะถ้าตอนนั้นนุ่นฟังออก นุ่นก็รู้คำตอบไปแล้วว่า สรุปเค้าพูดไม่ดีกับเรา หรือเค้าพูดเรื่องอื่นแล้วขำ ไม่เกี่ยวกับเราเลยกันแน่
นุ่นเลยขอบคุณม๊า อธิบายให้เค้าฟังว่าเราเข้าใจแล้วและเข้าใจในแบบนี้
ม๊ายิ้มแบบปลื้มมากๆ "เก่งมากศศิ ม๊าแค่พูดแค่นี้ หนูคิดไปได้ขนาดนี้เลย เยี่ยมมาก จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดีนะ และสอนคนอื่นๆ ต่อไป ถ้าคนอื่นๆ ได้เข้าใจแบบหนูแบบนี้ พวกเค้าจะลดอคติต่อกันและกัน และต่อเชื้อชาติลงมากเลยล่ะ และที่สำคัญที่สุดคือ ในวันที่ศศิอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบบ้าง ขอให้ระลึกถึงความรู้สึกนี้เสมอ รู้ไว้ว่ามันอาจกระทบคนรอบข้างคนอื่นๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อแบบที่ศศิเจอวันนี้ และเลี่ยงมันซะ ตอนนี้หนูเข้าใจแล้ว ว่าการพูดภาษาอื่นที่คนที่อาจได้ยินเค้าไม่เข้าใจ แล้วเราดันบังเอิญไปมองเค้า อาจสร้างความรู้สึกไม่ดีแบบนี้ให้เค้าก็ได้ เราก็ควรระวัง ศศิน่ารักและไม่อยากทำให้ใครรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว จริงมั้ย ☺️"
แล้วมาม๊าก็จัดการโอ๋ ด้วยการพาเอาไอศครีมมาทำให้กิน พาออกไปเดินซื้อของ เดินเล่น และสอนภาษาเยอรมันประจำวันให้เพิ่ม และ
"เริ่มชั่วโมงเรียนภาษากับม๊า วันละหนึ่งชั่วโมง ทุกวัน !!!!" 😅
ซึ่งนุ่นชอบการเรียนเยอรมันกับเค้ามากนะคะ แต่นุ่นยอมรับเลยว่าตอนแรกเบื่อมากที่นุ่นจะต้องมาฝึกออกเสียงคำเยอรมันสองสามคำตามที่ม๊าเลือกไว้ประจำวัน ออกเสียงให้ถูกต้อง เหมือน หรือใกล้เคียงเจ้าของภาษามากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็เพราะสิ่งนี้นี่ล่ะค่ะ ที่ทำให้นุ่นเป็นนุ่นมาได้อย่างดีในทุกวันนี้จริงๆ ต้องขอบคุณม๊าอย่างที่สุดมากๆ เพราะนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ว่านุ่นไปที่ไหน ก็ไม่เคยมีปัญหาการออกเสียงภาษาเยอรมันเลย และทุกครั้งที่คุยกับคนเยอรมันที่เพิ่งรู้จัก ทุกคนจะถามเหมือนกันว่า "สำเนียงแบบนี้ไปหัดมาจากไหน เธอเรียนเยอรมันมายังไง เล่าให้ฟังหน่อย มันธรรมชาติมาก หายาก" ☺️
ทุกครั้งที่มีคนถาม นุ่นจะนึกให้เครดิตม๊าด้วยเสมอ ขอบคุณเค้าและความพยายามอย่างน่าชื่นชมของเค้าในวันนั้นจริงๆ
ประโยคเด็ดที่ม๊าพูดไว้ตอนที่นุ่นเบื่อออกเสียงสุดๆ ก็คือ
"ศศิ ถ้าหนูอยากให้คนที่นี่หรือคนที่ไหนยอมรับ จงพูดภาษาเค้าให้เหมือนกับที่พวกเค้าพูด มันคือความเคารพอย่างหนึ่ง และมันจะทำให้เค้าเคารพเราเองจากใจด้วย ลองคิดดูว่าถ้าคนต่างชาติพูดไทยได้ แต่ไม่ชัด หนูยังมองเค้าเป็นคนต่างชาติใช่มั้ย? แต่ถ้าเค้าพูดไทยได้แบบใกล้เคียงหรือแบบที่หนูพูดเลย หนูจะเริ่มรู้สึกว่า เค้าเป็นพวกเดียวกัน ไม่ได้ต่างอะไรเท่าไหร่เลย จริงมั้ย คนอื่นๆ ก็เหมือนกันศศิ การฝึกออกเสียงนี้จะเป็นบันไดให้หนูไปถึงจุดนั้น ม๊าจะยังเชียร์อยู่จากตรงนี้เสมอ"
สรุปสั้นๆ ก็คือ "ถ้าอยากให้คนเยอรมัน (หรือที่ไหนก็ตาม) ยอมรับ จงพูดภาษาเค้าให้เหมือนแบบที่เค้าพูด (หรือใกล้เคียงที่สุด)"
ความเข้าใจและความตั้งใจจริงจะเปลี่ยนทุกอคติเป็นบทเรียนและเป็นมิตรภาพที่ดีได้ต่อไปได้ค่ะ ☺️
สวัสดีค่ะทุกคน ☺️
เนื่องจากนุ่นบอกไว้ว่าจะมาเล่าต่อจากโพสต์เมื่อวาน เราต้องรักษาคำพูด 😁
ที่จริงชื่อคนเยอรมัน เช่น Stefan จะไม่อ่านว่า สเตฟาน นะคะ จะอ่านว่า ชเตฟาน เพราะเสียงตัว st คู่กันจะออกเสียง ช + ต เหมือนกับ sp ออกเสียง ช + ป
แต่ตอนเล่าเรื่องในโพสต์ก่อน นุ่นคิดว่าอยากจะทำให้เป็นการออกเสียงชื่อนี้โดยทั่วไป พอมาอ่านเองอีกทีรู้สึกผิดนิดๆ ว่าทีตัวเราเองยังไม่ชอบให้ใครออกเสียงชื่อเราเพี้ยน ก็เลยคิดว่า เพื่อความสบายใจ มาอธิบายในโพสต์นี้ แล้วแก้กลับดีกว่า (รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็สำคัญค่ะ ☺️)
กลับมาเรื่องกวนๆ ของชเตฟาน ที่จริงเค้าก็กวนๆ แต่แรกเจอกันแล้วล่ะค่ะ แต่นุ่นก็คิดแง่ดีนะว่า ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่คุกคาม ก็ถือว่าการที่คนเราชอบกวนใคร แปลว่าสนใจคนนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องชอบไปในทางจะจีบก็ได้ แต่สนใจอยากรู้จัก อยากเป็นเพื่อน ก็จะถือเป็นแง่ดีไปค่ะ 😁
ครั้งแรกที่เค้าแกล้งอะไรทำนองนี้ คือตอนที่พวกเรานักเรียนเกรดสิบทั้งชั้นไปทริปสกีของโรงเรียน นั่นเป็นการเล่นสกีครั้งแรกในชีวิตของนุ่น เรียกว่าเพิ่งไปอยู่ได้หนึ่งเดือนก็ได้ไป Garmisch Partenkirchen เล่นสกีกับที่โรงเรียน ยังไม่สนิทกับใครเท่าไหร่เลย ก็เลยจะมีเหงาๆ บ้าง แต่ก็เพราะทริปสกีนี้ล่ะค่ะที่ทำให้สนิทกับเพื่อนๆ หลายคนขึ้น ตอนนั้นเลยได้ความรู้ใหม่ว่า โอ้ว ฤดูสกีเค้าเปิดตั้งแต่ใบไม้ผลิกัน และจะปิดในฤดูหนาว เพราะอันตราย และการไปเดินต๊องแต๊งในลานสกี เราจำเป็นต้องใส่รองเท้าสกีโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นรองเท้าเราจะเปียกและทั้งเปียกและหนาวเข้าไปถึงในเท้ากับถุงเท้า ตอนนั้นมาม้าที่เยอรมันให้ยืมชุดใส่เล่นสกีไป แต่วันแรกนุ่นก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เล่น เพราะก็ไม่ได้สนิทกับใคร และเพื่อนข้างบ้านนุ่นให้ยืมเลื่อนไม้ไปด้วย นี่ก็ความฝันเลยค่ะ เหมือนในหนังเด็กๆ ที่เคยดู ก็เอาไปเล่น แล้วก็ตรัสรู้เลยว่า การลากเลื่อนขึ้นเนินเพื่อไปไถลงมานี่เหนื่อยเอาเรื่องเลย (ก็นุ่นเล่นไปลากขึ้นเนินเล่นสกีน่ะนะ 😅) แล้วก็เล่นไปหลายรอบ รอบสุดท้ายฮิตอะไรไม่รู้ ลากขึ้นไปซะสูง ตอนไถลลงมาดันมีหิน เลื่อนสะดุดหิน เลยบินถลาลอยได้เลยค่ะ แล้วก็บินข้ามต้นสนเล็กๆ บาดปลายคางเลือดซิบเลย แล้วก็ร่อนลงในหิมะที่สูงเกือบเท่าตัวนุ่น ทะลุเป็นรูปตัวคนลงไปเลย 😅มันก็เจ็บอะนะ แค่ไม่ค่อยเจ็บมาก พอเจอแบบนี้เลยมาพักเก็บตัวในที่ที่เค้าเตรียมไว้ให้พักเลยค่ะ 😅 อ่วมปวดตัวไปบ้างเลย
แล้วก็มาเจอเพื่อนๆ กลุ่มนึงที่พักกันอยู่ริมบ้านอำนวยการ ก็จะเป็นวิวประมาณรูปแรกค่ะ สวยมากกกกกจริงๆ เราก็กำลังชมวิวสบายๆ ทางอีกด้านจะเป็นลานสกีสำหรับคนที่เล่นเก่งๆ คือชันและลึกมาก นุ่นก็ชมวิว สนุกกับตัวเอง อยู่ดีๆ ชเตฟานก็เดินเข้ามาหา มาทักทายซะดีเลยนะตอนแรก แล้วเพื่อนๆ กลุ่มเค้าก็อยู่ด้วย
อยู่ดีๆ ชเตฟานก็บอกว่า เนี่ยเดี๋ยวจะสอนคำดีๆ ให้ วิวมันสวย "สุดยอด" เลยใช่มั้ยล่ะ นี่เลย คำว่า "สุดยอด" ภาษาเยอรมัน นอกจาก "Super (ซูแพรฺ) " และคำอื่นๆ แล้ว ยังมีอีกคำที่แบบ โค ตะ ระ สุดยอด เลยนะ จะสอนให้ศศิเป็นกรณีพิเศษเลย
ตอนนั้นนุ่นก็พาซื่อค่ะ หรอๆ คำไหนหรอ
ชเตฟานก็สอนทันที Wi***er !!! (อ่านว่า วิคฮฺเซ่อะรฺ คำดั้งเดิมเอาไว้เรียกผู้ชายที่ช่วยตัวเอง ซึ่งที่จริงนุ่นมองว่า แล้วจะไปยุ่งอะไรกับคนที่ทำของตัวเองกันนะ มันก็สิทธิของเค้า 😅เค้าไม่ได้ระรานใครสักหน่อย แต่พอถามมาม๊ากับเพื่อนๆ เค้าอธิบายประมาณว่า เอาเป็นว่ามันเป็นคำเรียกผู้ชายในทางเสียๆ หายๆ ทำนองไม่ได้เรื่อง วันๆ เอาแต่คิดเรื่องแบบนั้นและช่วยตัวเองไป ไม่มีอะไรดีอย่างอื่นในชีวิตเท่าไหร่ อะไรแบบนี้ ส่วนที่ปรึกษาของนุ่นที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ไทยมาก่อน เค้าบอกว่า แปลไทยจะอารมณ์เหมือนด่าผู้ชายว่า หน้า ตัว เมีย น่ะค่ะ 😅 นุ่นไม่ชอบคำด่าคำนี้เลย เหมือนมันดูถูกผู้หญิงมากๆ ขอโทษด้วยนะคะที่โพสต์มีคำหยาบขนาดนี้ >/\< ทั้งที่เป็นเรื่องการศึกษา จุดประสงค์เพียงเป็นส่วนประกอบของการให้ข้อมูลนะคะ)
ชเตฟานสอนให้ออกเสียง ซึ่งนุ่นก็ดันออกเสียงได้ดีซะด้วย ชัดเต็มคำเลย ชเตฟานเลยบอกให้ตะโกนคำนี้ดูสิ มีเสียงสะท้อนนิดๆ กลับมาด้วยนะ นุ่นก็จัดไปเลยค่ะ ตะโกนอย่างสะใจ ในใจตอนนั้นนี่ไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะวิวตรงหน้ามันสุดยอดจริงๆ
แต่พอตะโกนออกไปแล้ว ดันกลายเป็นว่าทุกคนรอบตัวหัวเราะกันแบบคิกๆ กลั้นขำ นุ่นก็เลยเริ่มรู้ตัวว่า พลาดไปละล่ะ แต่เดี๋ยวก่อน จะพลาดไปทั้งแบบนี้มันไม่ไว้ลาย ก็เลยบอกชเตฟานที่กำลังยิ้มและพยายามกลั้นขำจนหน้าแดงว่า
"ชเตฟาน คำนี้ท่าจะดีจริงๆ ดูสิทุกคนยิ้มๆ กันหมดเลย งั้นตะโกนอีกทีได้มั้ย คราวนี้จะตะโกนให้ดังสุดเสียงไปเลย 😁"
ชเตฟานก็สนับสนุนเลยค่ะ แบบเอาเลย เต็มที่ จัดไป
นุ่นก็จัดเลยค่ะ "Stefan du Wi***er !!!" 😱
😆😆😆😂🤣
เสียงก้องและมีเสียงสะท้อนดังกลับมานิดๆ ด้วย
ทุกคนรอบตัวตอนนี้ไม่กลั้นขำแล้วค่ะ แต่หัวเราะก๊ากดังลั่นเลย 🤣🤣
ส่วนชเตฟาน หน้านี้ขำไม่ออกเลย 😂😅 ออกจะเจื่อน และถามแห้งๆ ว่า "ศศิ ทำไมต้องใส่ชื่อฉันเข้าไปด้วยล่ะ"
นุ่น ยิ้มซื่อๆ "อ๋อ เป็นไง ดีใช่มั้ยล่ะ ก็คำมันแปลว่า สุดยอด ไม่ใช่หรอ? ชเตฟานอุตส่าห์มาสอนให้ ชเตฟานเองก็สุดยอดเหมือนกัน ก็เลยใส่ชื่อชเตฟานลงไป เป็นการให้เกียรติที่สอน ไม่ชอบหรอ?"
ชเตฟานนี่เซเลยค่ะ พยักหน้าๆ หงึกๆ "อือๆ สุดยอดเข้าไปถึงหัวใจเลย" 😂🤣
แล้วไม่พอ ตอนเย็นนั้นเพื่อนๆ ที่เค้าเล่นสกีเก่งๆ ที่อยู่ในลานสกีชันๆ นั้นตอนนุ่นตะโกน ก็กลับมาแล้วถามว่า โห ชเตฟาน แกดังมากเลย เล่นสกีอยู่นี่ได้ยินเต็มหูเลย ศศินี่ "สุดยอด" จริงๆ 😅😂🤣😆😁😇
(พอมาคิดดูอีกทีแล้ว หากใครยังจำโฮสต์น้องสองสัปดาห์ของนุ่นที่ชื่อ คริสติน่า ได้ ที่จริงแล้วเราก็มีอะไรคล้ายกันหลายอย่างเหมือนกันนะ 😆😅)
หลังจากเกิดเรื่องนี้ไป พักไปสองสัปดาห์ ชเตฟานก็มาแกล้งเรื่องคำวิเศษ how are you 😆ที่เคยเล่าไปในโพสต์ก่อนค่ะ
เพื่อนเค้าเลยบอกว่า บอกแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าไปกวนศศิ แกล้งเองแล้วโดนยับเองทุกที เห็นซื่อๆ เด็กๆ แบบนั้น แต่ต่อยหนักนะ 😅
ชเตฟานจะหยุดหาอะไรมากวนแล้ว หรือยังกวนอะไรได้อีก ติดตามได้ในโพสต์หน้านะคะ 😅😄😁😆😂😉☺️
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?
ประเภท
ติดต่อ ธุรกิจของเรา
เบอร์โทรศัพท์
เว็บไซต์
ที่อยู่
เวลาทำการ
จันทร์ | 09:30 - 21:30 |
อังคาร | 09:30 - 21:30 |
พุธ | 09:30 - 21:30 |
พฤหัสบดี | 09:30 - 21:30 |
ศุกร์ | 09:30 - 21:30 |
เสาร์ | 10:00 - 21:00 |
อาทิตย์ | 10:00 - 21:00 |
ที่ตั้ง 85/1 หมู่2 ถ. แจ้งวัฒนะ ต. บางตลาด อ. ปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี
Nonthaburi, 11120
PIM Digital Industry Certification Center ศูนย์รับรองคุณวุฒิวิชาชีพอุตสาหกรรมดิจิทัล By PIM
บางกรวย/ไทรน้อย
Nonthaburi, 11110
วิทยาลัย
ถนน คสล. หมู่ที่ 1 ตำบลราษฎร์นิยม ตำบล ราษฎร์นิยม อำเภอไทรน้อย นนทบุรี
Nonthaburi, 11150
ชมรมจิตอาสา ของวิทยาลัยเทคโนโลยีทา
Tumbol Khlong Khoi, Amphoe Pak Kret
Nonthaburi, 11120
สวัสดีค่ะ ฝากเพจใหม่ด้วยนะคะ
144 ถ. นนทบุรี1 ต. บางกระสอ อ. เมืองนนบุรี
Nonthaburi, 11000
เป็นเพจที่ใช้ในการแนะนำ ประชาสัมพั
สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ 85/1 หมู่ 2 ถ. แจ้งวัฒนะ ต. บางตลาด อ. ปากเกร็ด
Nonthaburi, 11120
คณะวิทยาการจัดการ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
สถาบันพระบรมราชชนก อาคาร 4 ชั้น 7 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี
Nonthaburi, 11000
Division of Student Affairs Praboromarajchanok Institute