Apricot's Novel
Just read me***
This is my beginning
i love you,already
ฉันเข้าครัวไปชงชาสองเเก้วเเละเดินมาให้เขาที่หายไปไหนสักที่ในห้องนี้
"กุหลาบดูดีนี่ การเรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ"
ฉันยื่นเเก้วชาตรงหน้าเขาเข้าให้เกือบกระเฉาะโดนหน้าเขาเต็มๆเเต่ดีที่เขาใวกว่า จึงไม่มีเหตุการณ์ที่คิดไว้ในใจ
"มีอะไรหรือเปล่าคะมิสเตอร์ร้อดริโก้"
ฉันเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ที่ตัวเองทำงานมาตลอดทั้งคืนอย่างเกียจคร้าน
เขาเดินตามมาติดๆเเละมาหยุดตรงที่เดิมที่เขานั่งก่อนหน้า ต่างคนต่างเงียบฉันมองเขาทีเเละดื่มชาไปที มารู้ตัวอีกที นี่เขาจ้องมองฉันมาตั้งเเต่ตอนไหนนะ ฉันหันไปหาโบว์ผูกผมที่ตอนนี้กำลังนอนเเผ่หลาอยู่ที่พื้นข้างๆเท้าของฉันเอง ไม่รอช้าที่จะหยิบเเละเริ่มสางผมเเละผูกไปมองเขาไปอย่างไม่คิดอะไรเเต่มาสะดุดตรงที่เขาตาโตไม่กระพริบ ฉันทำอะไรผิดปกติหรือเปล่าทำไมเขามองเเบบนั้น ฉันกระเเอมสักสองที เขาหันไปทางอื่นเเละกระเเอมเเบบฉันเป๊ะจนฉันตาโตจ้องเขาไปหนึ่งที นี่มันตลกนักรึไงที่ล้อเลียนคนอื่นเเบบนี้น่ะ
"ฉันมีเรื่องที่สำคัญกับเธอมากเเละฉันคิดตลอดทั้งคืนก่อนมาที่นี่ว่าฉันควรบอกเธอยังไง วันนี้ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ขอให้ฟังฉันให้จบก่อน เข้าใจมั้ยดาฟเน่"
ฉันมองตาเขาทันที่ที่เขาเรียกชื่อนี้ของฉันจบ ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียเเล้ว เมื่อตั้งสติได้จึงพยักหน้า เขาขยับเอาเก้าอี้ที่เขานั่งยกมานั่งใกล้ฉันที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างที่บอกหนังสือเต็มห้องไปหมด
"ฉันเพิ่งเจอกับพ่อเธอเมื่ออาทิตย์ก่อน ชาลีมาเกาะขาขอร้อง ใช่ดาฟเน่ เธอฟังไม่ผิดหรอก ทำเพื่อที่จะให้ฉันเเต่งงานกับเธอเสียให้ได้ เหตุผลเดิมเเละอาจจะรุรเเรงถึงชีวิตเขาเลยล่ะ ถ้าไม่ทำเเบบนี้ เเบบที่ใครก็รู้ว่าพ่อเธอหยิ่งในศักศรีดิ์โง่ๆของตัวเองเเค่ไหน ห้าสิบล้านที่ต้องเเลกกับชีวิตลูกสาวตัวเองมันง่ายดายมากนักที่จะทำเรื่องโง่ๆเเบบนี้ หนี้สี่สิบล้านที่ต้องจ่ายเเละอีกสิบล้านที่เหลือนั้นคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างที่พ่อเธอบอกฉัน ทีนี้บอกฉันว่าเธอคิดว่าอย่างไร"
ฉันไม่ตอบอะไร ค่อยๆลุกขึ้นเเละเดินเข้าห้องน้ำเล้วร้องไห้นานที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้ฉันเคยทำมา เมื่อเดินออกจากห้องน้ำ ฉันคิดว่าเขาคงจะกลับไปเเล้ว เเต่เปล่าเลย เขายังคงอยู่เเละนั่งที่เดิม ไม่มีอะไรที่จะต้องอายอีกเเล้ว ฉันรู้ดีว่าเสียงร้องไห้ของฉันต้องได้ยินถึงข้างนอกเเน่ๆเเล้วฉันจัทำอะไรได้เล่า
"ฉัน......."
นั่นล่ะคำพูดสุดท้ายที่ฉันพูดกับเขา ไม่รู้น้ำตามาจากไหนฉันร้องไห้อยู่อย่างนั้นไม่หยุดจนตัวโยกเเละเสียงหาย เมื่อตั้งสติได้หลังจากร้องมาเป็นชั่วโมงฉันถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังกอดเขาเเน่นเเค่ไหน
หลังผ่านไปเกือบเดือน ฉันคิดมาตลอดว่าเรื่องทุกอย่างได้รับการปรับความเข้าใจทั้งจากฉันเเละเขา ฉันตื่นในเช้าวันหนึ่งในหอนอนของตัวเอง วันนี้เพื่อนร่วมห้องกลับบ้านสุดสัปดาห์ มันเป็นเรื่องปกติของเด็กหอที่มักจะกลับในวันสุดสัปดาห์เเบบนี้เเต่มันไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันหรอก เเต่เเล้วเสียงเคาะประตูที่ดังต่อเนื่องทำให้ฉันงัวเงียลืมตาจากฝันหวานที่เพิ่งเกิดขึ้นเเค่เพียงเสี้ยวเดียว ฉันลุกจากเตียงทั้งสภาพที่เป็นอยู่ด้วยเสื้อยืดสีดำตัวโคร่งเเละกางเกงยาวสีเดียวกัน ไม่ต้องให้เดาว่าใครที่มาเคาะเเบบี้ถ้าไม่ใช้คนดูเเลตึกนาม เเพทตี้
"มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ เเพทตี้"
ฉันยังคงไม่ลืมตาเต็มตื่นเพราะเมื่อคืนนอนตั้งตีสองกว่า เมื่อไม่มีคำตอบฉันลืมตาอย่างขี้เกียจเเละตกใจเป็นสองเท่าเพราะคนที่อยู่กับเเพทตี้อีกคนนั้นคือคนที่ฉันไปพบเมื่อเดือนก่อน
"คุณมาทำอะไรที่นี่คะ"
ไม่ทันได้พูดกับเเพทตี้ เขาจัดการขอบคุณเเพทตี้เเละดันฉันเข้าไปในห้องพร้อมล็อคประตู
"ฉันไม่เข้าใจว่าคุณเข้าในตึกได้ยังไง นี่มันหอผู้หญิงนะคะ"
ฉันมองคนที่นั่งบนเก้าอี้ที่ว่างจากกองหนังสือมหึมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"รอเเป้บนะคะ ขอเข้าห้องน้ำก่อน เอากาเเฟหรือน้ำซักเเก้วมั้ย"
เขาพยักหน้า ฉันเดินไปมุมห้องที่มีเครื่องกาเเฟตั้งอยู่เเต่เมื่อจะชงกลับไม่เจอถุงกาเเฟที่เพื่อนรักมีเลยสักถุง
"เอาชาเเทนนะคะ ฉันหาถุงกาเเฟไม่เจอ"
เขายังคงเงียบ ฉันจัดการต้มน้ำเเละเดินไปเข้าห้องน้ำระหว่างที่รอน้ำเดือด
ใบหน้าในกระจกที่สะท้อนมาทำเอาฉันห่อเหี่ยว นี่ฉันไม่มีเวลาเเม้กระทั่งดูเเลตัวเองถึงขนาดนี้เลยหรือ
เมื่อเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กในมือที่ติดจากมือหลังจากเช็ดหน้า ฉันเห็นเขากำลังอ่านหนังสือของฉันเอง หนึ่งในหนังสือจากกองทั้งหมดในห้อง
"หนังสือน่าสนใจดีฉันจึงหยิบมาอ่านเล่น เอาล่ะคราวนี้คงจะได้พูดธุระสำคัญกันเสียที ไปชงชาเสียสิสาวน้อย"
สวัสดียามดึก ฉันรู้สึกชี้เกียจเรียนรู้อีกเเล้ว ไม่รู้ทำไม มันมาบ่อยสัดประมาณ สามวันเเละจะกลับมาเป็นคนอยากเรียนรู้ความลับของจักรวาลอีกครั้งเมื่อพยายามลุกขึ้นมาตอนดึกสงัดในค่ำคืนหนึ่ง ฉันรู้สึกเสี่ยงกับการลงเหวของทั้งชีวิตของตัวเองจริงๆทุกอย่างมักจะส่อเเวว เเต่สิ่งหนึ่งที่มันมั่นคงเเละเหนี่ยวเเน่นเหลือเกินคือ ฉันไม่เคยหมดศรัมธาในตัวเอง มั่นคงกับสิ่งที่กำลังภาวนาที่สุด ถึงเเม้ว่าหลายครั้งที่คิดจะปล่อยมันไปตามกระเเสลม ฉันมั่นคงกับความรู้สึกนี้มานานมาก ตั้งเเต่เป็นคนช่างฝันภายใต้เปลียกเเห่งการไม่สู้รบ ปรบมือกับใครเลย ยกเว้นชอบทะเลาะเรื่องปัญญาอ่อนกับน้องสาวคนเล็ก จนพ่อเอือม
ฉันรักในความช่างฝันไร้ทิศทางของตัวเอง ทุกสิ่งรอบตัวมันไม่เคยมลายสิ้น ทุกครั้งมันจะทิ้งลวดลายให้ฉันเเกะรอยสิ่งๆนั้นได้เสมอ มันวิเศษมากนะ ถ้าคุณรู้ว่าอะไรคือ พรจากสวรรค์ที่เหมาะเหมงกับคุณเหลือเกิน อย่าตั้งคำถามให้มากนักกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ลองละเลียดมันทีละน้อยสิ มันจะอวลความจริงเเละความหมายของมันให้คุณได้เรียนรู้มันได้ในที่สุด
หัวใจ คือ ความสวยงามที่สามารถวัดความจริงทุกอย่างของคนๆหนึ่ง ฉันรักสิ่งที่เรียกว่า ไร้เเก่นสารที่คนอื่นขนานนามต่อสิ่งนั้น มันเป็นการใจร้ายมากเกินไปที่คนเรา จะตราหน้าสิ่งหนึ่งใว้ว่าเขาเป็นเช่นไร ทั้งๆที่ความเป็นจริง เรายังไม่ทันเเตะต้องหรือสัมผัสมันมาก่อนด้วยซ้ำ ความไร้เเก่นสาร คือเมนูโปรดที่ฉันมักจะหยิบยกมาเป็นอาหารหลักของทุกๆวัน มันคือสิ่งที่ทำให้ฉันดื่มด่ำเเละสร้างเเรงกระตุ้นทางอ้อมให้ฉันกลับเข้าไปในทางที่กำลังเดิน อาจจะหลงไปกับมันจนคลำทางไม่เจอ เเต่เมื่อความไร้เเก่นสารมาปะทะกับหัวใจเเห่งการเรียนรู้อีกครั้ง เมื่อนั้นฉันจะยกบรรลังค์ราชินีเเห่งหัวใจให้เเก่เขาเสมอ ขอบคุณความไร้เเก่นสาร ที่ทำให้คนช่างฝันดำเนินไปในทางที่สุดเเสนพิเศษ ราตรีสวัส H^_^
เมื่อฤทธิ์ไวน์เข้าเเผ่ความอบอุ่นภายใน ฉันจึงได้สติเเละเช็ดหน้าเช็ดตาจนมั่นใจว่าคงจะดูดีเเล้วล่ะ เขาหันไปทางอื่นตั้งเเต่ที่ฉันเริ่มเช็ดน้ำตาเเล้ว หึ อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกอายต่อหน้าเขาไปมากกว่านี้อีกเเล้ว
"ฉันจะเรียกเธอยังไงดีล่ะที่จะทำให้ง่ายต่อการพูดคุย"
ฉันกระพริบตาปริบเเละมองเขานิดหน่อย
"เพื่อนๆเรียกอริค่ะ คุณเรียกฉันเเบบนี้ด้วยก็เเล้วกัน"
เขาเงียบ
"เธอมีชื่อกลางว่าอะไรนะ"
คำถามที่ฉันรู้สึกว่าเขารู้อยู้เเล้วนั้นทำให้ฉันหน้ามุ่ยเเต่ก็ตอบไป
"ดาฟเน่"
เขาพยักหน้า
"ฉันจะเรียกด้วยชื่อนี้ก็เเล้วกัน"
ฉันไม่ติดใจอะไรเลยพยักหน้าเเละจู่ๆฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เรียกฉันด้วยชื่อกลางนี้คือ เเม่นี่เอง นานเเค่ไหนเเล้วนะท่ไม่ได้ยิน
เสียงเเหบของเขาดึงความใจลอยของฉันให้กลับมา
"ฉันรับข้อเสนอของพ่อเธอเเต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมรับให้เธอต้องมาเเต่งงานกับฉันหรอก สบายใจได้ ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงที่อ่านสัญญาบ้าๆนี่ของพ่อเธอ ชาลีติดหนี้ฉันมาหลายปีมากเเล้วเเละเงินมากมายที่ฉันให้ยืมนั้นใช่ว่าจะน้อยเลย มันหลายครั้งเกินไปจนฉันคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างนั่นล่ะ เขาถึงให้กระดาษนี่มา เธอจะยังมีชีวิตของเธอต่อไป อย่างน้อยฉันก็ได้ช่วยเธอจากความบ้าของเขา เอาล่ะเธอกลับไปได้เเล้ว"
ฉันตาโตกับคำพูดของเขาเเละยังไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าเขาจะพูดเเบบนี้ด้วยซ้ำ
"ฉันรู้ว่าเธอลำบากเเค่ไหนเเละรู้ด้วยว่าเธออยากไปให้พ้นจากเขาเเค่ไหนด้วย ถึงจะเป็นพ่อลูกกับเธอด้วยก็เถอะ"
"คุณรู้เรื่ิองฉันมากเลยนะ"
ฉันเรื่มสงสัยเเละมองเขาอย่างไม่ใว้ใจ เขาส่ายหน้าให้อย่างคนที่ขี้เกียจจะอธิบาย
"ฉันรู้เท่าที่ฉันอยากรู้นั่นล่ะ ทีนี้จะกลับไปเรียนได้หรือยัง"
"ฉันจะใว้ใจคุณได้ยังไง ทั้งๆที่เราเพิ่งเจอกัน"
"เเน่ใจหรือว่าเราเพิ่งเจอกัน"
เขาจ้องตาฉัน เสมือนว่าถ้าทำอย่างนี้เเล้วนั้นจะให้ฉันคุ้นๆหน้าเขาขึ้นบ้างล่ะมั้ง
"ไม่เลยค่ะ"
"ก็เเล้วไป เอานี่ไปเเล้วฉันประกันได้เลยว่านั่นคือเเหวนของฉันจริงๆ"
เขาถอดเเหวนสีขาวเกลี้ยงจากนิ้วก้อยของเขามาให้
"ไม่จำเป็นหรอกค่ะ มันดูเเปลกๆกับความใว้ใจที่คุณกำลังจะมอบให้"
"เเล้วจะเอาอะไรเป็นการประกันว่าฉันใว้ใจได้ล่ะ ดาฟเน่"
ฉันรู้สึกเหมือนลมร้อนๆมาปะทะหน้าอย่างจัง เมื่อเขาเรียกชื่อนี้ ฉันหันไปทางอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนสายตาไปปะทะกับสิ่งหนึ่งเข้า
"ของกุหลาบนั่นสักสามกระถางสิค่ะ นี่ใช่กุหลาบตุรกีหรือเปล่าคะ กลิ่นหอมตั้งเเต่เข้าบ้านมาเเล้ว คุณเเม่บ้านบอกว่าคุณปลูกหลายพันธุ์ด้วยนี่ค่ะ ขอกุหลาบนี้ละกัน ฉันต้องรีบกลับเเล้วค่ะ สายๆมีเรียน ขอบคุณที่สละเวลาพบฉันค่ะมิสเตอร์ร้อดดริโก้"
ฉันยื่นมือออกไปเเละเขาก็ยื่นมาจับเเละเขย่าเบาๆตามด้วยจุ๊บมือทีหนึ่ง ฉันสะดุ้งเเละสะบัดออกอย่างตกใจ
"ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ"
"เเต่ฉันตั้งใจนะ"
คราวนี้ฉันไม่มองหน้าเขาเเน่ ไอ้คนเเก่เจ้าชู้เอ้ย
"เรียกฉันว่า ริคเถอะ"
ฉันพยักหน้าเเละช่วยเขายกกระถางกุหลาบมาที่รถ เเม่บ้านคนเดิมมายืนส่งด้วย ฉันหันไปขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยๆเช้านี้
"ขอบคุณสำหรับอาหารค่ะ อร่อยมากด้วย"
"เรียกดิฉันว่าลอร่าเถอะค่ะคุณหนู"
ฉันยิ้มกว้างให้เเม่บ้านอย่างเต็มใจที่สุดของวันนี้เลยล่ะ
"ฉันอริค่ะ"
เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยฉันก็หันไปยิ้มเบาให้เขาก่อนจะบึ่งรถออกไป เขาไม่ยิ้มเเต่ยักคิ้วให้ เเหม ฉันยิ่งมั่นใจว่าเขาเลี้ยงงูเต็มไร่องุ่นของเขาเเน่ๆโดยไม่ต้องสงสัย
ในตอนนี้กลิ่นกุหลาบที่โปรดปรานนั้นก็ไม่สามารถลดความกังวลเเละประหม่าของฉันลงได้เลยสักนิดเดียว ฉันกุมมือตัวเองเเน่นจนรู้สึกชา เมื่อถึงประตูไม้บานใหญ่ที่เเแม่บ้านกำลังเปิดนั่นเอง ฉันจึงตระหนักว่า ฉันมาทำอะไร ห้องมืดสลัวมากเพราะอาศัยเเค่เเสงสว่างจากเตาผิงข้างห้องที่มีไฟลุกโชนอย่างร้อนเเรงเเต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะส่องสว่างทั่วห้องใหญ่นี้ได้เลย ฉันเห็นเขานั่งหันหลังไปทางหน้าต่างบานใหญ่มากตั้งเเต่เขามาในห้อง ท้องฟ้าข้างนอกยังมืดมาก เขายังไม่หันมาเเต่เสียงถามที่เขาถามมานั้นฉันรู้ว่าเขาถามฉันอย่างไม่ต้องสงสัย
"จะรับชาหรือกาเเฟดีล่ะ"
"ชาดีกว่าค่ะ ขอบคุณ"
หลังจากสั่งการเเม่บ้านเสร็จเขาเชิญให้นั่งเเละฉันก็นั่งรอเงียบๆโดยที่ต่างคนต่างไม่พูดอะไรเลยจนเเม่บ้านยกเครื่องดื่มเข้ามา
"อาหารเช้าที่สวน"
เเล้วคราวนี้ฉันก็เห็นเขาเเบบจริงจังเสียที
เขาหันมามองฉันตรงๆ เก้าอี้ที่ฉันเลือกนั่งคือไกลจากเขาเพียงเเค่เก้าอี้อีกตัวมาคั่นกลางเท่านั้น ฉัวมัวเเต่จ้องตากับเเสงไฟข้างห้องจนไม่รู้เลยว่า ตัวเองพลาดมากที่มานั่งใกล้เขามากขนาดนี้ มันเป็นการยากมากที่คนเราจะพูดทุกอย่างที่คิดได้กับคนที่ไม่เคยพบเลยสักครั้งให้เเบบหมดเปลือก ที่ฉันหมายถึงคือ ถ้าฉันนั่งห่างกว่านี้คงจะทำให้ฉันรู้สึกมั่นคงขึ้นมากเลย สายตาคมจัดที่มองฉันตอนนี้มันมีความไม่รู้ของฉันเองมากมาย ที่เเน่ๆฉันไม่เข้าใจทั้งสิ้นว่าเขากำลังตัดสินอะไรฉันอยู่ กระพริบตาบ้างสิคุณ
ฉันสบถในใจ
"ฉันอริฟานด้า โอไบรอันค่ะ ขอบคุณที่สละเวลาให้พบค่ะ"
ฉันเงียบเพราะอยากเปิดโอกาสให้เขาเเนะนำตัวเหมือนฉันเเต่เปล่าเลย เขายังคงปิดปากเงียบ มีเพียงเเสงระยิบในดวงตาของเขาเท่านั้นที่ฉันรู้ว่าเขายังหายใจ ไอ้คนไร้มารยาท ฉันคิดว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่ตัวเองสบถในใจมากที่สุดในชีวิตเเน่ ฉันฝืนยิ้มเต็มที่เเม้ตัวเองกำลังจะรู้สึกหนีไปจากที่นี่ให้จบสิ้น
"ฉันมาเรื่องนี้ค่ะ"
ฉันยื่นกระดาษใบเล็กตรงหน้าเขา เมื่อเขารับจากมือฉันมาดู รอยยิ้มร้ายกาจที่สุดที่ฉันเคยเห็นในชีวิตก็ได้บังเกิด ปากบางๆนั่นที่ยิ้มเย็นมาทำให้ฉันขนลุกอย่างไม่เข้าใจ
"พ่อเเค่บอกให้ฉันเอาเช็คนี้มาให้เเละบอกว่าต้องรอให้คุณพูดบางอย่าง เรื่องอะไรหรือค่ะ"
ที่ฉันเดินด้อมๆมาที่นี่สามวันติดไม่ใช่เพราะอะไรเลย ฉันไม่ใว้ใจพ่อเลย น้ำเสียงในวันนั้นร้อนรนจนฉันสัมผัสได้เเละเพราะอย่างนี้ฉันถึงต้องมาดูเเละให้เเน่ใจว่า มันคงจะไม่มีอะไรร้ายเเรงเเต่เมื่อฉันได้เห็นรอยยิ้มของเเขาในตอนนี้เเล้ว ฉันรู้ได้ทันทีว่า ปัญหาไม่ได้เล็กน้อยกว่าที่คิดเสียเเล้ว
ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นจากปากผู้ชายที่หน้าเหมือนเเมดส์ มิคเคิลสันคนนี้ กระดาษเเผ่นเดียวที่เขายัดใส่มือให้ก่อนออกจากห้องทำให้ฉันกุมขมับ
กระดาษที่กำลังจะทำให้ชีวิตฉันพังพินาศเพียงเพราะพ่อยกฉันให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ชายคนนี้ ริคาโด้ ฌอร์น ร้อดดริโก้ เเต่เพียงผู้เดียว ในสัญญาณที่เขียนนั้น เขาหรือผู้ชายคนนี้จะเป็นผู้ปกครองของฉันโดยที่ไม่มีเงื่อนไขอะไรให้ฉันที่ยังหายใจในห้องนี้ ปฏิเสธ เขาจะจัดการอย่างไรนั้นเเล้วเเต่เขาเเละที่ฉันกลัวเเละเสียใจที่สุดคือ ถ้าพ่อฉันยินยอมให้ฉันเเต่งงานกับเขาหนี้ทั้งหมดที่เขาก่อจะถูกยกเลิกเเละจะได้รับเงินเพิ่ม ห้าสิบล้านเป็นของเเถม ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเท่ากับว่า พ่อบังเกิดเกล้าได้ขายฉันให้คนอื่นไปเเล้ว ฉันสะอึกจนน้ำตาร่วง พ่อทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน ฉันสะกดกลั้นความเสียใจจนตัวงอ ไม่มีอะไรเเล้ว ชีวิตฉันจบเเล้ว
ฉันเดินไปทางเดินที่โรยอิฐบล็อคสีน้ำตาลอ่อน ข้างทางเต็มไปด้วยต้นกุหลาบเลยที่เกาะตามเสาไม้ที่ค้ำเป็นหลังคาที่กำลังเดิน ฉันถอนหายใจเมื่อเห็นเขากำลังนั่งรอเเละมองฉันไปในที ฉันเดินเข้ามาใกล้เเละเห็นอาหารมากมายที่กำลังรอฉันสินะ
"ทานเลยมั้ยค่ะ ฉันหิวเเล้ว"
ฉันเอ่ยปากถามโดยไม่ต้องการฟังคำตอบหรอก ตอนนี้ฟ้าสว่างหมดเเล้ว ฉันรู้ว่าที่นี่สวยงามเเค่ไหนเเต่ฉันไม่สามารถทำใจยอมรับได้เลยว่า ชีวิตที่เหลือของฉันทั้งหมดจะเป็นอย่างไร อยู่น้ำตาก็ร่วงลงมาทั้งๆที่กำลังเคี้ยวอาหารเต็มปาก เขาคงเห็นเเละยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ เท่านั้นล่ะฉันก็ร้องโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาสั่งใครมายกอาหารไปจากโต๊ะเพราะเมื่อฉันเงยหน้ามาเห็นสายตาสีใสของเขานั้น ทุกอย่างตรงหน้ามลายไปเเล้ว ฉันสูดหายใจอีกครั้ง พยายามยิ้มกับวันที่เลวร้ายนี้เเต่ไม่วายที่น้ำตาจะร่วงอีกครั้ง เขายืนขึ้นไปไหนไม่รู้เเต่อยู่มาโผล่ข้างหลังฉันพร้อมยื่นเเก้วไวน์สีเข้มมาให้
"ดื่มซะ เดี๋ยวจะดีขึ้น"
เขาพูดเบาๆเเละยืนเฝ้าตรงนั้นจนฉันรับมาดื่มหมดเเก้วนั่นล่ะเขาถึงไปนั่งที่เขาอีกครั้ง
just reading me......
ฉันกลับจากการพบหน้าเขาครั้งเเรก เมื่อเช้านี้เเละโชคดีที่ไม่ยืดเยื้ออย่างที่คิดใว้เเต่เเรก เขาคงมีเหตุผลที่บอกเรื่องราวว่าทำไมต้องเป็นฉันเท่านั้นที่ต้องทำ ฉันจะพยายามเข้าใจว่าที่จริงเเล้วมันไม่ใช่การเล่นขายของของเด็กเล็ก
ฉันยืมรถของบรีเเอนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ หลายวันก่อนฉันใช้วิธีการขับมอเตอร์ไซต์เวสป้าคู่ใจเเต่วันนี้มันไม่เหมือนกันเพราะฝนตกหนักเหลือเกิน
บรีเเอนจึงยื่นเจ้ากุญเเจลูกรักของหล่อนเเละฉันไม่ปฏิเสธเหมือนทุกครั้งเเน่ๆ
เเม่บ้านคนเดิมยืนรอเเละฉันยิ้มให้
"คุณริคกำลังรออยู่ค่ะ เชิญตามดิฉันมาทางนี้เลยค่ะ"
ฉันเดินตามไปช้าๆไม่รู้ทำไมกลิ่นหอมของกุหลาบที่ไหนสักเเห่งในบริเวณนี้ที่ทำให้ฉันเอ่ยปากถามอย่างสนใจ
"ขอโทษนะคะ ใช่กลิ่นกุหลาบตุรกีมั้ยคะ"
เเม่บ้านหยุดเดินเเละหันมายิ้มให้ครั้งเเรกเธอพยักหน้า
"ใช่ค่ะเเต่พันธุ์อะไรนั้นดิฉันไม่ทราบจริงๆ ต้องไปถามคนปลูกเขาเเล้วล่ะค่ะ"
เธอหัวเราะเสียงดังนิดหน่อยเเละฉันรู้ได้ทันทีว่า เธอเป็นคนตลกเเละอารมณ์ดีอยู่เเล้วเเต่ที่ต้องทำหน้าเคร่งขรึมเมื่อหลายครั้งก่อนหน้านั้นคือการปกป้องผู้เป็นนายเท่านั้น
"ฉันจะลองถามนะคะ เผื่อจะเจอตอนกลับ"
"ทำไมจะไม่เจอล่ะค่ะ ก็คุณกำลังจะไปพบเขาอยู่เเล้ว"
ฉันยิ้มเจื่อนๆไปทีหนึ่ง
อันที่จริงฉันไม่รู้อะไรทั้งสิ้นบนโลกใบนี้ ไม่รู้ว่าควรก้าวหรือเดินอย่างเเข็งเเกร่งอย่างไร ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างในระหว่างเดินทาง ชีวิตนี้ช่างซับซ้อนเเต่มันสวยงามเสมอนะ เวลาที่เราตระหนักถึงความจริงบางอย่างที่ทำให้เรายังคงหายใจ ฉันอาจจะเหวิ่นเว้อ ไม่รู้สิ เหตุผลนี้มั้งที่ทำให้ฉันจินตนาการไม่สิ้นสุดของการที่เราเกิดมามีชีวิตบนโลกกลมๆใบนี้
ฉันเชื่อในสิ่งมหัศจรรย์เกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถอธิบายได้ ฉันรักความสวยงามในยามเช้าตรู่ที่ไม่มีใครร่วมหายใจไปกับฉันในระหว่างเดินเท้าเปล่าบนผืนหญ้าหน้าบ้าน ฉันชอบความรู้สึกสงบเงียบของโลกใบนี้ในเวลานี้ที่สุดในโลกเลย ไม่มีใครเพ่งมองว่าทำไมคนๆนี้ถึงเดินเตร่ไปมาเป็นชั่วโมง
ฉันตื่นตีสี่ ไม่มีอะไรพิเศษนักหรอกที่ทำให้ฉันถ่างตามาในเวลานี้ อ่านหนังสือเเละฟังวิดิโอย้อนหลังของวิชาเรียนของฉัน ไม่นานเเล้ว ฉันใกล้จบจริงๆ ตอนนี้กำลังคร่ำเคร่งเขียนเเละฟังอย่างเข้มข้นที่สุด ฉันตระหนักในวันนี้เองว่า ฉันต้องตื่นมาเร็วอีกสักประมาณหนื่งชั่วโมง เวลาเงียบสงัดตอนที่ทุกคนในบ้านหลับใหลนั้น หัวสมองฉันตื่นตัวอย่างประหลาด มันให้ความรู้สึกว่าฉันน่ะ ชนะทุกคนบนโลกใบนี้เพราะได้ทำอะไรก่อนเเละมากกว่าคนอื่น รู้สึกขอบคุณตัวเองที่พยายามทำให้รู้สึกมีค่าเเละเเข็งเเกร่งกว่าที่คิด คนอื่นทำได้ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน มันให้ความฮึกเหิมยามที่ภารกิจที่กำลังทำนั้นสำเร็จไปได้ด้วยเเรงผลักดันจากตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครบังคับใครได้ นอกจากตัวเราเอง ฉันเริ่มรู้สึกรักตัวเองขึ้นมาจริงๆ รักเเละน่าทึ่งกับความสามารถของตัวเอง ฉันเฝ้าเเต่บอกใครต่อใครในตอนที่ยังเป็นเด็กน้อยที่รู้เรื่องเเล้วว่า ฉันอยากเป็นนักเขียน ฉันไม่เคยตระหนักถึงความคิดเเละคำพูดเเรกนี้เลย จนกระทั่งภายในใจฉันนั้นเเทบอัดอั้นอย่างสุดทนกับความช่างฝันของตัวเอง เลยเเก้ความรู้สึกนั้นด้วยดินสอเเละสมุดเรียนท้ายๆเล่ม ฉันเริ่มเขียนมันเรื่อยๆอย่างมีความสุขเเละทำเเบบนั้นไปเรื่อยๆจนท้ายที่สุดฉันก็หยุดมันทั้งหมด อย่าพึ่งคิดสิว่าฉันจะถอดใจไม่ขีดเขียนมันเเล้ว ไม่มีทางอ่ะ
ฉันหันไปเขียนในหนังสือเรียนทุกเล่มที่มีที่ว่างมากเกินไป จนอาจารย์จับได้เเละให้หยุดเขียนเพราะหนังสือนี้จะต้องส่งต่อให้รุ่นน้องอีกที โธ่ ครูคะ นั่นไงล่ะเป้าหมายของหนู ทุกคำเขียนที่ฉันตั้งใจบรรจงด้วยลายมือไก่เขี่ยของตัวเองก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ คำพูดที่เเฝงไปด้วยการให้กำลังใจทั้งนั้นเเถมฉันยังมีศิลปะในหัวใจอีกด้วยจึงมักจะจบด้วยรูปต่างๆโดยเฉพาะดอกไม้ ต้นไม้เเละนกบินท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่มีขอบฟ้ายามเย็นในช่องเขาเเห่งจินตนาการที่ต้องมีสักที่บนโลกใบนี้เป็นเเน่
คำเหล่านั้นที่ฉันทำการบรรจงรังสรรค์มันเพียงเพราะวันใดที่ฉันบังเอิญมาเปิดดูมันมักจะสร้างรอยยิ้มที่เเก้มเสมอ ฉันชอบความรู้สึกนี้จนถึงตอนนี้
โลกใบนี้กักเก็บสิ่งสวยงามมากมายเพียงไหนกันนะ
พล็อตนิยายในหัวมีมากมายเหลือเกิน ฉันอยากระบายเป็นตัวอักษรให้หมดภายในชั่วพริบตาเเต่มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะกลั่นกรอทุกอย่างออกมาภายในวันเดียว รอหน่อยเถอะน่า ฉันกำลังเรียบเรียงความคิดใหม่อยู่ ว่าจะนั่งจมกองงานเขียนโดยไม่ออกไปสัมผัสความรู้สึกใหม่ๆข้างนอกโน้นบ้างเลยหรือไง ยิ่งพูดยิ่งโมโหตัวเอง เพราะฉันซ่อนตัวในบ้านเเสนสุขนี้ร่วม สองปีเเล้ว ไม่รู้สิ ฉันอธิบายความรู้สึกนี้ออกมายากเหลือเกินเเต่ฉันจะพยายามเต็มที่ ที่จะบอกเล่าเรื่องราวตัวเองเเทรกเเทรงไปกับการเขียนนิยายไปด้วย ทนฉันหน่อยเถอะที่รัก ถ้าไม่มีที่ระบายความรู้สึกภายในใจนี้ละก็ ฉันคงจะบ้าตายไปข้างละ ชีวิตตอนนี้เรื่อยๆไม่มีอะไรอับเดตนอกจากว่า ตอนนี้ฉันกำลังเรียนรู้ภาษาอาหรับเเละเเน่นอน ภาษาอังกฤษของฉันก็ดีเกินคาด
ครั้งหนึ่งเพื่อนรักของฉันคนหนึ่งบอกว่า อย่าไปเรียนภาษาอีกภาษาหนึ่ง ในขณะที่กำลังเรียนภาษานี้อยู่ เธออาจจะงงล่ะสิ เอาใหม่ เช่นตอนนี้ฉันกำลังขมักเขม้นกับภาษาอังกฤษ ถ้าเผลอไปเรียนภาษาอื่นมาเพิ่มจะทำให้สมองสับสน ไอ้คำพูดนี้เเหละที่ทำให้ฉันไม่ยอมเปิดใจกับภาษาอื่นท้ายที่สุดฉันสามารถลบคำเหล่านั้นออกจากหัวเสียที เพราะฉันพิสูจน์กับตัวเองมาสดๆร้อนๆว่ายิ่งฉันเรียนรู้ภาษาอื่นไปด้วยในขณะที่กำลังคร่ำเคร่งกับเจ้าเเห่งภาษาโลก สมองฉันกระฉับกระเฉงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้สิ สำหรับคนอื่นเเต่สำหรับฉันมันเหมือนได้ปลดล็อคความรู้สึกที่ต้องเเบกรับมหาศาลนั้นมลายไปในพริบตา ก็ฉันมันไอ้จำพวกชอบเชื่อในสิ่งที่ไร้สาระเเละผลที่ได้ก็ช่างหนักหน่วง อย่าได้เชื่ออะไรทั้งนั้นถ้าเธอยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวของเธอเอง เชื่อฉันสิ
หลังจากเเยกกับซาน่า ฉันเดินตรงไปยังหอสมุดโดยไม่ได้ไปเข้าเรียนวิชาเเรกของวันนี้ ฉันรู้สึกฉงนปนเปไปกับคำพูดของใครบางคน จนไม่สามารถนั่งเฉยๆอยู่ที่ห้องตามที่คาดไว้เเต่เเรก ฉันถอนหายใจไปกับความคิดที่ฟุ้งซ่านนั้นเเละเดินเลียบไปมุมมืดๆที่มีหนังสือเก่าคร่ำคริมากมาย ฉันนั่งลงกับพื้นเเละเริ่มหลับตาอย่างเหนื่อยล้า
ฉันอยากจะบอกว่า ที่ฉันอยากโดดเรียนเเต่เเรกเพราะมีเรื่องต้องไปสะสางหรืออีกเหตุผลหนึ่งคือ ฉันไม่อยากที่จะต้องมาคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาเเบบไม่รู้จบ เกือบสองเดือนที่ต้องมาคิดเรื่องนี้ ฉันไม่เอาด้วยเเล้วล่ะ หัวใจของฉันเรียกร้องอย่างหนักหน่วงเพราะเรื่องนี้เอง ที่ทำให้ฉันไม่มีกระจิตกระใจเข้าเรียน วิชาที่ลงเรียนเทอมนี้ก็ยากเอาการอยู่เเล้วเเละยังต้องมานั่งคิด นอนคิดกับเรื่องนี้ไปอีก อีกไม่นานฉันคงจะหลับตาไม่ตื่นอีกเป็นเเน่ ฉันมีเหตุผลร้อยเเปดที่จะทำเป็นไม่รู้เเละนิ่งเฉย เเต่นั่นก็จะทำให้ฉันต้องมาสู้รบปรบมือกับพ่อเเละครอบครัวเขาไม่หยุดเเน่ ฉันอยากบอกว่า เรื่องนี้ฉันทำเพื่อตัวฉันเอง ไม่มีคนอื่นมาเกี่ยวข้องเเละฉันได้ไปพบเขามาเเล้วตอนเช้าตรู่วันนี้ ตามที่ได้รับปากกับเเม่บ้านของเขา ฉันรู้สึกเวียนหัวอีกเเล้ว
วันนี้มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมการช่วยเหลือเด็กๆเเถบเเอฟริกาด้วยการบริจาคเงินเเละสิ่งของจำเป็นทุกอย่างที่สามารถเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดเเละฉันคือหนึ่งในผู้บริจาคของเหล่านั้น
"ว่าไงอริ นึกว่าจะไม่มาซะเเล้ววันนี้ เห็นบรีเเอนบอกว่าเธอจะไม่เข้ามหาลัยวันนี้นี่"
ฉันยิ้มเเละผงกหัวเเต่ไม่วายที่จะเข้าไปช่วยเขายกของไปด้วย
"ใช่จ้ะ เเต่ฉันก็อยู่ที่นี่เเล้วนี่นา"
ซาน่า เพื่อนสาวต่างคณะที่คลุกคลีด้วยกันตั้งเเต่ปีเเรกที่เข้ามาเรียนที่นี่หัวเราะกับคำตอบตรงทื่อของฉัน
"รู้หรอกน่า เเต่ไม้เห็นต้องลำบากมาเอาข้าวของมาส่งที่นี่เลยนี่นา เจคบอกว่าจะเข้าไปช่วยยกพรุ่งนี้"
"ไม่เห็นต้องลำบากเลย เจคเหนื่อยเปล่าๆนะฉันว่า"
"โอเค เเล้วนี่ตัดสินใจหรือยังกับโครงการนั้น ฉันต้องการคำตอบไม่เกินเดือนหน้านะอริ คนอื่นอีกตั้งโขยงพร้อมเเทนที่เธอเลยนะจะบอกให้"
"ฉันรู้ เอ่อ ว่าเเต่คืนนี้ว่างไปที่ห้องมั้ย"
ซาน่ามองมาที่ฉันเเละพยักหน้าเเล้วฉันก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงตะโกนเเหลมๆของเเม่เพื่อนสาวคนนี้
"อย่าลืมของอร่อยนะอริ เข้าใจ!"
ฉันหันไปโบกมือและตะเบะให้สักหนึ่งที
อากาศรอบตัวเงียบสงัดเเต่กลิ่นเเห่งความสดชื่นของกุหลาบนั้นทำให้มันไม่น่าวังเวงอย่างที่คิดในตอนเเรก ก่อนที่ฉันจะก้าวเท้ามาถึงที่นี่
คุณมาหาใครคะ
ฉันมองเเม่บ้านร่างกลมที่อายุอานามน่าจะไม่เกิน 60 หล่อนยิ้มในตอนเเรกเเต่เริ่มจะหุบก็ตอนที่ฉันไม่มีคำตอบให้ทันทีที่ถามนี่สิ ใช่เเล้ว ฉันมาหาใคร ฉันก้มหน้ามองรองเท้าผ้าใบสีขาวของตัวเอง คำตอบยังไม่หลุดจากปาก ตราบใดที่ฉันยังไม่เเน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องเเละตัวเองคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุดเเล้ว ฉันมองหน้าเเม่บ้านอีกครั้งเเละหันหลังพร้อมที่จะไปอีกครั้ง
คุณมาที่นี่ 3 วันเเล้วนะคะ ถ้าจะมาสมัครงานฉันพร้อมจะเปิดประตูให้คุณเข้ามา เเต่นี่อะไรกัน คุณไม่พูดอะไรเลย เห็นทีคราวนี้ฉันคงต้องบอกคุณริคคาโด้เเล้วล่ะว่ามีคนเเปลกๆมาด้อมๆมองๆที่นี่
เเม่บ้านพูดจบเเละเตรียมจะไป ฉันจึงโพล่งออกมาในที่สุด
ค่ะ ช่วยบอกเขาว่าฉันจะมาพบพรุ่งนี้เเละเวลานี้เเน่นอน
ฉันเดินออกมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก พรุ่งนี้เช้าตรู่เจอกัน
เมื่อความเศร้ากอบกุมหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของเธอ
อย่าได้กลัวที่รัก นั่นคือความยิ่งใหญ่ของผู้เเตะต้อง
จงยืนหยัด เพราะท้ายที่สุดเเห่งปลายทาง เธอจะเห็นฉัน ณ ที่นั้น
อ้อมเเขนเเห่งศรัทธา ไม่เคยเดียวดายในโลกที่มืดมน
พรมจูบซีกเเก้มนั้น ช้อนตาจ้อง เธอเห็นฉัน เเน่นอน ณ ที่เเห่งนั้นชั่วกาล
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?
ประเภท
ติดต่อ บุคคลสาธารณะ
เบอร์โทรศัพท์
เว็บไซต์
ที่อยู่
Pattani
94150
29/8 ม. 4 ต. บาราเฮาะ
Pattani, 94000
ให้ความรู้ แนะนำ เกี่ยวกับการใช้มอเตอร์ไซค์ และรีวิว สินค้าน่าใช้ ราคาถูก
Pattani, 9410
กลุ่มนักศึกษาจังหวัดสตูล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
Pattani
ครู ป.1 เริ่มตรงใหน ไปต่ออย่างไร บ้านสื่อ ป.1 มีคำตอบ สื่อสร้างสุข ทุกคนกดติดตามเลยนะ Primary teach