AstroSoulogist

AstroSoulogist

ให้คำปรึกษา​เกี่ยวกับ​พันธกิจ​ พันธสัญญา​ที่ติดตัวมาแต่อดีตชาติ​

29/02/2024

สวัสดีวันเช้าศุกร์ ขอให้มิตรรักแฟนเพจมีความสุขแบบจุกๆ กันไปเรยคร่า🥰

ในที่สุดจะได้จบซีรียส์ตอนการรีโปรแกรมจิตใต้สำนึกซักที หลายตอนเหลือเกิน อยากจะเขียนให้สั้นๆ กระชับๆ แต่หากไม่เกริ่นอารัมภบทก่อน กลัวเพื่อนๆ จะไม่เข้าใจ เรยต้องชักแม่น้ำทั้ง 5 ปูพื้นกันก่อนซะเนิ่นนาน จนในที่สุด มาขมวดจบกันในโพสต์นี้ค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา อ่านกันได้เรยเด้อ

การรีโปรแกรมจิตใต้สำนึกแบบวิธีสุดท้ายคือ

🌟 การสะกดจิตตัวเอง (Self-hypnosis หรือ Auto-hypnosis)

⚡ การสะกดจิตตัวเองนั้นสามารถทำได้หลายแบบ แบบแรกคือพยายามสะกดจิตตัวเองโดยการกล่าวคำซ้ำๆ ย้ำๆ ในขณะตื่น ขณะรู้สึกตัว พูดไปเรื่อยๆ จนจิตมันเชื่อ เหมือนกับที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า หากเราเชื่อในคำโกหกมานานมากพอ บางทีเราก็จะเชื่อว่าคำโกหกนั้นเป็นความจริง อารมณ์เหมือนหลอกตัวเองเบาๆ แต่เราเอามาใช้ในด้านที่ดีนะ เอามาเปลี่ยนทัศนคติเราจากคิดลบให้กลายเป็นคิดดี แต่อย่าเอาไปใช้ในการเข้าข้างตัวเองเพื่อทำสิ่งไม่ดีนะเด้อ

ตัวอย่างเช่น ทหารที่เตรียมตัวจะไปออกรบ มีเวลาเตรียมตัวฝึกร่างกายก่อนเพียงแค่ไม่กี่เดือน แต่ระหว่างที่ไปเข้าอบรม ผู้กองให้ทหารเหล่านั้นท่องทุกวันว่าทหารมีวินัย แกร่งกล้า มีความแข็งแรง สามารถเอาชนะศัตรูได้ ท่องมันทุกวัน ท่องมันทุกเช้าทุกเย็น คำพวกนี้ก็เหมือนเป็นมนต์สะกด และยิ่งอยู่กันกับทหารคนอื่นๆ กันอีกมากมาย ท่องคำเดียวๆ กันซ้ำๆ อยู่ในบรรยากาศที่ทุกคนมีความตั้งมั่น มันจะเกิดการอุปทานหมู่ ทำให้ทหารทั้งกองนั้นเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขาแข็งแรง มีความกล้าหาญ สามารถออกไปสู้รบได้ มีความหึกเหิมและมั่นใจว่าชนะ

อันนี้เราก็ทำได้โดยการอยากให้เราเป็นคนแบบไหน ก็หมั่นพูดให้ติดปาก คอยท่องคำพวกนั้นให้ขึ้นใจ สะกดตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วคำบริกรรมเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึก แล้วบุคลิกของเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปตามคำที่เราพร่ำสะกดตัวเองไว้

⚡นอกจากการท่องมนต์สะกดหรือการบริกรรมสะกดจิตตัวเองแล้ว ยังมีวิธีที่ง่ายอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้แอดมินได้เคยลองมากับตัวเองแล้ว โดยเมื่อประมาณปลายปี 2565 แอดมินได้เผชิญกับสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจหลายเรื่องที่มารุมเร้าพร้อมๆ กัน แล้วเนื่องจากแอดมินอยู่ต่างประเทศ อากาศช่วงนั้นหนาวจัด หิมะตกทุกวัน ทำให้แอดมินเผชิญสภาวะจิตตกจนถึงขั้นเป็นซึมเศร้า แต่เนื่องจากช่วงนั้นก็ต้องดูดวงให้ลูกดวงเยอะมากในแต่ละวัน จิตของเราก็ตก จิตของลูกดวงก็ประคอง และเนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงที่แอดมินได้เริ่มศึกษาเกี่ยวกับพลังงานอย่างจริงจัง จึงพยายามหาทางบำบัดจิตตัวเองให้กลับมามีแรง จะได้มีแรงส่งกำลังใจให้ลูกดวงต่อ

จนได้มาเจอกับการรีโปรแกรมจิตใต้สำนึกของ Dr. Bruce Lipton ซึ่งหลังจากใช้เวลาศึกษาวิธีการนี้มาพอสมควรจนคิดว่าเข้าใจอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงคิดว่าวิธีนี้ง่ายและปลอดภัย และคิดว่าไม่มีอะไรต้องเสีย วิธีการก็ไม่ได้ซับซ้อนหรือยากอะไร น่าจะเป็นอะไรที่ทำได้ง่ายที่สุดและดีกว่าเสียตังค์ไปพบจิตแพทย์แน่นอน จึงได้ทำการทดลองกับตัวเอง โดยใช้ระยะเวลาประมาณทั้งสิ้นไม่เกิน 2 เดือน

และผลที่ออกมาถือว่าดีมาก มีความรู้สึกสดชื่น เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากขึ้น มีกำลังใจมากขึ้น และที่สำคัญคือ ไม่กลับมารู้สึกจิตตกซึมเศร้าอีกต่อไป จึงได้แนะนำให้เพื่อนๆ และลูกดวงไปทดลองทำตามกันหลายต่อหลายคน ซึ่งฟีดแบ็คกลับมาค่อนข้างดีมากแทบทุกคน

มามะ มาเข้าเรื่องกันซักที มาดูสิว่าต้องทำกันอย่างไร

อย่างที่เกริ่นมาในโพสต์ก่อนหน้านี้แล้วว่า ความถี่ของคลื่นสมองของเด็กอายุ 7 ขวบปีแรกนั้นอยู่ในความถี่ระดับ Theta ซึ่งหากเราต้องการที่จะเข้าไปรีเซ็ทจิตใต้สำนึก เราต้องทำให้สมองเราทำงานอยู่ในระดับคลื่นความถี่นี้ให้ได้เสียก่อน นอกจากการที่จะไปให้หมอสะกดจิตให้เราตกอยู่ในภวังค์เพื่อเข้าไปสู่ระดับความถี่เธต้าแล้ว เราก็ยังสามารถทำได้ด้วยการนอน

โดยก่อนอื่นให้เราหาโปรแกรมหรือชุดข้อมูลที่เราอยากโปรแกรมใหม่มาก่อน เช่น หากเรารู้สึกมีปมในใจ ชอบคิดว่าเราไม่ดีพอ ไม่มีคุณค่า ไม่เก่ง ชอบด้อยค่าตัวเอง ให้หาพวกคลิปประเภท Self Affirmation คลิปบอกรักตัวเอง คลิปกล่าวชื่นชมตัวเองมาเตรียมไว้ ควรหาคลิปที่คนพูดเสียงค่อนข้างนุ่มนวล เสียงดนตรีไม่ดังจนเกินไป ฟังแล้วสบายหู คลิปยิ่งยาวเท่าไหร่ยิ่งดี หรือให้มีความยาวอย่างน้อยซัก 2 ชั่วโมง หรือหากสามารถวนลูปไปถึงเช้าได้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ (หากเปิดจากยูทูป จะดีมากหากไม่มีคลิปโฆษณามาคั่นระหว่างฟัง)

เมื่อได้คลิปที่อยากฟังเรียบร้อยแล้ว ให้เราเตรียมตัวนอน จัดตัวเองอยู่ในท่าที่สบายและผ่อนคลายที่สุด ใส่หูฟังแล้วเปิดคลิปที่เตรียมไว้ ในระหว่างที่เรามีสติรู้สึกตัว จิตสำนึกจะเป็นจิตที่ควบคุมสั่งการสมอง แต่หากเรานอนหลับเมื่อไหร่ จิตสำนึกจะทำการตัดการเชื่อมต่อกับสมอง แล้วจิตใต้สำนึกจะเข้ามาทำการควบคุมแทน ฉะนั้นให้เรานอนฟังคลิปไปจนกว่าจะหลับ หากยังไม่หลับจิตสำนึกก็ได้ฟัง ก็ได้สะกดจิตเราไปเหมือนกับแบบแรกที่มีการบริกรรมให้จิตฟัง แต่หากหลับเมื่อไหร่ปุ๊ป ก็จะเป็นจิตใต้สำนึกเราที่ได้ฟังแทน

แรกๆ อาจจะรู้สึกหลับยากหากเราเป็นคนที่ต้องนอนแบบไม่มีเสียงรบกวนใดๆ สำหรับแอดมินใช้เวลาในการปรับตัวเวลา 2-3 วัน ฟังไปเรื่อยๆ จนร่างกายเราก็จะปรับตัวได้และชินกับเสียงของคลิปที่พูดไปเรื่อยๆ ในหูฟังและในที่สุดก็นอนหลับได้โดยไม่รู้สึกรำคาญในที่สุด

แล้วให้ฟังอย่างนี้ไปทุกๆ คืน ฟังตั้งแต่เริ่มเข้านอนจนนอนหลับสนิท ฟังต่อไปจนเช้าหากทำได้ หรืออย่างน้อยซัก 2 ชั่วโมงแล้วตื่นมาปิดก็ได้ การที่เราหลับแล้วเปิดคลิปให้จิตใต้สำนึกฟังนั้น จิตสำนึกไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าสิ่งที่ฟังถูกหรือไม่ แต่หากฟังบ่อยมากพอ ถี่มากพอ จิตใต้สำนึกจะเริ่มบันทึกข้อมูลชุดนี้เข้าไปแทนข้อมูลชุดเก่า และเริ่มเชื่อว่าสิ่งที่ได้ฟังนั้นเป็นจริง

แต่ๆๆๆ สิ่งที่เราจะฟัง โปรแกรมที่เราจะบันทึกลงในจิตใต้สำนึก มีข้อแม้ว่าต้องพูดประหนึ่งเหมือนสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว พูดเป็น Present Tense เช่น หากเราติดขัดเรื่องการเงิน เรามีความขัดสนตลอดมา เราอาจจะต้องฟังคลิปที่พูดเหมือนเราได้มีความมั่งคั่งมากมายนั้นแล้ว ลองนึกดูสิว่า หากเราฟังคลิปที่พูดแต่สิ่งที่เราอยากให้เกิดในอนาคต สิ่งที่เราอยากจะมี เช่น ขอให้รวย ขอให้ปัง จิตใต้สำนึกก็จะคิดแต่ว่าเออ มันเป็นอนาคต ตอนนี้ยังไม่รวย และหากฟังคลิปนี้ไปเรื่อยๆ จะอีกกี่ปีข้างหน้า ก็ยังจะขอให้รวย ขอให้ปัง มันก็ยังคงเป็นสิ่งที่อยู่ในอนาคต มันก็เลยไม่มาถึงซักที

ตัวอย่างง่ายๆ ที่แอดมินพูดจนติดปากบ่อยๆ ก็คือ “ขอบคุณที่เงินทองเข้ามาอย่างง่ายดาย มากมาย ใช้ไม่ทัน” จิตใต้สำนึกเราได้ฟังคำพูดนี้ทั้งคืน วนๆ ไป ฟังทุกวันอย่างน้อย 60 วันต่อเนื่อง ไอ้คำพวกนี้จะถูกบันทึกทับกับชุดความคิดชุดเดิม จิตใต้สำนึกไม่รู้หรอกว่าเรารวยแล้วจริงหรือปลอม แต่หากพูดบ่อยเข้า จิตใต้สำนึกก็จะไปลบข้อมูลเดิมๆ แล้วจดจำข้อมูลชุดนี้ไว้แทน

แล้วพอเวลาเราตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในแต่ละวัน หากเราเผลอไผล เหม่อเมื่อไหร่ (ซึ่งโดยส่วนมาก วันนึงๆ เราก็อมีสติตื่นรู้อยู่แค่ 5%) จิตใต้สำนึกจะเข้ามาทำงานแทนที่ทันทีโดยอัติโนมัติ แม้จะเผลอก็ยังขยัน แม้จะเหม่อก็ยังตั้งใจทำงาน ขยันแบบเหม่อๆ ตั้งใจแบบเบลอๆ เพราะจิตใต้สำนึกเราเชื่อไปแล้วว่าเรารวยแล้วในปัจจุบัน ถ้ายังไม่รวย มันจะต้องทำให้รวยไม่ว่าจะยามหลับยามตื่น ยามเผลอยามไผล ตามสัญชาตญาณที่ถูกบันทึกไว้ใหม่ เอาเซ่ๆๆ 😂

แรกๆ เราอาจจะรู้สึกฝืนว่าเรายังไม่ดีไม่รวย แต่ไปฟังคลิปบอกว่าเราดีเรารวยแล้ว มันใช่เหรอ ดร.บรู๊ซ ลิปตัน ได้กล่าวไว้ว่า “Fake it until you make it.” ซึ่งแปลโต้งๆ ก็คือ ถ้าเอ็งยังไม่รู้สึก ก้อฟังไปเรื่อยๆ ให้คิดไปซิว่าดีแล้วรวยแล้ว จนกว่าจิตใต้สำนึกเราจะปลูกฝังความเชื่อนี้ไว้ลึกสุดใจ ระหว่างที่เราฟังไปตั้งแต่วันแรก ให้เราลองสังเกตุดูความรู้สึกของเราไปด้วยในแต่ละวัน ว่าจิตของเราสดชื่นขึ้น ตั้งมั่นขึ้นหรือไม่ จะให้ได้ผลมากที่สุด ควรฟังอย่างน้อย 45-60 วันเป็นต้นไป แล้วจิตของเราจะไม่กลับมาห่อเหี่ยว หรือจิตตกอีกต่อไป

หากเพื่อนทั้งหลายอยากจะลองวิธีนี้ดู ก็ลองไปหาได้ในยูทูป มีคลิปมากมายทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ลองฟังดูตามที่ถูกจริตของเราได้เลย

อ้อ หากหาคลิปที่ถูกใจไม่ได้ มีอีกวิธีคือ เราสามารถอัดเสียงของเราเองด้วยก็ได้ โดยทำการหากระดาษมาจดก่อนว่าอยากบันทึกโปรแกรมอะไรลงในจิตใต้สำนึก อยากให้เราเป็นอย่างไรก็จัดได้เองตามใจชอบ เราอาจจะเริ่มจากการขอบคุณตัวเองที่ขยันหมั่นเพียร ที่เป็นคนคิดบวก จิตใจเข้มแข็ง ขอบคุณร่างกายที่แข็งแรง ที่มีพละกำลังในการทำกิจกรรมต่างๆ ขอบคุณครอบครัวที่อยู่เคียงข้างคอยให้กำลังใจ ขอบคุณที่มีเงินใช้อยากมากมายล้นเหลือ ฯลฯ

เขียนร่ายไปจนจบแล้วก็ทำการบันทึกเสียงตัวเองลงบนมือถือ เวลาพูดก็ให้พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ช้าๆ ค่อยๆ พูด และอาจจะมีเสียงดนตรีคลอเบาๆ หากพูดจบแล้วคลิปมันสั้นเกินไป ก็ให้เลือกฟังก์ชั่นวนลูปไปเรื่อยๆ แล้วเอาคลิปเสียงตัวเองนี่แหล่ะ ฟังก่อนนอน (จะบอกว่าแอดมินเคยลองอัดเสียงตัวเองแล้ว หลอนมากมาย ตื่นมาต๊กใจทุกที เสียงใครฟระ แหบน่ากลัวจัง สุดท้ายเลยเลือกไปฟังเสียงคนอื่นแทน 😂)

เทคนิคอีกนิดนึงที่อยากจะทิ้งท้ายคือ ในช่วงก่อนที่เรานอนตอนที่เรากำลังจะเคลิ้มหลับประมาณ 15 นาที และตอนที่เราเพิ่งตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ในช่วง 15 นาทีแรก จะเป็นช่วงที่สมองเราทำงานอยู่ในคลื่นระดับเธต้า ฉะนั้นการกำหนดจิตหรือตั้งจิตเราไว้ก่อนนอน หรือหลังตื่นนอนใหม่ๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะสมองของเราจะทำงานอยู่ในคลื่นความถี่นี้ จะได้ผลเร็วยิ่งขึ้นไปอีก

เห็นไม๊คะ การรีโปรแกรมจิตใต้สำนึกนี้ช่างแสนง่าย ประหยัด ปลอดภัย และสามารถเริ่มทำได้เลย และบอกเลยว่าตั้งแต่ที่แอดมินได้ทำมาตั้งแต่ปลายปี 2565 ทุกวันนี้แอดมินไม่เคยจิตตกอีกเลย อาจจะมีจ๋อยๆ บ้าง แต่ไม่เคยดิ่งจนถึงขั้นซึมเศร้าอีกต่อไป แถมยังรู้สึกว่าเป็นคนที่คิดบวก มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความสุขมากได้ง่ายขึ้นไปอีก

อ้อ เผื่อใครสนใจวิธีการนี้ แอดมินมีแปะลิงค์ Self Affirmation ที่แอดมินทดลองฟังมากับตัวเองแล้วเวิร์คไว้ให้ในคอมเมนท์นะคะ มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ภาษาไทยที่เลือกของคนนี้เพราะเสียงแม้จะแหบนิดหน่อย แต่จังหวะจักโคนการพูดกำลังดี เนื้อหาที่พูดใช้ได้ ความยาวของคลิปก็ยาวกำลังดี และที่สำคัญเสียงเพลง background ไม่ดังหนวกหู แล้วมีคลิปใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ส่วนของภาษาอังกฤษของเจ้านี้ก็พูดดี เสียงน่าฟังนุ่มนวล คลิปมีความยาวฟังสบาย ไม่มีโฆษณามาคั่นรบกวนค่ะ

ไว้หากเพื่อนๆ ได้ลองทำแล้วได้ผลอย่างไร มาแชร์ประสบการณ์กันด้วยนะคะ ชอบกันไม๊คะกับเนื้อหาเกี่ยวข้องกับจิตและคลื่นสมองต่างๆ ถ้าชอบไม่ชอบยังไง คอมเมนท์ทิ้งไว้ได้นะคะ จะได้เอามาเพื่อปรับคอนเทนต์ให้เหมาะ ตรงกับใจมากขึ้น และถ้าหากชอบคอนเทนต์ประเภทนี้ ไว้โอกาสหน้าหากแอดมินไม่ลืมจะมาสอนวิธี Manifestation หรือวิธีการเสกของกันค่ะ 🤩

29/02/2024

สวัสดีวันพฤหัสบดีสีแสด 🍁🍁🍁

วันนี้เราจะมาคุยกันเกี่ยวกับการรีโปรแกรมจิตใต้สำนึกกันซักทีนะคะ

อย่างที่ได้เล่าไว้ในโพสต์ก่อนว่าสมองของเรานั้นถูกดำเนินการด้วยจิต 2 ประเภทด้วยกัน ซึ่งก็มีจิตสำนึก (Conscious Mind) และ จิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) โดยจิตใต้สำนึกถือว่าเป็นจิตที่ดูแลสมองดั้งเดิมตั้งแต่เกิดและสามารถประมวลผลข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมได้ 40 ล้านบิตในทุกๆ วินาที ขณะที่จิตสำนึกเราประมวลผลได้แค่ 40 บิตต่อวินาที ซึ่งถือว่าจิตใต้สำนึกของเรานั้นทรงพลังและทำงานได้ว่องไวกว่าเป็นล้านเท่า แต่จิตใต้สำนึกจะทำแต่สิ่งเดิมๆ ที่เคยชิน ที่ทำเป็นกิจวัตรเท่านั้นโดยไม่ได้มีความสร้างสรรค์ และแม้หากจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็จะวนเทปเดิมๆ ซ้ำๆ ย้ำๆ อยู่อย่างนั้นเเหมือนเป็นออโต้ไพล๊อต

จิตใต้สำนึกของเรานั้นอยู่ในส่วนเล็กๆ ในเยื่อหุ้มสมองที่อยู่ส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งมีความลึกกว่าจิตสำนึก คนเรามักจะไม่ค่อยได้นำจิตสำนึกมาใช้มากมากนัก ในขณะที่จิตสำนึกค่อยๆ ประมวลผลแบบช้าๆ แต่ชัวร์ๆ แต่จิตใต้สำนึกนั้นประมวลผลได้รวดเร็วคล่องแคล่วว่องไวมากกว่ามาก จึงไม่ต้องแปลกใจว่าเวลาที่มีเหตุฉุกเฉินหรือมีเหตุอะไรที่กดดันเราหนักๆ สมองเราจะถูกสั่งการจากจิตใต้สำนึกนี้ เพราะจิตใต้สำนึกสามารถรองรับข้อมูลมากๆ จากหลายๆ ทางและประมวลผลได้รวดเร็วกว่า จึงสั่งการได้ฉับพลันและแก้ปัญหาได้แบบอัตโนมัติ แต่ข้อแตกต่างจะอยู่ที่ว่าจิตใต้สำนึกนั้นจะทำได้แต่สิ่งที่คุ้นชินเป็นกิจวัตรเท่านั้น

จิตสำนึกนั้นช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถกำหนดเจตจำนงได้ว่าอะไรที่อยากทำหรือไม่อยากทำ สามารถควบคุมทุกร่างกายได้ แต่จิตสำนึกนั้นสามารถจัดการได้เพียงไม่กี่อย่างในเวลาเดียวกันเท่านั้น ขณะที่จิตใต้สำนึกสามารถจัดการอะไรได้หลายพันอย่างในเวลาเดียวกัน

เช่น เวลาเราขับรถกลับบ้านแล้วจู่ๆ มีเพื่อนโทรมา เราก็เอาจิตไปจับกับบทสนทนา คุยกับเพื่อนไป ตามองกูเกิ้ลแมพไป แต่ถามว่าเราต้องสั่งให้มือเราต้องตบไฟเลี้ยวขวาหากถึงแยกที่ต้องเลี้ยว หรือต้องสั่งให้เท้าเหยียบเบรคไม๊เวลาเจอไฟแดงหรือไม่ ก็ไม่ แต่เราก็ขับรถไปคุยไปจนขับมาจอดถึงหน้าบ้านได้โดยปลอดภัย บางทียังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าขับมาถึงบ้านได้อย่างไร เพราะจิตสำนึกเราอยู่กับการคุยโทรศัพท์และจิตใต้สำนึกเราก็เข้ามาทำงานแทนที่ในการขับรถแบบอัติโนมัติ

รู้ไหมว่าในชีวิตประจำวันของเรานั้น คนที่มีความรู้สึกตัวมีสติกันในแต่ละวันนั้นมีเพียงแค่ 5% และส่วนมากจะมีความรู้สึกตัวกันเพียง 1% ในการดำรงชีวิต ดังนั้น หากทุกวันนี้เราใช้ศักยภาพของสมองเราอยู่แค่ 1% ในโหมดจิตสำนึก แล้วอีก 95-99% อยู่ในโหมดจิตใต้สำนึก แล้วถ้าเราได้รับการโปรแกรมแบบเชิงลบมาในช่วง 7 ขวบปีแรก ชีวิตของเราทั้งชีวิตก็จะเจอแต่ประสบการณ์เชิงลบไปด้วยเนื่องจากจิตใต้สำนึกเราถูกโปรแกรมมาแบบนั้นนั่นเอง

งั้นเราจะทำการล้างโปรแกรมเก่าๆ ที่ถูกบันทึกมาในช่วง 7 ขวบปีแรกได้อย่างไร

🌟 การใช้จิตตานุภาพ (Will Power)

จิตสำนึกเรานั้นประมวลผลได้อยู่ที่ 40 บิตต่อวินาที จะเทียบก็เหมือนคอมพิวเตอร์โบราณที่ตกรุ่น ขณะที่จิตใต้สำนึกประมวลผลได้ถึง 40 ล้านบิตต่อวินาที เปรียบเสมือเป็นควอนตัมคอมพิวเตอร์ จึงทำให้เป็นการยากที่จะให้จิตสำนึกที่ประมวลผลได้เชื่องช้ามาควบคุมจิตใต้สำนึกที่ว่องไวได้แบบเบ็ดเสร็จ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่แค่ต้องอาศัยความตั้งใจหรือพลังของจิตเป็นอย่างมาก ในการตั้งมั่นอย่างแน่วแน่เพื่อประคองจิตให้ตื่นรู้ มีสติให้ได้มากที่สุดในการดำเนินชีวิตประจำวัน หากมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา อยู่กับปัจจุบันได้มากในแต่ละวันเท่าไหร่ เราก็สามารถล้างสิ่งที่ถูกปลูกฝังเชิงลบมาและใส่ข้อมูลชุดใหม่ให้กับตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน

🌟การบำบัดโดยวิธีการทางแพทย์

จิตใต้สำนึกเรานั้นทำงานเหมือนเครื่องเล่นวีดีโอที่คอยเล่นแต่คลิปเดิมๆ ชุดข้อมูลเดิมๆ ที่ถูกปลูกฝังมาในอดีต วนเป็นลูปไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ ทางที่ลัดที่สุดในการล้างชุดข้อมูลชุดเดิม คือ การไปพบจิตแพทย์ วิธีนี้เป็นวิธีที่เร็วและง่ายที่สุด ซึ่งอาจทำได้โดย

⚡จิตบำบัดหรือการบำบัดบาดแผลทางใจ (EMDR Therapy)

คือการรักษาโดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยจิตแพทย์จะทำการสะกดจิตเราให้ไปอยู่ในความถี่คลื่นสมองระดับ Theta แล้วเข้าไปบำบัดแก้ไขปมในอดีตที่ติดตัวมา ความรู้สึกด้านลบๆ ร้ายๆ หรือความเข้าใจผิดต่างๆ แล้วใส่ข้อมูลชุดใหม่เข้าไป

⚡การรักษาด้วยการใช้คลื่นไฟฟ้าสมอง EEG (Electroencephalography)

คือการรักษาโดยใช้คลื่นไฟฟ้าสมองในการปรับการทำงานของคลื่นสมองให้มีความปกติมากยิ่งขึ้น (optimal) ระหว่างการฟื้นฟู สมองจะเรียนรู้การทำงานที่ปกติมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้อาการต่างๆที่เกิดจากภาวะซึมเศร้า หรือความรู้สึกด้านลบที่ได้รับมาในอดีตลดน้อยลง วิธีการนี้ไม่มีการใช้ยาหรือสารกระตุ้นใดๆ จึงไม่มีผลข้างเคียงอันตรายแก่ผู้เข้ารับบริการ

อย่าเพิ่งตกใจค่ะ แอดมินไม่ได้อยากให้แฟนเพจที่น่ารักต้องไปหาจิตแพทย์เสียตังค์เพื่อรีโปรแกรมจิตใต้สำนึก เดี๋ยวโพสต์แอดมินจะมาสอนวิธีรีโปรแกรมจิตใต้สำนึกกันแบบง่ายๆ เงินก็ไม่ต้องเสีย แถมได้ผลดีด้วย ไว้รอติดตามอ่านตอนสุดท้ายกันโพสต์หน้าค่ะ

ขอบคุณที่ยังตามอ่านกันค่าาาา 🥰

28/02/2024

สวัสดี​มิตรรักชาวมูทั้งหลาย

รอบนี้มีดาวพระเกตุย้าย​ มาอัพเดทดวงจากอาจารย์​แบงค์แห่ง​ .future​ เช่นเดิมกันค่ะ​

สวัสดีครับทุกท่านอัพเดทดวงดาวย้ายรอบนี้คือดาวเกตุครับ (๙) ย้ายเข้าสู่ราศีมีนตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 01.04 อยู่ไปถึงวันที่ 22 เมษายน 2567 15.03
ซึ่งปกติแล้วดาวเกตุ ก็จะย้ายกันทุก 2 เดือนโดยประมาณ เป็นดาวที่มีความหมายสลับซับซ้อน ไม่ได้จัดอยู่ในระบบดาวนพเคราะห์ แต่มีพลังจริงๆ รอบนี้ที่พิเศษคือจะเจอดาราหู(๘) กลายเป็นคู่ดาว๘๙ ( ซึ่งบางตำนานก็หมายถึงว่าดาวเกตุคือส่วนหางของราหูที่ขาดออกไป เมื่อดาวเกตุเข้ามาเจอราหู ราหูก็จะคืนร่างเต็ม คล้ายๆนางเหงือก มีหางเป็นปลา)​
โดยปกติใครที่มีพื้นชะตากำเนิดในดวงใครมีดาวราหูกับดาวเกตุ ทับหรือเล็งกัน ลึกๆแล้วมักเป็นพวกชอบสร้างตำนาน อย่างเบาก็เป็นพวกมีเกียรติบัตรเยอะ มีโล่รางวัลเยอะ อย่างหนักก็คือ มีความกระหายใครรู้ในการเรียนรู้สิ่งที่มันลึกมากๆ หรือสร้างตำนานสร้างงานที่น้อยคนจะทำได้ ข้อเสียเมื่อเรียนรู้อะไรในเชิงลึกมากไปแล้ว จะกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเพราะไม่ค่อยมีใครเข้าใจในวิธีคิดของตัวเอง ถ้าถูกทางส่วนใหญ่จะร่ำรวยในที่สุด ( เพราะวิธีคิดใช้ชีวิตจะสวนทางกับคนส่วนใหญ่)
ภาพใหญ่ในดวงเมือง ดาวราหู ดาวเกตุ เจอกันในมุมวินาศของดวงเมืองแปลว่าช่วงนี้แหละ Project ลับๆ ดิวลับๆ รวมถึงการผันผวนของค่าเงินตลาดหุ้นด้วย ข้อดีก็จะเป็นเรื่องของเทศกาลต่างๆ ที่ต่างชาติพูดถึงเป็นตำนานของประเทศ
ในมุม 12 ราศี
#ราศีเมษ ♈มีคนเสนอผลประโยชน์ทางลับ เข้ามา ต้องกินแบ่ง ห้ามกินรวบไม่งั้นโดนรวบเอง
#ราศีพฤษภ​ ♉มีโชคแบบคาดไม่ถึง คนอายุมากกว่าให้โชค ทรัพย์สินเก่าๆที่เคยมี อยู่ดีๆราคากระโดดขึ้นมาช่วงสั้นๆ
#ราศีมิถุน​ ♊ทำงานกับคนต่างถิ่นต่างชาติ ต่างวัฒนธรรมแบบสุดขั้ว
#ราศีกรกฎ​ ♋กิจกรรมเข้าวัดทำบุญ เยี่ยมชมโบราณสถาน
#ราศีสิงห์​ ♌เจอคนรู้จักเก่าๆ ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเจอของดิบบ่อย
#ราศีกันย์​ ♍เดินทางไกลไปต่างจังหวัดพักผ่อนจิตใจฟื้นพลังชีวิตสนใจเรื่องธรรมะจิตวิญญาณ
#ราศีตุลย์​ ♎ จัดสรรทีมงานใหม่ๆ รวมถึงการเอาเทคโนโลยีใหม่ๆมาร่วมในการทำงานเพิ่มขึ้น
#ราศีพิจิก​ ♏ ดาวเกตุเข้าสู่ตำแหน่ง ทีมงานลูกหลาน แปลว่ามันมีสภาวะห่างกัน ในบางช่วง เช่นไปเข้าค่าย ไปธุระ หรือไม่มีช่วงที่ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อย
#ราศีธนู​ ♐ ช่วงเวลาจัดบ้านใหม่ เอาของที่ไม่ค่อยได้ใช้ไปทิ้ง จัดระบบคนในบ้าน
#ราศีมังกร​ ♑ เจอเพื่อนกลุ่มใหม่ที่มีวัฒนธรรมต่างกับเราสูง ต้องปรับตัวเข้าหากัน
#ราศี​กุมภ์​ ♒ ได้เงินเยอะจ่ายเงินเยอะในเวลาเดียวกันดังนั้น จัดสรรงบประมาณดีๆ
#ราศีมีน ♓ เดินทางไกลไปนอนต่างจังหวัดอยากพักผ่อนฟื้นพลังตัวเอง พยายามดูแลสุขภาพเยอะๆมันมีอารมณ์ไม่อยากกินข้าว

Cr. .future

27/02/2024

สวัสดีวันพุธสีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ค่า 🍀🍀🍀

เมื่อวานเราคุยค้างกันไว้ที่การรีโปรแกรมจิตใต้สำนึก ว่าจะทำกันได้อย่างไร

แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักความถี่ของคลื่นสมอง (Brainwave) ในระดับต่างๆ ของเรากันก่อนค่ะ พอเราเข้าใจถึงความถี่ในระดับต่างๆ แล้ว เราก็จะเข้าใจถึงการรีโปรแกรมจิตใต้สำนึกได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยความถี่ของคลื่นสมองของเรานั้นมีหลายระดับ ซี่งแบ่งออกเป็น

🌟 คลื่นสมองระดับเดลต้า (Delta brainwave) ความถี่ 1/2 – 4 Hz

เป็นคลื่นสมองที่ต่ำที่สุด สมองทำงานตามความจำเป็นเท่านั้น แต่กระบวนการของ จิตใต้สำนึกจะจัดเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งจะพบได้ในสมองของเด็กแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 2 ขวบที่ทำงานอยู่ในคลื่นเดลต้านี้ และผู้ใหญ่ที่อยู่ในสภาวะหลับลึกสมองก็จะทำงานอยู่ในคลื่นเดลต้าเช่นกัน จึงไม่แปลกใจที่ทำไมเด็กทารกแรกเกิดจึงไม่สามารถตื่นได้เป็นเวลานานๆ แค่ตื่นไม่กี่นาทีก็ต้องนอนหลับต่อ และแม้จะมีอายุ 1 ขวบ ก็อาจจะตื่นบ่อยขึ้น แต่สมองยังคงใช้จิตใต้สำนึกในการทำงานเป็นหลักอยู่ ซึ่งจิตในคลื่นความถี่นี้มีการใช้ความคิดเชิงวิพากษ์หรือการตัดสินน้อยมาก ส่วนมากจะเป็นการดำเนินชีวิตในโหมด Survival หรือเอาตัวรอดจากสัญชาตญาณ

โดยทางการแพทย์ได้ใช้ประโยชน์จากคลื่นสมองเดลต้านี้ในการผ่าตัดคนไข้ โดยวางยาสลบคนไข้ก่อนผ่าตัดเพื่อให้หลับได้ลึกที่สุด ซี่งระหว่างที่หลับในคลื่นนี้คนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยตลอดระยะเวลาที่ผ่าตัดจนกว่าจะตื่นขึ้นมาถึงอาจจะเริ่มมีอาการเจ็บแผลทีหลังได้

สำหรับเด็กทารกที่ยังอยู่ในครรภ์ เด็กน้อยกำลังง่วนกับการได้รับการตั้งโปรแกรมระหว่างที่หลับอยู่ในท้องคุณแม่ ซึ่งขบวนการนี้สำคัญมากเพราะหลังจากเด็กน้อยนี้ได้คลอดออกมา ก็จะรู้วิธีเลียนแบบลักษณะท่าทางต่างๆ ของคุณพ่อคุณแม่ได้ เบบี๋เหล่านี้ถูกโปรแกรมมาให้สร้างสายสัมพันธ์กับใครก็ตามที่มาเป็นผู้ที่ดูแลน้อง เพราะเป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดที่ถูกโปรแกรมมาตั้งแต่สมัยอยู่ในท้องคุณแม่นั่นเอง

🌟คลื่นสมองระดับเธต้า (Theta brainwave) ความถี่ 4-8 Hz

เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นเมื่อมีการผ่อนคลายระดับลึก โดยคลื่นสมองในระดับนี้สามารถดึงข้อมูลจากจิตใต้สำนึก (Subconscious mind) ได้

โดยพบได้มากสุดในเด็กที่มีอายุระหว่าง 2 ถึง 6 ขวบ สมองของเด็กที่ทำงานในคลื่นเธต้านั้นจะเชื่อมต่อกับโลกภายในของตนเป็นอย่างมาก เด็กในช่วงอายุนี้จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการและสนุกกับการฝันกลางวัน โดยจะยังไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญานและมีเหตุผลได้ แต่สมองที่ทำงานในคลื่นเธต้านี้ถือว่าเป็นสภาวะที่สมองสามารถเรียนรู้ได้ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะเป็นช่วงที่สมองจะทำการเปิดรับข้อเสนอแนะ ซึมซับข้อมูลทุกอย่างโดยไม่ตัดสิน ไม่ว่าจะถูกหรือผิดแบบศิโรราบ และยอมรับในข้อมูลที่ได้รับว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นความจริง

ซึ่งทางแพทย์ก็ได้นำประโยชน์ของคลื่นเธต้ามาใช้ในการสะกดจิตบำบัดคนไข้เพื่อไปเยียวยาปมในอดีตที่เคยได้รับแต่เด็ก หรือทำการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้

และสมองของสัตว์เลี้ยงของเราก็ทำงานอยู่ในคลื่นเธต้านี้เช่นกัน จึงทำให้เราสามารถสอนน้องแมวน้องหมาให้ทำตามคำสั่งได้

🌟คลื่นสมองระดับอัลฟ่า (Alpha brainwave) ความถี่ 8-12 Hz

เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นเมื่อมีความสงบ (relaxation) สภาวะนี้เป็นสภาวะที่สามารถรับรู้ข้อมูลได้ดีที่สุด สามารถเรียนรู้ได้ดี (super learning)

ซึ่งจะพบในเด็กอายุระหว่าง 5 ถึง 8 ปี ซึ่งช่วงนี้เองเป็นช่วงที่เด็กจะเริ่มรู้จักวินิจวิเคราะห์ เริ่มตีความและประมวลผลจากสิ่งรอบตัวต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม โลกในจินตนาการและโลกแห่งความเป็นจริงภายนอกยังคงมีน้ำหนักพอๆ กัน ซึ่งเด็กในกลุ่มวัยนี้มีแนวโน้มที่จะก้าวเท้าเข้าไปในโลกทั้งสองโดยการใช้สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาในเวลาเดียวกัน (ทวนความจำกันว่าสมองซีกซ้ายนั้นทำหน้าที่คิดวิเคราะห์ คำนวน คิดแบบวิทยาศาสตร์ และสมองซีกขวาทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ จินตนาการ และมีความคิดเชิงสร้างสรรค์)

ผู้ที่นั่งวิปัสสนาหรือคนที่กำลังเข้าภวังค์ (สภาวะเหม่อลอยหรือครึ่งหลับครึ่งตื่น) สมองของคนเหล่านี้ก็ทำงานอยู่ในคลื่นอัลฟ่าเช่นกัน โดยสมองจะรู้สึกสงบและผ่อนคลายแต่ยังรู้สึกตัว โดยสมองที่ทำงานในคลื่นนี้จะสามารถคิดไอเดียอะไรออกมาเจ๋งๆ ได้ มีความสร้างสรรค์แบบสุดๆ

ซึ่ง Thomas Edison นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในอดีตได้ใช้ประโยชน์จากคลื่นอัลฟ่าในการค้นคว้าวิจัยงานต่างๆ ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันจะค้นพบคลื่นสมองในความถี่ต่างๆ ได้เสียอีก

โดยในสมัยนั้นเอดิสันจะนั่งเอนหลังบนโซฟ่าตัวนุ่มๆ โดยถือตลับลูกปืนไว้ในมือทั้งสอง และวางถาดทองเหลืองไว้ที่พื้น หลังจากนั้นเอดิสันจะพยายามทำสมองให้โล่งปล่อยใจจอย แล้วพยายามทำสมองให้เคลิ้มๆ เพื่อให้งีบได้ และในยามที่เอดิสันเริ่มจะเข้าภวังค์ มือของเขาก็คลายออก ซึ่งทำให้ตลับลูกปืนที่อยู่ในมือหล่นลงมาบนจานทองเหลืองที่พื้นแล้วส่งเสียงดัง แล้วเอดิสันก็จะสะดุ้งตื่น แล้วเค้าก็ทำอย่างนี้ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อให้สมองทำงานในคลื่นความถี่เธต้าและอัลฟ่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลจากการกระทำนี้ ทำให้เอดิสันสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ไว้มากมาย

ฟังแล้วอึ้งกันไม๊คะ หากเรารู้จักการใช้คลื่นสมองในความถี่ต่างๆ ได้ ก็จะเกิดประโยชน์มากมาย ซึ่งอันนี้เองเป็นสิ่งที่สถาบันการศึกษาควรคำนึงถึงให้มากๆ เพราะสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความผ่อนคลาย มีความสนุกสนานได้ เด็กนักเรียนที่อยู่ในสถาบันเหล่านั้นจะมีความสนุก ไม่เครียด และจะสามารถเรียนได้ดีและมีความคิดสร้างสรรค์

🌟คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta brainwave) ความถี่ 12-30 Hz

เป็นคลื่นสมองที่ควบคุมจิตสำนึก สมองพร้อมกับระบบประสาทสัมผัสจะเปิดรับข้อมูลจากทุกด้าน

สมองของเด็กอายุตั้งแต่อายุ 8 ถึง 12 ปีเป็นต้นไปจะเริ่มใช้ชุดข้อมูลต่างๆ ที่ได้เก็บมาตั้งแต่ในอดีตโดยเฉพาะข้อมูลจาก 7 ขวบปีแรกในการประมวลผล โดยมีจิตสำนึกควบคุมความคิดในเชิงวิเคราะห์ จะเริ่มมีสมาธิ และรู้สึกตื่นตัว โดยสมองของผู้ใหญ่ส่วนมากจะทำงานอยู่ในคลื่นความถี่นี้

🌟คลื่นสมองระดับแกมม่า (Gamma brainwave) ความถี่ประมาณ 30-100 Hz
เป็นคลื่นสมองที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่หลักในการแก้ไขปัญหาความจำ และการจดจ่อ (Focus) เรื่องต่าง ๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น เป็นการเชื่อมต่อมิติที่สูงขึ้นไป

คลื่นสมองแกมม่าเป็นคลื่นความถี่คลื่นสมองที่เร็วที่สุด คลื่นชนิดนี้จะทำให้เกิดความมีสมาธิสูงสุด และเป็นความถี่ที่ดีที่สุดของสมองที่ทำให้เกิดสติปัญญา

คลื่นแกมม่าเกี่ยวข้องกับการทำงานของการรับรู้ในระดับสูงของสมอง ซึ่งนักประสาทวิทยาเชื่อว่าคลื่นแกมม่านี้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกส่วนของสมองเข้ามาด้วยกัน

นอกจากนี้ คลื่นแกมม่ายังส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อความจำของมนุษย์และยังสามารถชะลออาการของโรคบางอย่าง เช่น โรคอัลไซเมอร์ ได้อีกด้วย

ตอนนี้เราได้รู้จักความถี่คลื่นสมองทั้ง 5 แล้ว เดี๋ยวโพสต์หน้าเราจะมาคุยกันซักทีค่ะว่าเราจะใช้ประโยชน์จากการที่รู้จักคลื่นความถี่สมองต่างๆ ในการทำการใช้รีโปรแกรมจิตใต้สำนึกได้อย่างไร

ขอให้เช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใสค่า ☀☀☀

27/02/2024

สวัสดีชาวทุ่งลาเวนเดอร์ที่น่ารักทั้งหลาย 🪻🪻🪻

โพสต์ก่อนเราได้มาคุยกันเบาๆ เรื่องของสมองทั้ง 2 ของเรา และสารเคมีแห่งความสุขต่างๆ ที่สมองทั้ง 2 สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ไปแล้ว และก็ได้เกริ่นคร่าวๆ ใน Fun facts เกี่ยวกับสมองไว้ว่า ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ใช้ศักยภาพของสมองของไปเพียงแค่ 5% เท่านั้น วันนี้เราจะมาคุยกันต่อว่า แล้วเราควรจะทำอย่างไรถึงจะสามารถใช้ศักยภาพของสมองเราที่เหลือได้เต็มที่มากขึ้น

🧠 สมองของเรานั้นถูกควบคุมด้วยสภาวะจิต 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ จิตสำนึก (Conscious mind) และ จิตใต้สำนึก (Subconscious mind)

🌟 จิตสำนึก (Conscious mind) หรือที่เราเรียกกันทางพุทธว่า การเจริญสติ (Mindfulness)

คนโดยทั่วไปส่วนมากมักจะไม่เคย หรือไม่ค่อยได้ฝึกการเจริญสติ การวิปัสสนากันมากนัก วันๆ ก็วุ่นกับการใช้ชีวิต การทำมาหากิน อาจจะมีการเหม่อหรือนั่งใจลอย เข้าภวังค์ คิดอะไรฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยไปได้ตลอด ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีความรู้สึกตัวหรือใช้ศักยภาพทางสมองไปแค่ 5%

แต่หากคนที่ฝึกเจริญสติหรือนั่งวิปัสสนาบ่อยๆ พยายามฝึกทำความรู้สึกตัวในแต่ละวันอยู่บ่อยๆ สามารถประคองสติอยู่กับปัจจุบันได้ คนเหล่านี้จะสามารถดึงศักยภาพสมองมาใช้ได้อย่างน้อย 15 ถึง 20% หรือมากกว่านั้นได้อย่างสบายๆ

แล้วสมองในส่วน 80 ถึง 95% ที่เหลือที่ถูกควบคุมด้วยจิตใต้สำนึกหล่ะ มันทำงานอย่างไร แล้วทำอย่างไรเราถึงสามารถนำมาใช้งานได้

🌟 จิตใต้สำนึก (Subconscious mind) หรือที่เรารู้จักกันในนามสัญชาตญาณดั้งเดิม หรือสันชาติดิบ มันเกิดมาจากอะไร

อย่างที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ในโพสต์ที่แล้วว่า ทารกแรกเกิดนั้นเกิดมาพร้อมกับขนาดหัวที่ใหญ่เพราะต้องรองรับกับการเจริญเติบโตของสมองที่พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะสังเกตได้ว่าเด็กที่เพิ่งเกิด ตรงบริเวณกระหม่อมหากลองสัมผัสดูจะรู้สึกว่านิ่มๆ เพราะกระโหลกตรงกระหม่อมของเด็กจะยังไม่ปิดสนิทหรือสมานกันดี จะยังสามารถขยายขนาดเพื่อรองรับสมองที่จะมีการพัฒนาและมีขนาดใหญ่ขึ้น และกระโหลกตรงนี้จะทำการสมานกันในที่สุดหลังจากเด็กอายุ 7 ขวบปีขึ้นไป

หากลองสังเกตดู เด็กๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 7 ขวบนั้นมีจินตนาการค่อนข้างสูง ยังมักจะปนเรื่องชีวิตความเป็นจริงมาปนกับเรื่องในแฟนตาซีอยู่มาก ยังอยากเป็นเจ้าหญิงดิสนี่ย์ อยากขี่ม้ายูนิคอร์น อยากไปปีนสายรุ้ง หรือบางคนอาจจะมีการสร้างเพื่อนในจิตนาการขึ้นมาและคุยเล่นกับเพื่อนได้เหมือนมีเพื่อนอยู่จริง

ทั้งนี้เพราะสมองของเด็กน้อยเหล่านั้นยังไม่ได้มีการแบ่งเป็นซีกซ้ายซีกขวา ซึ่งสมองซีกซ้ายนั้นทำหน้าที่คิดวิเคราะห์ คำนวน มีความคิดเป็นเหตุเป็นผลเป็นวิทยาศาสตร์ โดยขณะที่สมองซีกขวาทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ จินตนาการ และมีความคิดเชิงสร้างสรรค์

ซึ่งช่วง 7 ขวบปีแรกนี้นี่เองเป็นช่วงที่สมองของเราจะซึมซับทุกอย่างเหมือนกับฟองน้ำ โดยไม่มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่จะทำการเก็บข้อมูลอย่างเดียว เป็นช่วงที่เด็กๆ ทำการเรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมและมารยาททางสังคมต่างๆ ซึ่งจะหล่อหลอมให้เด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า โดยบันทึกลงไปในจิตใต้สำนึกโดยที่ไม่รู้ตัว และสิ่งที่ได้ซึมซับไปนั้นจะถูกนำมาใช้ในยามจำเป็นโดนอัตโนมัติ ซึ่งเราจะก็จะเรียกสิ่งนี้ว่า สัญชาตญาณ หรือออโต้ไพล๊อต

เด็กที่เติบโตมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น มีความสุข มีความรักที่ได้รับจากครอบครัวอย่างเปี่ยมล้น คุณพ่อคุณแม่คอยให้กำลังใจ โอบกอด พูดจาด้วยเหตุและผลในช่วง 7 ขวบปีแรก จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีหนักแน่นทางจิตใจ มีความมั่นคงและความมั่นใจ เป็นคนมีเหตุมีผล มีความรักที่จะหยิบยื่นให้คนอื่นได้ มองโลกในแง่บวก สุขภาพจิตดี

แต่ขณะเดียวกันหากเด็กเหล่านี้เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย โดนดุด่าว่ากล่าวตลอดเวลา โดนตำหนิ โดนทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีแต่คนพูดจาถากถาง ไม่ให้กำลังใจ ไม่ได้รับความรักและการสัมผัสอย่างอบอุ่นจากครอบครัว เด็กเหล่านี้เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกไม่มีความมั่นใจ ไม่หนักแน่น มองโลกในแง่ร้าย เห็นแก่ตัว ไม่มีความสุข อิจฉาริษยา เห็นแก่ตัว รักคนอื่นไม่ได้ และรักตัวเองไม่เป็น

หรือเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูโดยครอบครัวๆ หนึ่ง ซึ่งในครอบครัวนั้น สมาชิกทุกคนทยอยกันเป็นโรคร้ายที่ได้มาจากทางพันธุกรรม ซึ่งเด็กคนนี้แม้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับสมาชิกของครอบครัวดังกล่าว แต่การที่ได้เติบโตมาในช่วง 7 ขวบปีแรกท่ามกลางคนรอบกายที่ป่วยออดๆ แอดๆ มองไปทางไหนสมาชิกคนในบ้านก็ทะยอยล้มป่วยและตายกันไปทีละคน พอเด็กคนนี้โตขึ้นมา ก็อาจจะมีสุขภาพที่อ่อนแอ ขี้โรค และในที่สุดก็อาจจะป่วยเป็นโรคร้ายโรคเดียวกันกับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวได้ เพราะเด็กคนนี้ได้ซึมซับสภาพความเป็นอยู่ ที่ล้อมรอบไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และสิ่งเหล่านั้นได้ถูกบันทึกลงไปในจิตใต้สำนึกเรียบร้อยแล้ว

จะเห็นได้ว่า 7 ขวบปีแรกของชีวิตเรานั้นสำคัญมากขนาดไหน ซึ่งพ่อแม่ทุกคนควรให้ความสำคัญกับเด็กในช่วงนี้มากที่สุด ถ้าเราต้องการให้ลูกของเราเป็นอย่างไร เราต้องปลูกฝัง ชมเชย โอบกอด ให้กำลังใจให้ได้มากที่สุดเพื่อปลูกฝังพื้นฐานจิตใจให้เป็นลูกของเรามีความมั่นคงทางจิตใจ ไม่จิตตก ไม่คิดลบคิดร้าย และเด็กเหล่านี้ก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีจิตใจมั่นคง มีความมั่นใจ มองโลกในแง่ดีได้ในอนาคตนั่นเอง

มาถึงตรงนี้ พวกเราคงสงสัยกันว่า แล้วเราจะสามารถกลับไปแก้ไขจิตใต้สำนึกของเราที่ถูกบันทึกมาแบบผิดๆ ลบๆ ร้ายๆ ตั้งแต่อดีตสมัยเป็นเด็กน้อยได้หรือไม่

ไว้โพสต์หน้าเรามาคุยกันค่ะว่าเราจะทำการรีโปรแกรมจิตใต้สำนึกของเรากันได้อย่างไรบ้าง

ขอให้ทานข้าวกลางวันกันให้อร่อยค่า 🥰

26/02/2024

สวัสดีวันจันทร์ชาวโลกทั้งหลาย 🌎

วันนี้จะมาชวนคุยกันเรื่องสมองของเรากันค่ะ ซึ่งจะเกี่ยวกับความจริงอันน่าทึ่งเกี่ยวกับสมองของเรา รวมถึงสารความสุขที่สมองของเราสามารถผลิตเองได้ มาดูกันค่ะว่าเนื้อหามีอะไรบ้าง

เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเรารู้เกี่ยวกับสมองของเรานั้นมันแค่เป็นส่วนเสี้ยวเล็กๆ และยังมีสิ่งที่น่าพิศวงงงงวยมากมายที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับสมองของเรา วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสมองของเรากันซักหน่อย

🧠 สมองของเรานั้นมีน้ำหนักประมาณ 2% ของน้ำหนักตัวของเรา

🧠 เห็นสมองของเราแบบนี้ รู้ไหมว่าสมองเราใช้พลังงานประมาณ 20% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายผลิตได้ ฉะนั้นไม่น่าแปลกใจเลยว่าเวลาคนต้องใช้ความคิดเยอะๆ จะรู้สึกเหนื่อยและล้า เพราะการใช้สมองใช้ความคิดมากๆ จะเผาผลาญพลังงานมากนี่เอง

🧠 สมองของเรานั้นประกอบไปด้วยคอเลสเตอรอล 20% และไขมันอีก 60 %

🧠 เด็กทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลกมักจะเกิดมาพร้อมกับหัวที่ค่อนข้างใหญ่หากเปรียบเทียบกับขนาดตัว เพื่อรองรับสมองที่จะเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสมองของเด็กอายุ 2 ขวบนั้นจะมีขนาดคิดเป็น 80% ของขนาดสมองของผู้ใหญ่เลยทีเดียว

🧠 ยิ่งเราอายุมากขึ้นเรื่อยๆ สมองของเราก็จะมีขนาดเล็กลง ซึ่งขนาดของสมองของมนุษย์ในปัจจุบันนั้นจะมีขนาดเท่าลูกเทนนิส ซึ่งเล็กกว่าสมองของมนุษย์ในโบราณมาก

🧠 แต่ขนาดของสมองนั้นก็ไม่ได้สำคัญ ไม่ได้บ่งบอกว่าสมองใหญ่จะฉลาดกว่า หรือสมองเล็กจะไม่ฉลาด ดูได้จากสมองของอัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์นั้นมีน้ำหนักเพียง 1.2 กก. ซึ่งมีน้ำหนักน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของสมองคนทั่วไปประมาณ 10%

🧠 แต่ละเซลล์ในสมองนั้นเชื่อมโยงกับเซลล์ประสาทอื่นๆ มากกว่าเป็นหมื่นๆ เซลล์ ซึ่งเปรียบเสมือนกับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีการประมวลผลแบบขนานขนาดใหญ่

🧠 สมองของเราใช้พลังงานหากเทียบเป็นกระแสไฟฟ้า ก็ใช้ประมาณ 20 วัตต์ ซึ่งก็พอเพียงพอที่จะทำหลอดไฟส่องสว่างแบบสลัวๆ ได้

🧠 สมองส่วนหน้าหรือที่เรียกว่า Neocortex เป็นสมองส่วนที่ถูกพัฒนาเพื่อการเรียนรู้ การใช้ความคิดและจิตสำนึกแบบเป็นเหตุเป็นผล วางแผน การประมวลผลตลอดถึงการแก้ปัญญา ทักษะการใช้ภาษา ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 76% ของมวลสมองทั้งหมด

🧠 แต่กระนั้นก็ตาม จากศักยภาพของสมองเรา 100% ทุกวันนี้เราใช้เพียงแค่ 5% เท่านั้นในยามที่เรามีสติ (จิตสำนึก) และอีก 95% นั้นเราล้วนแต่ใช้ไปกับการตกอยู่ในภวังค์ เหม่อลอย ฝันกลางวัน ไม่รู้สึกตัว หรืออยู่ในโหมดออโต้ไพล๊อต (จิตใต้สำนึก)

🧠 สมองของเราประกอบด้วยเซลล์ประสาท 100 พันล้านเซลล์ ถ้านับเป็นประชากรมนุษย์ก้อจะมีมากกว่าประมาณ 16 เท่าของจำนวนประชากรของคนทั้งโลกรวมกัน

🧠 โดยทั่วไปสมองของผู้ชายจะมีขนาดใหญ่กว่าสมองของผู้หญิงถึง 10% แต่สมองของผู้หญิงนั้นมีสมองเนื้อสีเทา (ใช้ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ความรู้สึก ประสาทสัมผัส การประมวลผลทางอารมณ์) และมีต่อม Hippocampus (มีหน้าที่ช่วยแปลงความจำระยะสั้นให้เป็นความจำระยะยาว) ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้หญิงจะมีความเซนส์ซิทีฟมากกว่าผู้ชาย และจำอะไรได้แม่น ลืมได้ยาก มากกว่าผู้ชายเช่นกัน

🧠 สมองของเรานั้นจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งอายุ 40 ปลายๆ และจะหยุดลง ซึ่งก็เห็นได้จากคนที่อายุเพิ่มขึ้นมากๆ หากไม่ค่อยได้ใช้สมอง หรือบริหารสมอง ก็จะเริ่มมีอาการสมองเสื่อมลงไปเรื่อยๆ

🧠 นอกจากสมองที่อยู่บนหัวของเราที่เป็นสมองที่ 1 รู้หรือไม่ว่าเราก็มีสมองที่ 2 ด้วย รูปร่างก็คล้ายๆ กับสมองที่ 1 แต่ขนาดจะไซส์ใหญ่กว่าเยอะ และอยู่ช่วงกลางลำตัวของเรา ซึ่งก็คือลำไส้ของเรา โดยลำไส้ของเรานั้นมีเซลล์ประสาทมากกว่า 200-600 ล้านเซลล์ (ระบบประสาทลำไส้) ซึ่งโครงข่ายเซลล์ประสาทที่ซับซ้อนนี้อยู่ในระบบย่อยอาหาร ทั้งนี้อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกลำเลียงผ่านนระบบการย่อยโดย “สมองที่ 2” จะสั่งกล้ามเนื้อที่ผนังทางเดินอาหารตลอดเส้นทางให้มีการหดตัว ระบบประสาทลำไส้นี้จะปรับเปลี่ยนความแรงและความถี่ในการหดตัวของกล้ามเนื้อให้สอดคล้องกันทั้งระบบคล้ายกับเส้นทางของสายพานลำเลียงในโรงงาน

🧠 ซึ่งในลำไส้หรือสมองส่วนที่ 2 ของเรานั้นจะมีการผลิตแบคทีเรียต่างๆ มากกว่า 30 ประเภทไว้ย่อยอาหาร โดยแบคทีเรียเหล่านั้นก็ได้สร้างสารสื่อประสาทต่างๆ มากมาย ทั้งให้คุณและให้โทษ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อเรียกว่า Serotonin หรือสารแห่งความสุขอย่างหนึ่งนี่เอง

🌟 ทั้งนี้สมองที่ 1 และสมองที่ 2 ของเรานั้นสามารถสร้างสารเคมีแห่งความสุขให้เราได้ด้วย มาดูกันว่ามีสารอะไรบ้าง และทำอย่างไรให้สมองทั้ง 2 หลั่งสารเคมีแห่งความสุขเหล่านี้ให้แก่เรา

♥ Dopamine (สารแห่งความสุขจากแรงจูงใจ)
สารโดปามีนเป็นสารสื่อประสาทที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับอารมณ์ แรงจูงใจ และความสุข มักเป็นที่รู้จักกันในนามสารที่ทำให้ “รู้สึกดี” เพราะสารนี้จะถูกปล่อยออกมาเพื่อตอบสนองต่อประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ และช่วยยกระดับอารมณ์ได้

โดยสารนี้ยังมีความสำคัญต่อแรงจูงใจและพฤติกรรมการแสวงหารางวัลหรือของตอบแทนของมนุษย์ด้วย เช่น หากเราได้เข้าร่วมกิจกรรมที่น่าพึงใจแล้วได้รับรางวัล สมองเราจะหลั่งสารโดปามีนออกมา ทำให้เรามีความรู้สึกอยากทำซ้ำ ซึ่งหากมีมากเกินไปอาจจะทำให้เสพติดพฤติกรรมบางอย่างได้ เราจึงควรมีสารโดปามีนในปริมาณที่เหมาะสม

เราสามารถกระตุ้นให้สมองหลั่งสารโดปามีนได้โดยการทานอาหารที่มีโปรตีนสูงเช่นเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ผลิตภัณฑ์นม และถั่วต่างๆ และขับถ่ายให้เป็นปรกติ ทำกิจกรรมที่มีความสุข ทำตัวให้แอคทีฟ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ การทำสมาธิ

♥ Endorphin (สารระงับความเจ็บปวด)
สารเอนโดฟินเป็นสารสื่อประสาทที่ถูกสร้างมาเพื่อจัดการอารมณ์ที่เกิดเป็นปัญหาทางร่างกาย เพื่อตอบสนองต่อความเจ็บปวด ความเครียด เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย มีความสุข อิ่มอกอิ่มใจ และยังตอบสนองต่อความอยากอาหาร เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันด้วย

ร่างกายของเราสามารถหลังสารเอนโดฟินเองตามธรรมชาติ โดยจากการออกกำลังกาย ออกไปรับแสงแดด การหัวเราะ การถูกนวด การนั่งสมาธิ การสร้างสรรค์งานศิลป์ การนั่งฟังเพลงหรือการดูหนังที่ชอบ หรือแม้กระทั่งการได้ทานดาร์กช๊อกโกแลต หรือกระทั่งการทานของเผ็ดๆ

♥ Oxytocin (สารแห่งความรัก)
สารออกซิโตซินเป็นสารสื่อประสาทที่ถูกสร้างมาเพื่อให้เกิดความรู้สึกผูกพัน มีความรัก ความเข้าอกเข้าใจ โดยสารนี้มีความจำเป็นมากสำหรับแม่ที่คลอดและให้นมบุตรด้วย เพราะสารนี้จะทำให้เกิดสายใยผูกพันที่ยิ่งใหญ่ระหว่างแม่และลูก โดยสมองจะหลั่งสารนี้หลังจากได้รับความรัก ความเชื่อใจ การกอด หรือการสัมผัส ไม่ว่าจะมาจากคนรัก ครอบครัวหรือคนรอบกาย

เราสามารถเพิ่มสารออกซิโตซินได้โดยการเข้าสังคมไปพบปะผู้คน การได้พูดคุยสนุกสนานกับเพื่อนกับครอบครัว การได้รับการสัมผัสจากคนที่เรารักและไว้เนื้อเชื่อใจ การโอบกอด การเล่นกับสัตว์เลี้ยง การได้ช่วยเหลือผู้คนแล้วรู้สึกอิ่มเอมใจ

♥ Serotonin (สารช่วยปรับอารมณ์)
สารเซโรโทนินเป็นสารสื่อประสาทที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก การรับรู้ ซึ่งถูกสร้างมาจากทั้งทางสมองและลำไส้ ดังนั้น เมื่อมีความผิดปรกติภายในลำไส้ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย ทานอาหารไม่ตรงเวลา จึงส่งผลให้เกิดอาการทางอารมณ์ และความรู้สึกได้ด้วย

การเพิ่มสารเซโรโทนินนั้นสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโนจำเป็นเช่น นม ธัญพืชต่างๆ แครอท ข้าว ขนมปัง ซึ่งสารชนิดนี้จะช่วยทำให้สมองรู้สึกผ่อนคลาย สงบ ช่วยปรับอารมณ์ให้สงบมากขึัน เช่นเวลาหิวมากๆ หรือ โมโหหิว แสดงว่าร่างกายขาดสารชนิดนี้ แต่พอได้ทานข้าวหรือแป้งแล้ว สมองและลำไส้ของเราก็จะผลิตสารนี้ขึ้นมาแล้วทำให้เรารู้สึกผ่อนคล้ายขึ้น

เป็นอย่างไรบ้างคะ อะเมซิ่งไม๊คะว่าสมองของเราทั้ง 2 อันทำอะไรได้บ้าง ที่มาคุยเรื่องสมองในวันนี้ก็เพื่อปูพื้นฐานไว้ก่อน ก่อนที่จะมาคุยกันในโพสท์ถัดๆ ไปเกี่ยวกับเรื่องจิตสำนึก และจิตใต้สำนึกของเราค่ะ

ขอให้เป็นวันที่ดีนะคะ จนกว่าจะถึงโพสต์หน้าค่า 🥰

Videos (show all)

Happy Chinese New​ Year. Let's talk about Period 9 Fengshui 🐲 🎉🏵️🧨🎉🎊🎋
Introduction of AstroSoulogist 💫💜

Website