FGO: Andere Erzählung

FGO: Andere Erzählung

เพจ FGO: Andere Erzählung แบ่งปันเรื่องราวของเซอร์แวนท์ในเกม Fate Grand Order(FGO)

21/05/2021

"นี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เพื่อทวงคืนอนาคตของเรากลับมา!"

"This is the final battle to take back our future."

08/03/2021

ฌัฅ เดอ มอเลย์ ( ออกเสียง ชั้ค-เค่อะ) /Jacques de Molay เป็นอัศวินเทมพล่าร์ ลำดับที่ 23 และคนสุดท้ายในหน้าประวัติศาสตร์ค่ะ ฌัฅถึงจะไปรบหลายที่ แต่สุดท้ายกลับโดนสั่งเผาทั้งเป็นหน้าอาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส พร้อมๆกับอัศวินที่เคยไปรบด้วยกันอีก 3 คน เขายืนกรานในความบริสุทธิ์และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะ ข้อหาที่ตัดสินให้ถูกลงโทษถึงขั้นประหารนั้นสรุปรวมไปที่ การเป็นคนนอกรีตและผิดศีลธรรมอันดีในยุคนั้น เรียกได้ว่าเป็นข้อหาที่มีไว้เพื่อใช้ทางการเมืองสุดๆค่ะ (กรณีไม่ต่างจากของฌาณมากนัก) อยู่กับคนเบื้องสูง ทำอะไรผิดใจก็ตายง่ายๆจริงๆค่ะ เป็นเรื่องน่าเศร้ามากจนมีคำร่ำลือว่าเหตุร้ายต่างๆหลังจากนั้น เป็นเพราะการประหารเหล่าอัศวินอย่างไร้มนุษยธรรม จึงถูกพระเจ้าลงโทษค่ะ... กว่าจะได้รับการล้างมลทินก็หลายปีถัดไป.... ปล. มีป้ายรำลึกถึงที่ฝรั่งเศสด้วยนะคะ
***ที่มาเพิ่มเติม: Wikipedia and

+"Jacques de Molay". The Catholic Encyclopedia. Retrieved 8 January 2010.

+Lea, Henry Charles (1887). "Chapter V.—Political Heresy Utilized by the State". A History of the Inquisition of the Middle Ages. III. New York: Harper & Brothers. pp. 238–333. Retrieved 2010-03-30.

31/12/2020

Ring in the new year with the Fate/Grand Order "New Year's 2021 Campaign"!

We've prepared some special gifts to express our gratitude which all Masters can obtain beginning January 1st!

For more information on all the festivities, visit https://fate-go.us/news/?category=NEWS&article=%2Fiframe%2F2021%2F0101_newyear2021%2F

14/11/2020

[Chaldea Broadcasting Station U.S. Branch Vol. 10 Pre-stream Campaign]

If this post receives over 20,000 combined Reactions/Shares on Facebook and RT/Likes on Twitter, we will be giving away 3 Saint Quartz!

Join us on November 19th at 6PM PT for Chaldea Broadcasting Station U.S. Branch Vol. 10 featuring special guest Rie Takahashi and Noriko Sh*taya on YouTube for the premiere!

*Link will be available closer to broadcasting date.

09/07/2020

"เบดิเวียร์กับหลุมศพของเจ้าหญิงเฮเลน่า"

ในเกมนั้น เบดิเวียร์มีบท Interlude (บทสลับฉาก) ที่มีชื่อว่า "แม้ต้องแลกด้วยชีพตน/ Even the Cost of My Life" ที่มีตอนที่เบดิเวียร์ชวนริทสึกะ/มาสเตอร์ไปที่ทะเลเพื่อไปตกปลาด้วยกัน จากนั้นจะมีช่วงหนึ่งที่เบดิเวียร์พาริทสึกะไป ณ ที่แห่งหนึ่งที่เขากล่าวว่า "ที่แห่งนี้ ทำให้ข้าระลึกถึงที่ที่เจ้าหญิงเฮเลน่าสิ้นลมหายใจ..." เนื้อเรื่องแบบสรุปย่อนั้น มีอยู่ว่า

เจ้าหญิงเฮเลน่า(อายุโดยประมาณ 12-18 ปี)นั้นเป็นหลานสาวของกษัตริย์โฮเอล แห่ง บริทานี่ ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับคิงอาร์เธอร์ เธอโดนยักษ์ร้ายและสมุนจับตัวไปยังภูเขาเซนท์ มิคาเอล(ไมเคิล)ที่คอนวอลล์ อาร์เธอร์กับเคย์และเบดิเวียร์จึงตามไปเพื่อช่วยเจ้าหญิงกลับมา (บางตำนานกล่าวว่า เบดิเวียร์ ชายหนุ่มที่รูปงามที่สุดในบรรดาอัศวินโต๊ะกลม และเป็นทหาร/คนรับใช้ แต่บางตำนานจะกล่าวว่าเป็นจอมพลมือขวาของคิงอาร์เธอร์ที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก พร้อมกับเซอร์เคย์ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเบดิเวียร์)

แต่เนื่องจากการเดินทางที่เป็นไปอย่างยากลำบากและล่าช้า แม้อาร์เธอร์จะวางแผนว่าให้แยกกันเป็นสองกลุ่ม ตนและเซอร์เคย์ไปยังที่พำนักของยักษ์ ส่วนเบดิเวียร์นั้น ถูกสั่งให้ไปค้นหาและช่วยเหลือเจ้าหญิงเฮเลน่าเพียงลำพัง

เบดิเวียร์เดินลัดเลาะเพื่อหาทางเข้าไปช่วงเจ้าหญิงอย่างระมัดระวัง แต่ระหว่างทางนั้นเอง เขาได้พบกับหญิงชราคนหนึ่งกำลังยืนร่ำไห้เสียใจโดยมีเนินดินอยู่ใกล้ๆนาง มันดูราวกับว่านางเพิ่งฝังศพใครสักคนเสร็จสิ้นไป เบดิเวียร์เกิดความสงสัยขึ้นในทันทีเพราะที่เกาะแห่งนี้ไม่น่าจะมีมนุษย์คนอื่นเพราะยักษ์คงต้องจับกินไปหมดแน่ๆ จึงเอ่ยถามหญิงชรา

เบดิเวียร์: "สวัสดีแม่หญิง ใยท่านจึงมาร่ำไห้อยู่ ณ ที่แห่งนี้กันเล่า? เนินดินนั้นคือหลุมฝังศพเช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้น เหตุแห่งความอาลัยนี้มาจากผู้ที่นอนอยู่ภายในหลุมศพที่ท่านเป็นผู้ฝังนี้หรือ?"

หญิงชรา: "ข้าเอง ข้าเป็นคนฝังร่างนี้เอง ร่างของเจ้าหญิงเฮเลน่าผู้บริสุทธิ์อ่อนโยนที่ข้าเลี้ยงดูและให้นมมา(หญิงชราเป็นแม่นม) นางกับข้าถูกยักษ์จับตัวมาพร้อมกัน พวกยักษ์นั้นป่าเถื่อนและตัณหามากนัก พวกมันพยายามขืนใจเจ้าหญิง แต่เจ้าหญิงนั้นหวาดกลัวและตกใจจนหัวใจนางแหลกสลายและสิ้นชีวิตลงก่อนที่พวกยักษ์จะพรากความบริสุทธิ์ไปจากนางได้ และเพราะเป็นเช่นนั้น พวกยักษ์จึงหันมาใช้ข้าเป็นที่ระบายอารมณ์แทน ข้าช่วยอะไรนางไม่ได้นอกจากฝังร่างนางและร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน หากท่านยังอยากมีชีวิตอยู่จงออกไปจากที่นี่เสีย เพราะไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะยักษ์พวกนั้นได้"

หญิงชราพูดพร้อมหลั่งน้ำตาแห่งความเศร้าโศกออกมา เบดิเวียร์ได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกสลดหดหู่และสงสารหญิงชราเป็นอย่างมากพร้อมกับรู้สึกผิดที่ตนเองมาไม่ทันช่วยชีวิตของเจ้าหญิงเฮเลน่าเอาไว้ได้ เบดิเวียร์จึงพูดปลอบใจนางอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะสรรหาคำในโลกนี้มาปลอมใจนางได้ พร้อมกับให้สัญญาว่าจะกลับมาช่วยนางและกำจัดยักษ์เหล่านี้ให้หมดไป
..เรื่องราวของตำนานนี้จบลงที่คิงอาร์เธอร์และเซอร์เคย์สามารถเอาชนะยักษ์ร้ายลงได้ และเบดิเวียร์เป็นผู้ที่นำศีรษะของหัวหน้ายักษ์นั้นกลับไปยังปราสาทของกษัตริย์โฮเอลเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกยักษ์ได้ถูกกำจัดไปแล้ว...

***+เพิ่มเติม: ตำนานเจ้าหญิงเฮเลน่ากับยักษ์ร้ายนั้น ในบางแหล่งอ้างอิงจะเขียนว่า เจ้าหญิงถูกขืนใจจนตาย บ้างเขียนว่าตายแล้วแต่ยักษ์ก็ยังไม่ละเว้นศพของนาง แต่พอลองอ่านดูด้วยตนเองจริงๆจากตัวต้นฉบับและบทความวรรณกรรม พบว่า เจ้าหญิงเฮเลน่านั้น ขาดใจตายด้วยความหวาดกลัวที่จะถูกยักษ์กระทำการขืนใจค่ะ ***



[แหล่งที่มาอ้างอิง] :

*Geoffrey of Monmouth's Tomba Helena
from A Comparative Study with the Traditions of the Gulf of St. Malo (The Channel Islands, Normandy & Brittany) with Reference to World Mythologies G. J. C. Bois.

**Merlin and Nimiane; and Arthur and the Giant of St. Michael's Mount
by: John Conlee (Editor)
from: Prose Merlin 1998



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

'บทเพลงร่ำร้องอาลัยแด่เมดูซ่า' 01/04/2020

'บทเพลงร่ำร้องอาลัยแด่เมดูซ่า'

[*หมายเหตุ: ผู้แปลยึดคำอ่านชื่อตามเสียงภาษากรีกเป็นหลัก อาจแตกต่างจากชื่อสำเนียงอังกฤษ แต่ในเกมFGO จะใช้ชื่อตามภาษากรีกค่ะ]

ทั้งๆที่ถูกโปเซดอนข่มขืนชำเรา เมดูซ่ากลับถูกอาธีน่าขับไล่ออกจากวิหารของเธอ

ทั้งๆที่เมดูซ่าเฝ้ารับใช้และสวดภาวนาสรรเสริญมาตลอด ไม่เพียงแค่นั้น แต่เธอกลับถูกสาปให้กลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ที่มีผมเป็นงูและผิวกายเป็นเกล็ดน่ารังเกียจ

ทั้งๆที่แรกเริ่มเดิมที เธอเป็นหญิงสาวผู้งดงามสละสลวยและมีผิวกายขาวราวน้ำนม

ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นแต่พี่สาวของเธอทั้งสอง สเธโน่(Stheno)และเอฟรีอาลี(Euryale)ไม่คิดทอดทิ้งน้องสาวคนเล็กของพวกเธอและขอถูกเนรเทศไปพร้อมกัน

หลังจากถูกเนรเทศไปยังเกาะอันแสนห่างไกล ชีวิตของเธอก็หนีไม่พ้นการถูกไล่ล่าจากเบื้องบน ในที่สุดเมดูซ่าก็ถูกเพอร์ซีอุส(Perseus)ฆ่าด้วยการตัดคอในขณะที่นอนหลับ ตอนที่หัวของเธอหลุดออกจากร่างนั้น ลูกของเธอทั้งสองก็กำเนิดออกมาจากรอยบั่นนั้น คนหนึ่ง คือ เด็กชาย นาม ครีซาออร์(Chrysaor) และเป็นม้ามีปีก นาม ปีกาซุส(Pegasus) เด็กทั้งสองต่างพลัดหายไป จากนั้นหัวของเมดูซ่าก็ถูกนำไปให้อาธีน่าที่วิหาร

หลังจากที่เมดูซ่าถูกตัดหัวไปแล้วนั้น พี่สาวทั้งสองได้พยายามตามล่าผู้ที่สังหารเธอเป็นการแก้แค้นแต่ไม่สามารถหาตัวได้ เพราะเพอร์ซีอุสมีหมวกวิเศษพรางตัวและหนีไปได้สำเร็จ เอฟรีอาลีและสเธโน่จึงได้แต่รำพึงรำพันและร่ำไห้คร่ำครวญอย่างเจ็บปวดและแค้นเคืองถึงเมดูซ่าน้องสาวผู้อาภัพที่จากไป เสียงของทั้งสองไพเราะจับใจมากจนทำให้เทพที่ได้ฟังนั้นประทับใจจนถึงกับบันทึกเป็นบทกลอนและบทเพลงถึงเมดูซ่า

ไม่เว้นแม้แต่อาธีน่าที่เป็นคนสาปส่งพวกเธอและส่งคนมาฆ่าอย่างไม่ใยดีและเก็บหัวของเมดูซ่ามาทำเป็นของประดับโล่ห์ของเธอเอง อาธีน่ารู้สึกซาบซึ้งและหลงใหลในเสียงของทั้งสองจนสั่งให้คนทำเครื่องดนตรีเลียนแบบเสียงของพวกนาง(คล้ายขลุ่ย) แต่ทว่าทุกครั้งที่เล่นมัน อาธีน่ากลับเห็นใบหน้าของเธอค่อยๆอัปลักษณ์น่าขยะแขยงทุกครั้งไป และเมื่อเธอเลียนแบบเสียงร้องของสองพี่น้อง อาธีน่ากลับกลายร่างและทำท่าทางตามรูปร่างของพี่น้องกอร์กอนที่น่าเกลียดน่ากลัวโดยที่เธอไม่รู้ตัว...

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

*ที่มา: web site/หนังสือตำนานและเทพนิยายกรีกหลายๆฉบับ

เว็บบทความน่าสนใจเพิ่มเติม:

1. Heilbrunn Timeline of Art History, "Medusa in Ancient Greek Art"
https://www.metmuseum.org/toah/hd/medu/hd_medu.htm

2. VICE, "The Timeless Myth of Medusa, a R**e Victim Turned Into a Monster"
https://www.vice.com/en_us/article/qvxwax/medusa-greek-myth-rape-victim-turned-into-a-monster

***********************************************

09/03/2020

*GAWAIN and the GREEN KNIGHT* PART: 2
เธอสั่งกาเวนให้จูบเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสัญญาว่า เธอจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขาอีกและเสนอจะมอบทรัพย์สินให้แก่เขา ทั้งแหวนและของมีค่าต่างๆ เมื่อได้ฟังดังนั้น กาเวนจึงคิดว่าหากยอมให้นางจูบคงจะหมดเรื่องหมดราวตามที่นางสัญญาจึงยอมจูบด้วยแต่โดยดี และปฏิเสธของทั้งหมดที่นางเสนอให้ เธอจึงโมโหมากทั้งยื้อยุดฉุดกระชากบีบบังคับให้ยอมรับของดูต่างหน้าจากนางแต่ก็ไม่เป็นผล ด้วยความเสียใจเธอจึงถอดเข็มขัดคาดเอวที่ทำจากผ้าไหมสีเขียวปักดิ้นทองที่ดูไม่มีค่าที่สุดให้โดยหวังว่ากาเวนจะยอมรับมันไว้
แต่กาเวนก็ยังคงปฏิเสธไม่รับของจากนางและกล่าวว่าเขาได้รับสิ่งดีๆจากที่แห่งนี้มากพอแล้ว เมื่อฟังเช่นนั้น นางจึงยัดเยียดเข็มขัดของนางให้กาเวนด้ยวความหงุดหงิดรำคาญพร้อมพูดว่า 'ถึงมันจะดูไร้ราคาแต่เข็มขัดนี้เป็นเครื่องรางป้องกันภัย ไม่ว่าภัยใดๆก็ทำอันตรายผู้สวมใส่มิได้ และหากใส่ไปยังวิหารมรกต ท่านก็จะรอดจากการบั่นคอนั้น' พอได้ฟังที่นางพูดกาเวนถึงกับอึ้งนิ่งไปก่อนจะตอบตกลง นางจึงบอกให้เขาซ่อนเข็มขัดผ้านี้จากท่านลอร์ดจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่ได้มาตามคำท้าและเก็บไว้เป็นความลับที่รู้กันเพียงสองคนเท่านั้น ในระหว่างที่กาเวนบอกขอบคุณนาง เขาก็ถูกนางลอบจูบไปอีกเป็นครั้งที่สามก่อนจะออกจากห้องไปตามสัญญาและนางก็หมดสิ้นซึ่งความรู้สึกสเน่หาต่อกาเวนโดยสิ้นเชิง
กาเวนนำเข็มขัดผ้าที่ได้มาซ่อนไว้อย่างมิดชิดในห้องนอนแล้วออกจากห้องไป ระหว่างทางกาเวนสวดภาวนาและสารภาพในสิ่งที่ทำลงไปด้วยความละอายใจและหวังว่าจะได้รับการให้อภัยและได้รับความคุ้มครองในวันที่ต้องพบกับอัศวินมรกตอีกครั้ง
เมื่อลงไปถึงห้องโถงที่มีเสียงดนตรีงานฉลองวันคริสมาสต์ดังก้องมา กาเวนรู้สึกสบายใจอย่างไม่เคยมีมาก่อนและร้องเพลงร่วมกับผู้คนอย่างรื่นเริงใจจนกระทั่งพลบค่ำขนาดที่ผู้คนรอบตัวเขาถึงกับอุทานว่า ไม่เคยเห็นกาเวนร่าเริงอะไรขนาดนี้มาก่อนในช่วงวันที่ผ่านมา และตอนนั้นเอง ท่านลอร์ดก็กลับมาจากการล่าสัตว์ เขาได้หมาจิ้งจอกขนงามขนาดใหญ่มาตัวหนึ่งและยกมันให้กับกาเวนอย่างยินดีพร้อมกับท้าว่า คราวนี้เขาคงจะชนะกาเวนแน่นอนแต่แล้วเขาก็ถูกกาเวนโน้มคอลงมาจูบถึงสามครั้งติดต่อกันอย่างดูดดื่มจนท่านลอร์ดถึงกับร้องออกมาว่า หมาจิ้งจอกเลอค่าที่ล่ามาได้นั้น เทียบไม่ได้เลยกับจูบสามครั้งที่ได้มานี้ กาเวนที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องเข็มขัดผ้าคาดเอวที่ได้มาจึงกลบเกลื่อนกล่าวขอบคุณอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนไป
ระหว่างงานเลี้ยงเขาขออนุญาตกล่าวลาท่านลอร์ดและขอร้องให้เขาบอกตำแหน่งของวิหารมรกตตามที่สัญญาไว้เนื่องจากต้องการที่จะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น ท่านลอร์ดจึงบอกไปตามที่สัญญาไว้และบอกให้กาเวนไปเตรียมตัวให้พร้อมพร้อมกับอวยพรแก่เขาด้วยความยินดี และคืนนั้นเอง เป็นคืนแรกที่กาเวนสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทและเป็นสุขที่สุดเท่าที่เขาอาศัยพักในปราสาทนั้นมา
ในเช้าวันถัดมา กาเวนจัดเตรียมของและแต่งตัวเพื่อเตรียมพร้อมและไม่ลืมที่จะผูกเข็มขัดผ้าคาดเอวไว้โดยซ่อนมันใต้เสื้อคลุมอีกชั้นหนึ่ง ในใจลึกๆกาเวนไม่ได้ต้องการมันหรือคิดว่าเป็นของดูต่างหน้าจากภรรยาท่านลอร์ดเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อคำนึงว่ามันจะช่วยให้ตนรอดชีวิตกลับไปหาอาร์เธอร์หรือคนอื่นๆได้ทำให้เขาต้องการมันเป็นตัวช่วยขึ้นมา จากนั้นเขากล่าวอำลา ขอบคุณและอวยพรให้ทุกคนในปราสาททั้งท่านลอร์ด ภรรยาท่านลอร์ดและหญิงชราอัปลักษณ์อย่างนอบน้อมจากทุกสิ่งที่เขาได้รับมาด้วยความเมตตาและมีไมตรีจิต จากนั้นก็ขี่ม้ากริงโกเล็ทออกเดินไปพร้อมกับคนนำทางคนหนึ่งที่ท่านลอร์ดสั่งให้เขาช่วยพากาเวนไปยังวิหารมรกต ระหว่างทางพวกเขาทั้งฝ่าหิมะและป่า หลังจากเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำแนวเชิงเขาในที่สุดก็พบกับวิหารมรกตท่ามกลางป่าทึบ ชายนำทางก็บอกว่าตรงข้ามจากนี้ไป คือ ป่าแห่งวิหารมรกต ที่นั่นมีแต่ต้นไม้ขึ้นเขียวครึ้ม หมอกลงหนาทึบและรู้สึกได้ถึงสิ่งเหนือธรรมชาติอันน่าหวาดกลัวที่อยู่ภายในป่านั้น
ชายนำทางบอกว่าตนคงมาส่งกาเวนได้ถึงแค่ตรงนี้เพราะเขาเองก็กลัวอัศวินมรกต กาเวนที่นึกภาพของอัศวินครั้งนั้น ร่างใหญ่กว่า 4 บุรุษผู้กล้าหาญในกลุ่มอัศวินโต๊ะกลม แม้แต่เฮสเตอร์ น้องชายของลานเซลอทเองก็ยังเทียบไม่ได้ คนนำทางเล่าว่าทั้งบาทหลวงและนักบวชคนอื่นๆในวิหารถูกอัศวินมรกตฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดจนสิ้น ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงไปด้วยกับกาเวนต่อจากจุดนี้ กาเวนเข้าใจดีและกล่าวอำลาแก่คนนำทางที่อวยพรให้เขารอดปลอดภัย
กาเวนเดินทางต่อไปสุมทุมพุ่มไม้แต่ก็พบว่ามีความร้อนและฟองผุดประหลาดกระจายไปทั่วตามพื้นจนเขารู้สึกว่าหากเดินต่อจากนี้ไป กริงโกเล็ทอาจเป็นอันตราย จึงพยายามหาที่หลบที่ปลอดภัยที่สุดให้กับม้าของเขาจากนั้นจึงลงเดินต่อด้วยตัวเองเพียงลำพังจนกระทั้งพบโพรงใหญ่โพรงหนึ่งที่สุดปลายทางมีวิหารเก่าผุพังตั้งอยู่ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ วิหารนั้นถูกปกคลุมด้วยพืชชนิดต่างๆจนหนาทึบเป็นสีเขียวครึ้มและแลดูน่ากลัวเหมือนกับผิวหนังของปีศาจ(*คนอังกฤษสมัยก่อนเชื่อว่าปีศาจผิวสีเขียว/แต่งชุดเขียว) เขาจึงมั่นใจว่า วิหารมรกตที่ว่า คือที่แห่งนี้นั่นเอง กาเวนปีนขึ้นไปบนหลังคาของวิหารแล้วตะโกนถามหาอัศวินมรกตที่เป็นคนนัดหมายว่าตนได้มายัง ณ ที่แห่งนี้ตามสัญญาแล้ว ฉับพลันก็มีเสียงดังครืนใหญ่ราวหน้าผาถล่มตามด้วยเสียงน้ำกระจายจากแม่น้ำ เมื่อมองไปกาเวนจึงเห็นอัศวินมรกตปรากฏตัวขึ้นพร้อมขวานเล่มใหม่รูปร่างเหมือนขวานของไวกิ้ง มันยาวเกือบสี่ฟุตและมีขนาดใหญ่มากจนน่าตกใจ แต่ถึงอย่างนั้น กาเวนกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดทำให้อัศวินมรกตชอบใจเป็นอย่างมากและดีใจที่พบว่ากาเวนมาตามสัญญาที่ให้ไว้
กาเวนถอดหมวก เกราะและอาวุธออก นั่งคุกเข่าตรงหน้าอัศวินมรกตที่เตรียมง้างขวานพร้อมฟาดลงเพื่อบั่นคอของกาเวน ชั่วขณะที่ขวานถูกหวดลงมาใกล้คอของตนนั้น กาเวนจึงสะดุ้งเฮือกจนตัวเอนออกจากคมขวานนั้น อัศวินมรกตถึงกับหัวเราะชอบใจในปฏิกิริยานั้นของกาเวนและพูดจาล้อเลียนถากถางว่าเจ้าชายผู้กล้าไม่กลัวเกรงศัตรูใดในสนามรบกลับมาสะดุ้งกลัวคมขวานที่นี่ พอได้ฟังเช่นนั้น กาเวนรู้สึกไม่พอใจอย่างมากและตอบไปว่า ในการสู้รบที่ผ่านมา เขาไม่เคยกลัวความเจ็บปวดใดๆและเหล่าอัศวินของอาร์เธอร์ล้วนหาญกล้า แต่ทว่า หาดศีรษะเขาหลุดจากบ่า ณ ที่นี้คงไม่สามารถต่อติดใหม่แบบท่านได้ แต่จากนี้ไปเขาจะไม่กลัวเกรงอะไรอีกเพื่อทำตามสัญญาและขอร้องให้อัศวินมรกตหวดขวานเพื่อบั่นคอให้ขาดใหม่อีกครั้งที่สอง
ในครั้งที่สองนี้ อัศวินมรกตง้างขวานสุดมือก่อนจะหวดลงอย่างแรงแต่กาเวนนั้นไม่ไหวติงหรือสะดุ้งโหยงโอนเอนแบบในครั้งแรก เขากลับนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด ไม่ไหวติงดุจดั่งศิลาหรือประหนึ่งเหล่าพฤกษาที่แผ่รากลึกลงในชั้นหินนานนับร้อยปีอย่างมั่นคง อัศวินมรกตจึงยั้งมือและหยุดเอ่ยชมกาเวนว่า ช่างกล้าหาญสมเป็นนักรบอย่างแท้จริง ถ้าหากกาเวนไม่มาตายที่นี่คงปกป้องและทำตามคำสั่งอาร์เธอร์ได้อย่างไร้ที่ติแน่นอน กาเวนได้ยินดังนั้นถึงกับเลือดขึ้นหน้าและโวยกลับไปว่าจะขู่กันเล่นไปถึงเมื่อไรและให้รีบบั่นคอเขาให้จบๆไปเป็นครั้งที่สาม
และในครั้งที่สามนี้เอง เมื่ออัศวินมรกตหวดฟาดขวานลงมา เขากลับลดความแรงลงแล้วแฉลบคมขวานถากเข้าเนื้อที่คอของกาเวนเพียงเล็กน้อยและหยุดมือชักขวานกลับ เลือดไม่กี่หยดไหลลงบนบ่าของกาเวนและหยดลงสู่ผืนดิน เมื่อเห็นดังนั้น กาเวนจึงรีบคว้าอาวุธและสวมหมวก เกราะและโล่พร้อมต่อสู้และกล่าวแก่อัศวินมรกตอย่างดีใจที่รอดชีวิตมาได้ว่าเขาได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้เมื่อปีที่แล้วครบแล้วและหากจะประมือกันต่อจากนี้ก็ยินดี
พอได้ยินและเห็นแบบนั้น อัศวินมรกตก็ยันขวานลงกับพื้นพร้อมกับหัวเราะดังลั่น แล้วกล่าวว่า การหวดขวานทั้งสามครั้งนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่สัญญากันเมื่อปีก่อน แต่เป็นสามครั้งที่กาเวนควรได้รับ ครั้งที่หนึ่งและสองนั้น ที่ตนหวดไม่โดนคอนั้นเพราะว่ากาเวนได้ทำตามสัญญาโดยนำจูบจากภรรยาของเขามาคืนให้อย่างดีไม่มีที่ติจนครบสามครั้ง อีกทั้งยังไม่ยอมมีอะไรกับนางทั้งๆที่นางลอบเข้าหาเจ้ามาตลอด ทั้งสามครั้งนั้นได้พิสูจน์ความซื่อสัตย์ของกาเวนตามแผนที่วางไว้ของตนเอง และยกย่องว่า กาเวนนั้น คือ อัศวินที่ดีและมีศีลธรรมที่หาใครมาเทียบเทียมได้ยากในใต้หล้านี้ ประหนึ่งไข่มุกสีขาวเม็ดงามบริสุทธิ์ แต่ทว่า ในครั้งที่สามนั้นแย่หน่อยเพราะว่า กาเวนไม่คืนเข็มขัดผ้าคาดเอวจากภรรยาให้กับตนเพียงเพราะกาเวนเกิดรักตัวกลัวตายขึ้นมาแทนที่จะจงรักภักดีทำตามสัญญาที่ให้ไว้ แต่เพราะเขาไม่ยอมเป็นชู้กับภรรยามาตลอดนั่นจึงทำให้ตนไม่ว่าอะไรกาเวนไปมากกว่านี้ รอยถากที่คอนั้นก็ย้ำเตือนว่า กาเวนก็เป็นมนุษย์ที่ย่อมทำบาปได้เหมือนมนุษย์คนอื่นๆเช่นกัน
เมื่อกาเวนได้ฟังดังนั้น เขาจึงสำนึก ละอายใจและรู้สึกอับอายเป็นที่สุดจนหน้าแดงแจ๋แถมยังจุกจนพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเมื่อคลายความรู้สึกลงได้เขาจึงกล่าวรับโทษทั้งหมดที่ก่อไว้ กาเวนถอดเข็มขัดคาดเอวออกมายื่นคืนให้กับอัศวินมรกตซึ่งเขารู้แล้วว่าแท้จริง คือ ท่านลอร์ดที่แปลงกายมานั่นเอง กาเวนจึงกล่าวว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นตราบาปของเขาไปชั่วชีวิตที่เขาขลาดกลัวจนขาดความจงรักภักดีที่พึงมีไป แต่ท่านลอร์ดกลับยิ้มและกล่าวให้อภัยพร้อมทั้งยกเข็มขัดผ้าสีเขียวปักดิ้นทองที่เข้ากับชุดเสื้อคลุมของท่านลอร์ดเองนั้นให้แก่กาเวนเพื่อเป็นสัญลักษณ์การแลกเปลี่ยนและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วิหารมรกตแห่งนี้ และเป็นดั่งสัญลักษณ์แสดงความกล้าหาญและน่าชื่นชมในหมู่เจ้าชายและอัศวินด้วยกัน พร้อมทั้งเชื้อเชิญให้กาเวนกลับไปร่วมฉลองวันคริสมาสต์ที่ปราสาทด้วยกัน และยืนยันปนหยอกว่าจากนี้ ภรรยาของท่านลอร์ดคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกาเวนได้แน่ๆถึงจะเคยเป็นศัตรูตัวฉกาจของกาเวนก็ตาม
แต่กาเวนปฏิเสธคำเชิญของท่านลอร์ดเนื่องจากตนได้ทำภารกิจลุล่วงแล้วและอยากจะกลับไปหาอาร์เธอร์และพวกพ้อง เขาจึงฝากคำขอบคุณและคำอวยพรแก่ทุกคนในปราสาทไม่ว่าจะเป็นขุนนาง อัศวิน คนรับใช้ทุกคนที่ดีต่อเขามาตลอดรวมถึงภรรยาของท่านลอร์ดเองและเขามิได้คิดแค้นอันใดหลังจากรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ส่วนเข็ดขัดผ้าไหมสีเขียวปักดิ้นทองที่ได้รับมานี้ ตนจะใส่ไว้ไม่ใช่ในฐานะของล้ำค่าเพื่อการโอ้อวดแต่เพื่อย้ำเตือนสติในสิ่งผิดพลาดที่กระทำมา เป็นเครื่องเตือนสติในยามที่ตนเองอาจจะเหลิงลำพองใจเมื่อได้ดีหรือได้รับคำยกยอชื่นชมในภายภาคหน้าและจะใส่มันไว้จนกระทั่งวันที่ตนจากโลกนี้ไป กาเวนขอบคุณและอวยพรท่านลอร์ดให้ได้รับแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิต
และก่อนจากกันไป กาเวนได้ขอทราบชื่อที่แท้จริงของท่านลอร์ดซึ่งก็ได้รับรู้ว่า ชื่อจริงๆนั้น คือ แบร์ทิลัค แห่ง ฮอท์เดอแซร์ท และสิ่งที่ทำทั้งหมดนี้เป็นแผนที่ตนร่วมมือกับ มอร์แกน เลอ เฟย์ซึ่งเป็นป้าของกาเวนเอง (*ในผลงานช่วงปี ค.ศ. 1400 นั้น กาเวนมีมารดา ชื่อ มอร์กอซ ซึ่งเป็นมารดาของพี่น้องร่วมบิดา(ราชาโลท)ทั้งหมดของกาเวน รวมถึงมอร์เดร็ดที่เกิดกับอาร์เธอร์ด้วย นางมีพี่สาว ชื่อ มอร์แกน เลอ เฟย์ มีลูกชายเพียงคนเดียวกับราชาอัวร์รีน ชื่อ อีเวย์น เป็นหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมเช่นกัน)
มอร์แกนต้องการพิสูจน์เกียรติยศและศักดิ์ศรีของอัศวินโต๊ะกลมว่าจริงแท้เพียงใดและต้องการจะกลั่นแกล้งให้ราชินีกวิเนเวียร์ตกใจที่เห็นหัวหลุดกระเด็นจนขาดใจตายไปได้ยิ่งดี หญิงชราอัปลักษณ์ในปราสาทของท่านลอร์ดที่กาเวนเห็นนั้น คือ ตัวมอร์แกนที่แปลงกายมานั่นเอง ท่านลอร์ดแบร์ทิลัคกล่าวต่อว่า ตนเองยินดีนักที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้เพราะสิ่งที่กาเวนทำนั้นเป็นการปกป้องเกียรติยศและศักดิ์ศรีของอาร์เธอร์และอัศวินโต๊ะกลมไว้ได้ในที่สุด หากเป็นไปได้ตนก็อยากให้กาเวนมาเป็นอัศวินที่ปราสาทของตน แต่กาเวนก็ปฏิเสธไป ทั้งสองกล่าวอำลาต่อกันและแยกย้ายไปคนละทาง กาเวนควบกริงโกเล็ทกลับไปยังปราสาทของอาร์เธอร์ในระยะเวลาที่เดินทางกลับนั้น ความเจ็บปวดและแผลที่คอเริ่มบรรเทาลงแต่เข็มขัดผ้านั้นยังคงส่องประกายเด่นชัด กาเวนใช้มันเป็นดั่งสายสะพายเพื่อให้เห็นได้ชัดเจน
เมื่อกลับถึงเมือง ผู้คนต่างยินดีกับการกลับมาของกาเวน อาร์เธอร์และราชินีและเหล่าอัศวินรีบออกมาต้อนรับเขา หลังจากนั้น กาเวนก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เขาโชว์รอยแผลที่คอว่าได้มาเนื่องจากความไม่จงรักภักดี รวมถึงเรื่องที่เขาเก็บเข็มขัดผ้านี้ไว้เพื่อให้รอดชีวิตมาได้ด้วยความรักตัวกลัวตาย กาเวนเล่าทุกอย่างไปด้วยความเศร้าหมองและสมเพชตนเองจนหน้าแดงด้วยความอับอายและละอายแก่ใจ และบอกกับทุกคนว่าตนจะสวมเข็มขัดผ้าที่ได้จากท่านลอร์ดแบร์ทิลัคนี้ไปจนวันตาย อาร์เธอร์ เหล่าอัศวินโต๊ะกลมและคนอื่นๆต่างหัวเราะด้วยความรักใคร่ที่มีต่อความเถรตรงและจริงใจของกาเวน พวกเขามองว่านั่นเป็นข้อดีและให้อภัยกาเวนทั้งหมด อีกทั้งยังกล่าวชมความกล้าหาญของกาเวนที่ยอมเสียสละตนเองเพื่อปกป้องเกียริยศและศักดิ์ศรีของอัศวินโต๊ะกลมเอาไว้
ตั้งแต่นั้นมา อัศวินโต๊ะกลมคนอื่นๆต่างสวมเข็มขัดสีเขียวสีเดียวกับที่กาเวนใส่เพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงถึงความรักใคร่ที่พวกเขามีต่อกาเวนนับแต่นั้นสืบไป

ที่มา: แปลจาก หนังสือแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษโบราณและเรียบเรียงใหม่โดย J.R.R. Tolkien ชื่อ SIR GAWAIN AND THE GREEN KNIGHT, PEARL, and SIR ORFEO
ข้อมูลเพิ่มเติม/ต้นฉบับจริงยุคศตวรรษที่ 14 : University of Calgary , Libraries and Cultural Resources Digital Collections > http://contentdm.ucalgary.ca/digital/search/searchterm/sir%20gawain%20and%20the%20green%20knight/field/poem/mode/exact/conn/and


#กาเวน
*********************************************

03/03/2020

*Gawain and the Green Knight* PART: I
ณ ปราสาทของกษัตริย์อาร์เธอร์ ราชินีกวิเนเวียร์ และหลานของพวกเขาอากราเวนและกาเวน รวมถึงเหล่าอัศวินโต๊ะกลมและบรรดาข้ารับใช้ต่างกำลังมีความสุขกับงานฉลองเทศกาลคริสมาสต์ ในตอนนั้นเองท่ามกลางเสียงเพลงและเสียงหัวเราะ ชายร่างใหญ่เรียกได้ว่าสูงใหญ่กว่าชายทั่วไปและสูงครึ่งหนึ่งของยักษ์ได้ขี่้ม้าเข้ามาภายในวังยังโถงจัดงาน
ชายร่างยักษ์ผู้นั้น มีผม หนวดและเคราสีเขียวตัดกับตาสีแดง เขาแต่งกายอย่างหรูหรางดงาม ประดับไปด้วยผ้าคลุมซึ่งไหมปักดิ้นทองลวดลายปราณีต เสื้อเกราะเองประดับไปด้วยอัญมณีงดงามล้ำค่าส่งประกายระยิบระยับ และแม้แต่ม้าของเขาที่ขี่ม้านั้นตัวก็ใหญ่ยักษ์และมีขนสีเขียวเหมือนกับผู้ที่ขี่ม้า สีหน้าของเขาดูดุดันแฝงด้วยความลึกลับชวนพิศวงจนละสายตาไม่ได้ ในมือข้างหนึ่งถือกิ่งต้นฮอลลี่และอีกขว้างกำขวานทองที่ประดับเพชรพลอยสีเขียวมรกตอันสวยงามไว้ ถึงแม้ร่างใหญ่โตกำยำนั้นจะดูน่ากลัวแต่เขากลับดูเป็นมิตรในเวลาเดียวกันทำให้ทุกคนต่างจ้องมองเขาโดยมิได้ขยับเขยื้อนและเสียงที่เคยจ้อกแจ้กจอแจก็เงียบสงัดในทันที
อาร์เธอร์มิได้หวาดกลัวอัศวินขี่ม้าแปลกหน้าผู้นี้และเชื้อเชิญให้เขามาร่วมงานด้วยแต่กลับถูกปฏิเสธโดยอัศวินมรกตนั้นได้กล่าวแก่อาร์เธอร์ว่า เขาไม่ได้มาเพื่อร่วมงานหรือท้าสู้รบ แต่มาที่นี่เพื่อเล่นเกมท้าประลองความกล้าหาญบางอย่าง โดยใครสักคนในที่นี้ต้องเอาขวานมาฟันคอตนให้ขาด แล้วอีกหนึ่งปีกับหนึ่งวัน อัศวินมรกตจะมาตัดหัวคนคนนั้นด้วยขวานเช่นกัน
เมื่อถูกท้าด้วยสิ่งที่ฟังดูไร้เหตุผลและเป็นไปไม่ได้ อัศวินทั้งหมดจึงได้แต่อึ้งเงียบ ทำให้อัศวินมรกตพูดดูถูกดูแคลนบรรดาอัศวินโต๊ะกลมว่าขี้ขลาดตาขาว อาร์เธอร์รู้สึกโกรธอย่างมากจึงรับคำท้าด้วยตนเองและลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเข้าไปหาอัศวินมรกต
"ข้าคิดว่าคำท้าทายของท่านมันไร้สาระสิ้นดี แต่หากท่านต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะสนองให้"
อาร์เธอร์กล่าวและยื่นรับขวานจากมือของอัศวินมรกตที่นั่งคุกเข่าลงเพื่อรอรับขวานบั่นคอของตน เมื่ออาร์เธอร์ง้างขวานขึ้นเหนือศีรษะ กาเวนซึ่งนั่งติดกับราชินีจึงลุกขึ้นขัดจังหวะและกล่าวขอรับหน้าที่นั้นแทน เขากล่าวว่า
"ข้าเป็นคนที่เด็กที่สุดและอ่อนแอที่สุดในบรรดาอัศวินโต๊ะกลมนี้ ข้าอ่อนประสบการณ์แต่กลับได้รับคำชื่นชม หากไม่ใช่เพราะเป็นสายเลือดเดียวกับท่านน้า ข้าคงไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ คำท้าประลองนั้นช่างโง่เขลาเกินกว่าที่ท่านจะนำชีวิตไปแลก โปรดยกให้ข้าลงมือแทน ขอให้ทุกคนตัดสินใจแทนด้วยหากข้าเอ่ยอันใดผิดไป"
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงตัดสินใจร่วมกันว่าควรให้กาเวนรับคำท้านี้แทน อาร์เธอร์จึงส่งขวานในมือให้กับกาเวนและบอกแก่เขาว่า
"ระวังตัวด้วย หลานข้า ถ้าให้ดี เจ้าควรบั่นคอให้ขาดในทีเดียวเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่หวนกลับมาฆ่าเจ้าภายหลัง"
เมื่อกาเวนเดินเข้าไปหาอัศวินมรกตพร้อมขวานในมือ อัศวินผู้นั้นกลับพูดกับกาเวนอย่างสุภาพที่กาเวนถูกเลือกมา กาเวนสัญญาว่าหลังจากนี้ อีกหนึ่งปีกับหนึ่งวันเขาจะทำตามสัญญาแต่ขอให้อัซวินมรกตบอกทางและสถานที่เพื่อเจอกันอีกครั้ง แต่อัศวินมรกตไม่ยอมบอกอะไรนอกว่ากล่าวว่า หากตั้งใจแน่วแน่ที่จะหาย่อมหาเจอและสั่งให้กาเวนบั่นคอเขาเสีย ซึ่งกาเวนก็สับขวานลงเต็มแรงยังคอของอัศวินสีเขียวในทันที
ศีรษะของอัศวินมรกตนั้นขาดกระเด็นลงพื้นในทันทีที่ขวานบั่นลงและกลิ้งไปตามพื้น เลือดสีเขียวส่องประกายพุ่งทะลักออกมาจากร่าง ราชินีกรีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีด ในขณะที่ทุกคนตกตะลึงอยู่นั้น ร่างของอัศวินมรกตกลับลุกขึ้นยืนและเดินไปเก็บหัวอันเป็นที่รักขึ้นมา จากนั้นจึงเดินไปขึ้นหลังม้าพร้อมกับหันหัวที่หยิบไว้ในมือหันไปยังกาเวน
"จงตามหาข้า ณ วิหารมรกตอย่าให้พลาด"
จากนั้นก็ขี้ม้าออกจากปราสาทไป อาร์เธอร์และอัศวินคนอื่นๆต่างคิดว่าเป็นมุกของตัวตลกในงานเทศกาลจึงหัวเราะกันออกมา แต่กาเวนที่ถือขวานไว้ในมือนั้นเชื่อสนิทใจว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงแท้แน่นนอน แม้ผู้อื่นจะลืมเลือนเรื่องนี้ไปเมื่อเวลาผ่านพ้นแต่กาเวนยังคงจดจำได้ดีโดยมีขวานที่แขวนไว้ที่ผนังวังเป็นเครื่องย้ำเตือน
อาร์เธอร์รู้ดีว่าหลานของตนย่อมรักษาสัญญาเป็นแน่ จึงเตรียมการต่างๆให้หลานเพื่อออกเดินทางไปตามหาอัศวินมรกต เหล่าอัศวินโต๊ะกลมทั้งหลายต่างมารวมตัวกันเพื่อส่งกาเวนที่ขี่กริงโกเล็ท ม้าตัวโปรดออกเดินทางจากปราสาทไปโดยมีเหล่าผู้คนยืนหลั่งน้ำตาร่ำไห้ส่งอำลาเพราะทุกคนล้วนคิดว่าเจ้าชายกาเวน รูปงามแสนดีจะไม่มีโอกาสได้กลับมา
กาเวนออกเดินทางไปพร้อมกับม้าตัวโปรดแสนรัก นาม 'กริงโกเล็ท' อาร์เธอร์และเหล่าอัศวินต่างทำอุปกรณ์เดินทางต่างๆให้แก่เขา รวมทั้งชุดเกราะและโล่ห์ที่มีดาวห้าแฉกแห่งโซโลมอนสลักไว้และลายดอกลิลลี่ที่เกี่ยวพันกันภายใต้ดาวนั้นเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเยซูและด้านหลังมีภาพของพระแม่มารีวาดไว้เพื่อให้ตนเองมีกำลังใจในยามออกรบและผจญอันตราย
กาเวนออกเดินทางโดยถามไถ่ผู้คนไปตามทางที่ผ่าน เขาทั้งคาดเดาและภาวนาวิงวอนขอให้เจอแต่กลับไม่มีผู้ใดบอกเขาได้เลยว่า วิหารมรกต นั้นอยู่ที่ใด ทำให้กาเวนที่ต้องการรักษาสัญญานั้นให้จงได้ต้องเดินทางไปเรื่อยๆ ผ่านเมือง เข้าป่า ลุยน้ำแม้แต่ปีนข้ามเขาทั้งต้องสู้กับสัตว์ป่าดุร้าย หมี ฝูงหมาป่า หมูป่า วัวกระทิงที่ดุร้ายและแม้แต่พวกโอเกอร์ป่าเถื่อน บ่อยครั้งที่เขาไม่สามารถหาที่พักแรมได้และต้องนอนทนหนาวท่ามกลางฝนและหิมะที่โปรยปรายลงมา กาเวนนอนขดหนาวเพียงลำพังท่ามกลางหิมะบนโขดหิน ขอนไม้ หรือแม้แต่พิ้นดิน ผมของเขาโดนน้ำแข็งจับในยามเช้าเหมือนยอดหญ้า ความหนาวเหน็บนั้นทำให้กาเวนตัวสั่นเทาอย่างสิ้นหวังและคิดว่าตนเองอาจจะต้องตายอย่างเดียวดายที่นี่ก่อนถึงวันคริสมาสต์ แต่ในตอนนั้นเองเขาก็เริ่มสวดภาวนาเพื่อให้กำลังฟื้นกลับมาและในเช้าของวันนั้นเองขณะที่ขี่ม้าไปเรื่อยๆ กาเวนก็พบกับป่าอันเขียวชอุ่มแปลกตาตรงหน้า
ทั้งๆที่รอบข้างเป็นฤดูหนาวแต่ป่านี้กลับมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นหนาแน่นไปหมด เสียงสัตว์และฝูงนกร้องราวเพลงบรรเลง อากาศที่แสนดีแต่งต่างจากที่กาเวนพบพานมาระหว่างทางทำให้เขายินดีปรีดาเป็นอย่างมาก ระหว่างที่ขี่ม้ามองไปรอบๆ กาเวนสะดุดตากับต้นโอ๊คใหญ่ต้นหนึ่ง มันสวยงามต้องแดดสะดุดตาและในตอนนั้นเอง เขาก็พบว่ามีปราสาทหลังใหญ่หลังหนึ่งอยู่ในป่านั้นด้วยเช่นกัน ด้วยความดีใจกาเวนจึงขี่กริงโกเล็ทไปยังปราสาทนั้น เขากล่าวขอพักแรมอย่างสุภาพต่อทหารยามและได้รับการตอบรับอย่างดีแถมยังเชื้อเชิญให้เข้าไปในปราสาทด้วย
ระหว่างทางเข้าไปในปราสาทกาเวนพบว่าผู้คนในเมืองต่างดูมีความสุขสบาย เสื้อผ้าที่ใส่ดูดีจนน่าแปลกใจ ผู้คนเองต่างก็ต้อนรับขับสู้เขาอย่างดีตลอดทาง เมื่อถึงในปราสาททันทีที่กาเวนถอดหมวกออกคนรับใช้ก็รีบมารับไปจากมือแทบจะในทันทีที่ถอดเสร็จ ทั้งสัมภาระและม้าของเขาถูกนำไปไว้ดูแลอย่างดี กลุ่มคนที่เป็นมิตรพาเขาเข้าไปยังห้องโถงที่ประดับประดาอย่างงดงามและเต็มไปด้วยแสงไฟอันอบอุ่น ตอนนั้นเองที่ท่านลอร์ดคนหนึ่งได้ออกมาจากห้องเพื่อมาต้อนรับกาเวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาแต่งตัวดูดีและสง่างามสมฐานะ ผู้คนในปราสาทเองก็ดูจะเคารพรักและภักดีต่อท่านลอร์ดมาก
ท่านลอร์ดให้คนรับใช้พากาเวนไปดูห้องนอนที่จะพักคืนนี้ที่แสนจะโอ่อ่าและดูอุ่นสบาย อีกทั้งยังตกแต่งประดับประดาด้วยทองและผ้าราคาแพง ระหว่างที่กาเวนตกตะลึงกับห้องนอนอยู่นั้น ชายรับใช้ก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมมาใหม่ให้กาเวนสวมใส่แล้วพาเขาไปยังห้องรับรอง อาหารหรูหรามากมายถูกจัดวางบนโต๊ะ ท่านลอร์ดให้กาเวนนั่งติดกับเขาร่วมกับคนอื่นๆที่โต๊ะอาหาร หลังจากถามไถ่จนรู้ว่ากาเวนเป็นใคร ท่านลอร์ดก็ดีใจยกใหญ่และต่างพูดคุยกันอย่างเป็นมิตรสนิทสนมจนกาเวนคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นของขวัญจากพระเจ้า
หลังทานอาหารเสร็จท่านลอร์ดได้เรียกภรรยาของเขามาพบกับกาเวน เธอเป็นสาวสวยที่ดูแล้วสวยสดงดงามกว่ากวิเนเวียร์ด้วยซ้ำ เธอจ้องมองกาเวนที่เข้ามาทักทายตามมารยาทแขกรับเชิญอย่างไม่ละสายตา พร้อมกับพาเขาไปพบกับหญิงชราอีกคนที่หน้าตาอัปลักษณ์ ผิวหนังเหี่ยวย่นและดูสะเลอะเกรอะกรังจนน่าใจหายแต่กาเวนกลับยิ้มและเดินเข้าไปทักทายอย่างมีมารยาทพร้อมกับจุมพิตทักทายให้เกียรติและโค้งคำนับและพูดคุยด้วยโดยมิได้มีท่าทางรังเกียจแต่อย่างใด ต่อมาท่านลอร์ดได้ชวนกาเวนคุยเรื่องการล่าสัตว์จนกระทั่งเขารู้สึกง่วงและขอตัวไปนอน
เช้าวันถัดมาบนโต๊ะอาหาร ภรรยาของท่านลอร์ดเลือกที่จะนั่งติดกับกาเวน เธอชวนเขาคุยระหว่างทานอาหาร กาเวนก็คุยกลับโดยอย่างเป็นมิตรสนิทสนมโดยมิได้คิดอะไรแอบแฝง หลังจากมื้ออาหารกาเวนได้ขอตัวลาท่านลอร์ดเพื่อจะออกเดินทางไปยังวิหารมรกตแต่ท่านลอร์ดกลับทั้งชวนคุยนั้นนี่ยื้อให้เขาไม่ไป แถมยังเกลี้ยกล่อมให้พักต่ออีกสักสองสามวันโดยอ้างว่าตนรู้จักทางไปวิหารมรกตเป็นอย่างดี มันห่างไปไม่เท่าไรนัก จะออกเดินทางก่อนวันที่นัดหมายหนึ่งวันก็ยังทันและอยากให้กาเวนอยู่ฉลองเทศกาลงานเลี้ยงวันคริสมาสต์กับตนก่อน กาเวนที่ลังเลพอได้ยินว่าท่านลอร์ดรู้ตำแหน่งที่ตั้งวิหารจึงตกลงที่จะอยู่ต่อและขออยู่ในฐานะคนรับใช้เพื่อตอบแทนน้ำใจของท่านลอร์ดระหว่างที่พัก ท่านลอร์ดเองก็เกรงใจกาเวนและบอกว่าไม่ต้องทำอะไรนอกจากพักผ่อนและอยู่ให้สบายเพราะเดินทางไกลมามากแล้ว และจะให้ภรรยาคอยดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารให้พร้อมทั้งให้กาเวนไปนอนห้องนอนบนสุดของปราสาทเพื่อความอุ่นสบายกับแสงแดดยามเช้า ส่วนตนเองจะออกไปล่าป่าในช่วงระหว่างนี้แต่ท่านลอร์ดได้เสนอเงื่อไขอย่างหนึ่ง คือ
*หากตนล่าสัตว์หรือนำอะไรกลับมาได้นั้น กาเวนจะต้องนำของที่ได้มาในช่วงระหว่างที่่ท่านลอร์ดไปล่าสัตว์มาแลกด้วยเช่นกัน จะได้เอามาเทียบกันว่าใครโชคดีได้ของดีกว่ากัน*

กาเวนเองก็รู้สึกว่าเป็นการท้าทายที่สนุกดีจึงตอบรับคำท้าไปอย่างตื่นเต้นสนอกสนใจ
----ในช่วงย่ำเช้าที่แสงยังไม่สาดส่องท่านลอร์ดและคณะล่าสัตว์เตรียมตัวกันพร้อมแล้วยกขบวนกันออกจากปราสาทไป
กาเวนนอนหลับอย่างสบายใจอยู่บนเตียงทันใดนั้นเอง แสงสว่างเล็กๆก็ลอดเข้ามาในห้องของเขา เสียงออดแอดดังเบาๆลอดผนังเข้ามาทำให้กาเวนรู้สึกตัวและพบว่ามีคนค่อยๆแอบเปิดประตูช้าๆและเบามือ กาเวนแอบเหล่หางตามองผ่านผ้าห่มของเขาช้าๆแล้วรีบหลบสายตาหันกลับทันทีที่รู้ว่าคนคนนั้น คือ ภรรยาแสนสวยของท่านลอร์ด เธอค่อยๆปิดประตูแล้วเดินเข้าหากาเวนที่นอนหลับอยู่ เธอนั่งลงบนเตียงแล้วค่อยๆถกผ้าห่มออกนั่งลงข้างๆแนบชิดกับเขาแล้วจ้องมองอย่างรักใคร่ว่ากาเวนจะตื่นขึ้นเมื่อไร
กาเวนที่มึนงงสงสัยว่านางมาทำอะไรที่ห้องนอนของเขาพยายามนอนนิ่งไม่ไหวติงด้วยคิดว่าสักพักเธอคงยอมแพ้และจากไป แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งนานเข้ากาเวนยิ่งอึดอัดจนทนไม่ได้ เขาม้วนตัวกลิ้งหนีออกจากเตียงให้พ้นจากตัวนางและเมื่อลืมตาจึงพบว่า นางกำลังยิ้มแก้มแดงมองมายังเขาพร้อมเสียงหัวเราะจากปากบางเล็กแสนสวยนั้น เธอพูดกระเซ้าเย้าแหย่กาเวนว่าถ้าหากเขายังหลับต่ออีกสักนิด นางคงจะมัดเขาไว้กับเตียงให้ขัดขืนไม่ได้เป็นแน่ แต่กาเวนได้พูดบอกนางว่า หากนางต้องการอะไร เขายินดีทำตามให้ทุกอย่างแต่หากเป็นสิ่งที่จะต้องออกนอกลู่นอกทางหรือผิดศีลธรรมเขาคงไม่อาจทำได้และขอร้องให้เธอกลับไป แต่นั่นยิ่งทำให้นางยิ้มหัวเราะชอบใจมากขึ้น
กาเวนที่เห็นเช่นนั้นจึงขอร้องให้นางปล่อยคนในคุกออกมาสักคน แล้วให้มานอนที่เตียงของเขาและเขายอมนอนในคุกนั้นเสียดีกว่าจะทำสิ่งผิดศีลธรรมกับนาง แต่คำพูดนั้นก็ยังความรื่นเริงใจให้ภรรยาท่านลอร์ดมากขึ้นอีก นางพยายามเกลี้ยกล่อมกาเวนว่านางหลงใหลในตัวกาเวนเพียงใด และตอนนี้ สามีกับคนรับใช้ผู้ชายทั้งหลายก็ไม่อยู่ คนที่เหลือก็หลับในห้องที่ถูกกุญแจล็อคไว้หมดและนางจะยินดีมากถ้าหากเขายอมเป็นของนางตามที่ต้องการ
กาเวนพยายามต่อต้านและเตือนสตินางว่าการกระทำนี้เป็นเรื่องที่บาปมหันต์และน่าละอายใจและเขาไม่สมควรเป็นที่หลงใหลของนาง ถึงจะพูดแบบนั้นนางก็ยังไม่ละเลิกความตั้งและเน้นย้ำว่าหญิงอื่นๆที่เห็นกาเวนย่อมอยากได้ตัวเขาเหมือนกัน กาเวนที่เห็นสีหน้าส่อแววคุกคามอย่างไม่ลดละของภรรยาท่านลอร์ดจึงพยายามโน้มน้าวพูดเรื่องศีลธรรมและศาสนาเตือนให้นางกลัวเกรงในสิ่งที่นางจะทำแต่ไม่เป็นผล การโต้เถียงหลบหลีกกันไปมายาวนานไปจนถึงเกือบช่วงสาย(เกือบเก้าโมงเช้า)และไม่ว่าเธอจะบอกว่ารักเขามากเพียงใด กาเวนก็ปฏิเสธอย่างมีมารยาทและรักษาน้ำใจตลอด
เมื่อเห็นแน่ชัดแล้วว่ากาเวนไม่ยอมโอนอ่อนตามที่นางต้องการแน่ นางจึงบอกว่าจะออกจากห้องกาเวนไปเองและโทษว่าเป็นเพราะเขานางจึงทนอัดอั้นความรู้สึกไม่ได้ แต่ในฐานะที่กาเวนเป็นอัศวินและเคยกล่าวว่า จะทำตามที่ขอถ้าหากไม่เป็นสิ่งที่ไม่สมัครใจทำ นางจึงพูดประชดว่าอย่างน้อยอัศวินส่วนใหญ่ เวลาที่สุภาพสตรีชั้นสูงกล่าวอำลา ก็ควรมีการจุมพิตอำลาตามธรรมเนียม(*หมายถึง จุมพิตตามมารยาท/ธรรมเนียม จูบแบบจุ๊บเบาๆไม่มีแอบแฝงอารมณ์ทางเพศ)

พอได้ฟังแบบนั้น กาเวนก็โล่งใจที่ในที่สุดเธอก็จะยอมไปแต่โดยดีเพียงแค่จุมพิตอำลาตามธรรมเนียมจึงตอบตกลงไปในทันที แต่แล้วเขาก็พบว่าแทนที่จะเป็นเช่นนั้น นางกลับเข้าไปใกล้กาเวนแล้วใช้แขนโอบเขาให้โน้มตัวลงมาแล้วจูบด้วยความสเน่หาจากนั้นเธอก็ปล่อยตัวเขาแล้วออกจากประตูไป
กาเวนที่ดึงสติกลับมาได้จึงรีบเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะเรียกคนดูแลมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้และลงไปยังห้องโถงเพื่อสวดสรรเสิรญพระเจ้ายามเช้าร่วมกับคนอื่นๆ ก่อนรับประทานอาหารและใช้เวลาอยู่ที่นั่นจนกระทั่งพลบค่ำ กาเวนเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างหญิงสาวและหญิงชรา พวกเขาพูดคุยสนุกสนานกันอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆเพราะทำให้กาเวนรู้สึกสบายใจท่ามกลางผู้คนจนกระทั่งอาทิตย์ตกดินและท่านลอร์ดเดินทางกลับมา อารมณ์ต่างๆที่กาเวนอัดอั้นภายในใจก็ได้ระบายออกมาเป็นความดีใจที่พบเขา
ท่านลอร์ดยกกวางที่งดงามที่สุดในรอบเจ็ดปีตั้งแต่ออกล่ามาได้ให้กาเวนและถามว่าเขาจะแลกเปลี่ยนกับอะไรให้เท่าเทียม
กาเวนจึงตอบว่า "นี่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับท่านที่ข้าได้รับภายในปราสาทนี้ มันควรจะเป็นของท่าน"
ว่าแล้วกาเวนก็ใช้แขนโอบคอของท่านลอร์ดลงมาแล้วจูบแบบเดียวกับที่ถูกภรรยาของท่านลอร์ดจูบมาเท่าที่เขาจะทำได้ ท่านลอร์ดถึงกับตกตะลึงแต่ก็พออกพอใจกับจูบที่ได้มาและเอ่ยปากถามว่าได้จากใครมา?
แต่กาเวนไม่ยอมตอบและบอกปัดเป็นมุกตลกขำขันกันไป ซึ่งท่านลอร์ดก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ
ทุกคนในวังต่างฉลองกับสิ่งที่ล่ามาได้ อาหารที่มีไม่อั้นและดื่มกินสังสรรค์กันอย่างหนัก ทำให้กาเวนที่ดื่มอย่างหนักถึงกับล้มพับทันทีที่ถึงเตียงนอน และในวันถัดมา ท่านลอร์ดก็ออกเดินทางไปก่อนรุ่งสาง และแน่นอนว่า ภรรยาของท่านลอร์ดเองก็ไม่ลืมที่จะแอบย่องเข้าไปยังห้องของกาเวนอีก เมื่อกาเวนรู้สึกตัวเขาพูดต้อนรับเธออย่างดีเพราะเห็นว่าเธอแค่มายืนจ้องดูเขาเท่านั้นไม่ได้ทำอะไรอื่นและอยากจะพูดถึงเรื่องเมื่อวานให้เข้าใจกันในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ แต่กลับทำให้ภรรยาท่านลอร์ดตีความเป็นอย่างอื่น กาเวนที่พยายามอธิบายกลับโดนขู่ว่าจะทำให้กาเวนไม่มีที่ยืนในกลุ่มอัศวินทำให้ต้องยอมทำตามนางอีกครั้ง โดยคราวนี้นางจับกาเวนโน้มลงมาจูบที่ใบหน้าและถามว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธนางนักหนา ทั้งๆที่อัศวินหลายๆคนยอมทำตามที่นางต้องการเพื่อการไต่เต้ามาตลอด ไม่มีใครกลัวบาปหรือแม้แต่พระเจ้าสักคน
กาเวนตอบนางไปว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนั้น เขาไม่เคยหวั่นไหวเพราะในหัวใจนั้นเต็มไปด้วยพระนามของพระเจ้า พอได้ยินแบบนั้น นางจึงพยายามยั่วยวนกาเวนมากขึ้นเท่าที่นางจะสามารถทำได้โดยหวังว่านางจะได้มีอะไรกับกาเวนจริงๆในคราวนี้ แต่สิ่งที่กาเวนทำให้นางคือการปัดป้องนางตลอดเวลา นอกจากจะเป็นการป้องกันตัวที่ไม่รุนแรงอะไรก็ยังสามารถปัดนางออกได้ตลอดแทบทุกครั้งและเป็นเช่นนั้นพักใหญ่ จนกระทั่งทั้งสองหลุดขำออกมาเองทั้งคู่ราวกับเด็กเล่นกันอย่างไร้เดียงสา ในที่สุดภรรยาท่านลอร์ดก็ยอมถอยและฉวยจูบเขาอีกครั้งก่อนออกจากห้องไป

หลังจากเรื่องทั้งหมดเมื่อได้ยินเสียงสวดสรรเสริญพระเจ้าที่ดังแว่วมากาเวนก็รู้สึกสบายใจขึ้น จวบจนเวลาอาหารเย็น กาเวนก็ทำเช่นเคย คืออยู่พูดคุยกับผู้คนซึ่งส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิงที่เข้ามาคุยด้วย เขาเฝ้ารอเวลาที่ท่านลอร์ดจะกลับมาจนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อของกาเวนดังลั่นของท่านลอร์ดที่ในมือชูหมูป่าที่ล่ามาได้ขึ้นอวดเขาอย่างชอบอกชอบใจ
เมื่อท่านลอร์ดถามถึงเกมท้าประลองแลกของที่เท่าเทียมกัน กาเวนก็กล่าวว่า เขามีสิ่งที่ท่านลอร์ดควรได้รับอย่างสมน้ำสมเนื้อเป็นการแลกเปลี่ยนเช่นเคย เมื่อพูดจบ กาเวนก็โน้มคอท่านลอร์ดลงมาและจูบไปหนึ่งครั้งก่อนจะผละออกมาแล้วจูบท่านลอร์ดอีกเป็นครั้งที่สองในตำแหน่งเดียวกับที่เขาถูกจูบมา ท่านลอร์ดถึงกับประหลาดใจและพูดแกมหยอกว่า คราวหน้าเขาอาจจะสู้ไม่ได้เพราะสิ่งที่กาเวนได้มามันช่างเหนือความคาดหมายเหลือเกินและแน่นอน กาเวนไม่ยอมบอกที่มาเช่นเคยและท่านลอร์ดก็ไม่ได้ใส่ใจจะถามต่อเช่นกัน
หลังจากนั้น ท่านลอร์ดก็จัดงานฉลองสัตว์ที่ล่ามาได้อย่างยิ่งใหญ่เช่นเคย ระหว่างนั้น ภรรยาของท่านลอร์ดก็แอบส่งสายตาหวานเยิ้มโปรยเสน่ห์ให้กาเวนที่นั่งติดกันแต่เขากลับทำเป็นมองไม่เห็นและรู้สึกสะอิดสะเอียนภายในใจแต่อย่างไรแล้ว กาเวนก็ยังพยายามรักษามารยาทเพื่อให้เกียรติท่านลอร์ดที่ให้ที่พักด้วยการพูดคุยเมื่อภรรยาท่านลอร์ดคุยด้วยตามปกติ
จนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง กาเวนกล่าวขออนุญาตออกจากปราสาทในวันถัดไปเนื่องจากต้องรีบไปให้ถึงวิหารมรกตตามที่สัญญากับอัศวินมรกตไว้ แต่ก็ถูกท่านลอร์ดโน้มน้าวว่า เขาควรจะอยู่ต่อเพราะการมาที่นี่เป็นเหมือนพระประสงค์ของพระเจ้า เขาควรจะอยู่ต่ออีกสักวันและสามนั้นถือเป็นนิมิตหมายที่ดี กาเวนจึงเห็นด้วยจากนั้นทั้งสองก็ดื่มฉลองต่อแล้วแยกย้ายกันไป กาเวนนอนหลับสนิทอย่างสบายใจตลอดทั้งคืนโดยไม่มีใครเข้ามาในห้องนอนของเขา
วันที่สามนี้ ท่านลอร์ดก็ออกไปล่าสัตว์กับบรรดาคนรับใช้ชายทั้งหลายอีกตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางอีกครั้ง จนกระทั่งแสงแดดสาดเข้ามาในห้องนอน ความสุขสงบในการนอนหลับของอัศวินแสนดีก็จบลง กาเวนที่นอนหลับยาวเนื่องจากดื่มมาหนักก็ต้องตื่นตกใจเพราะเสียงตะโกนเรียกดังลั่นด้วยความเร้าใจและหยอกล้อที่เขาตื่นสายของภรรยาท่านลอร์ดที่ย่องเข้าหาตามเคย นางปิดหน้าต่างทุกบานในห้อง แถมสิ่งที่กาเวนตกใจยิ่งกว่าเมื่อลืมตาเห็น คือ นางใส่เสื้อผ้าที่วาบหวามมากกว่าปกติ ทั้งเปิดคอ เปิดไหล่ เผยอกและหลังอย่างชัดเจนแถมยังประดับประดาด้วยเพชรพลอยสวยงามเตะตา นางเดินเข้าหาไปแนบชิดติดตัวกาเวนที่พยายามหนีและจูบเขาในทันทีจนเขาถึงกับร้องปฏิเสธออกมาด้วยความตกใจและเตือนนางว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นบาปมหันต์ ภรรยาท่านลอร์ดที่หมายมั่นปั้นมือที่จะมีความสัมพันธ์กับกาเวนให้จงได้จึงเริ่มไม่พอใจและถามกาเวนว่าเหตุใดจึงปฏิเสธนักหนาทั้งๆที่นางงดงามและยอมเข้าหาเขาอย่างเปิดเผยมากขนาดนี้ นางคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะกาเวนมีคนรักที่เขามอบความรักให้จนหมดใจไปแล้วและตัดพ้อต่อว่าเขา แต่กาเวนได้ตอบว่าทั้งหมดเป็นเพราะความศรัทธาในพระเจ้าไม่มีอื่นใดไปกว่าพระองค์ ทำให้ภรรยาท่านลอร์ดเห็นถึงความศรัทธาตั้งมั่นนั้นจึงยอมถอยห่างออกมา
เธอสั่งกาเวนให้จูบเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสัญญาว่า เธอจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขาอีกและเสนอจะมอบทรัพย์สินให้แก่เขา
/ต่อ part 02 #กาเวน

Website