archeep.com

archeep.com

ข้อมูลเพื่อดูแลสุขภาพ และอาชีพเสริม
www.archeep.com

ข้อมูลเพื่อดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัว และข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพเสริมและต่อยอดเป็นอาชีพหลักได้ในอนาคต

สถาบันการแพทย์ไทย-จีน 12/04/2021

แจกตำรายาจีน - ฝังเข็มเยอะมาก เผื่อใครสนใจครับ

https://tcm.dtam.moph.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=24:2015-05-20-03-55-25&catid=13:2015-04-03-04-15-54

สถาบันการแพทย์ไทย-จีน หนังสือ/ตำราเผยแพร่เมื่อ: วันจันทร์, 31 ธันวาคม 2561 11:11 | เขียนโดย adminแนวทางการจัดบริการฝังเข็มโรคหลอดเลือดสมองระ.....

20/02/2021

กัญชาในรูปน้ำมัน หริอแม้แต่ชา ออกฤทธิ์ได้เพียง 6 % เพราะCBD และ THC เป็นสารที่ละลายในไขมัน (Lipophilic) ถ้าทำให้อยู่ในรูปละลายน้ำจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมาก เพราะร่างกายดูดซับได้ทันที

Game Changer สำหรับ สารออกฤทธิ์ทางยาที่สกัดได้จากสมุนไพรต่างๆ รวมทั้ง สาร CBD และ THC ที่พบในกัญชา กัญชง ก็คือ การทำให้พวกมันเป็น Water Soluble มากขึ้น เพื่อทำให้ Bioavailability สูงขึ้น

เพราะนี่คือ อุปสรรคขนานแท้ และ ใหญ่มาก ที่ทำให้ สารออกฤทธิ์ทางยาที่สกัดได้ในสมุนไพร กินไปแล้ว ไม่ใกล้เคียงงานวิจัยที่ค้นพบ หรือ ไม่เห็นผลเลย

ก็เพราะว่า มันไม่ค่อยดูดซึมเข้าร่างกาย เช่น สาร CBD ที่พบในกัญชง กัญชา มีค่า Bioavailability เพียงประมาณ 6 % เท่านั้น

เข้าใจง่ายๆ ก็คือว่า กินเข้าไป 100 % ร่างกายได้รับเพียง 6 % ที่เหลือ ร่างกายขับออกหมด

และการทำสเปคดังกล่าว ก็ไม่ต้องใช้สาร CBD หรือ สารออกฤทธิ์ทางยาที่สกัดได้ในสมุนไพรเยอะด้วย เพราะ ใส่เข้าไปนิดเดียว ก็ดูดซึมได้เกือบหมด เพียงพอต่อการออกฤทธิ์ นั่นเอง

ยกตัวอย่างแบบสมมต เช่น เมื่อก่อนกิน 100 มิลลิกรัม ร่างกายได้รับ 6 มิลลิกรัม จึงได้ผล เพราะดูดซึม 6 %

แต่ถ้าทำให้ค่าดูดซึมมากขึ้นถึง 90 % (Bioavailability) เราก็ไม่ต้องไปกินถึง 100 มิลลิกรัม จึงจะได้ 6 มิลลิกรัม เราก็กินเพียงไม่ถึง 10 มิลลิกรัมด้วยซ้ำ

นอกจากจะกินน้อยลงแล้ว เพราะดูดซึมได้มากขึ้น ในการผลิตก็ไม่ต้องไปใช้สารออกฤทธิ์ทางยาที่มากขึ้นด้วย

จากเมื่อก่อนต่อเม็ดต้องใส่ 100 มิลลิกรัม ร่างกายจึงจะได้ 6 มิลลิกรัม ก็มาใส่เพียง 10 มิลลิกรัม นั่นเอง

ตำรับยาสมุนไพรไทย ที่มีส่วนประกอบหลากหลายตัวยา ถ้าจะทำให้กินแล้วเห็นผล คนยอมรับ และ ทั่วโลกทึ่ง ต้องหันมาใช้ สเปคส่วนประกอบของตำรับยาแบบนี้ จึงจะยกระดับสู่สากลได้

25/01/2021

มาฟังแพทย์แผนจีนพูดถึงเรื่องของถั่งเช่าครับ

วันนี้หมอแนนมาสรุปประเด็นถังเช่า ให้อ่านเข้าใจง่ายๆนะคะ เผื่อใครไม่ได้ดูไลฟ์เมื่อคืนค่ะ ❤

1.ถังเช่า เป็นยาจีนจริงๆ เรียกว่า ตงฉงเซี่ยเฉ่า
(冬虫夏草) หรือบางคนเรียก ถังเช่า/ตังถังเช่า/ตังถังแห่เช่า/หญ้าหนอน

2.ถังเช่า เป็น หนอน+เห็ด ค่ะ พบตามเทือกเขาสูงแถบทิเบต ชิงห่าย ยูนาน กานซู อยู่สูง 10,000-12,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล เกิดจากการที่หนอนผีเสื้อ หนีหนาวไปจำศีลใต้หิมะ และถูกเห็ดเกาะกิน จนสุดท้าย ตู้มม... ออกมาเป็น เห็ดที่เจาะออกมาจากตัวหนอน แบบที่เราเห็นค่ะ ( R.I.P น้องหนอน 🥺)

คนเก็บก็ต้องขึ้นไปขุดหาถังเช่าที่อยู่ใต้หิมะค่ะ ❄โดยคนเก็บต้องมีใบอนุญาตถึงจะขึ้นไปเก็บได้ เนื่องจากอยู่บนเทือกเขาสูง อากาศหนาว ระดับออกซิเจนในอากาศน้อยกว่าปกติ คนเก็บถังเช่าเลยต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงพอค่ะ

3.ถังเช่า ไม่ใช่ เห็ดถังเช่า
เห็ดถังเช่าสีทองเป็นเห็ด ไม่มีส่วนของหนอนค่ะ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cordyceps militaris
(ถังเช่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Cordyceps sinensis)
ทั้งสองอย่างนี้เป็นคนละอย่างกันค่ะ อยู่ตระกูลเดียวกัน แต่คนละสปีชี่ค่ะ สรรพคุณคล้ายกัน สารสำคัญคล้ายกัน ต่างกันที่ฤทธิ์ยาค่ะ
(ถังเช่าฤทธิ์เป็นยา อุ่นร้อน ; เห็ดถังเช่า เป็นอาหาร ฤทธิ์กลาง ไว้ทานเป็นอาหาร ต้มซุป ผัดผัก ชงชา ที่จีนมีแบบสดขายตามซุปเปอร์ คล้ายเห็ดหอม ที่มีทั้งแบบสด แบบแห้งค่ะ )

4. ที่จีนประกาศให้มีการดูแลควบคุมเรื่องการขายถังเช่าจริง ซึ่งมี 2 ประเด็น คือ (1) ให้ควบคุมการขายถังเช่าว่า "เป็นยาจีน" ไม่ใช่อาหาร ถ้าอยากทาน ต้องให้หมอเป็นคนจ่าย (ไม่ได้ตัดออกจากการเป็นยา แต่ตัดออกจากการเป็นอาหารค่ะ) และ (2) ให้ควบคุมการผลิตการวางขายให้เคร่งครัด เนื่องจากตรวจพบโลหะหนัก สารหนูปนเปื้อน (เดี๋ยวอธิบายอย่างละเอียดด้านล่าง หัวข้อ ทานถังเช่าแล้วไตวายจริงไหม นะคะ)

5.ถังเช่าที่ขึ้นตามธรรมชาติราคาแพงมากๆ กิโลละ700,000-1,000,000++ ขึ้นอยู่กับเกรดค่ะ
ตก1กรัม 700-1,000บาท ซึ่งจะมีหลายเกรด เกรดแบบ1กรัม มี 3ตัว ; 1กรัม มี 4ตัว ; 1กรัม มี5ตัว
(ตกตัวละ200-300กว่าบาทได้ค่ะ) แบบ1กรัม2ตัวก็มีเหมือนกันค่า ตัวละ500บาท เลยทีเดียว 😝

6. ถังเช่าเป็นยาจีน ในหมวดบำรุงพลังหยางค่ะ 补阳药 เข้าเส้นลมปราณไตและปอด 入肾&肺 经
มีสรรพคุณบำรุงพลังหยางของไตและปอด 温补肺肾 หยุดเลือดสลายเสมหะ 止血化痰

เอาไว้ใช้รักษา

เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ปวดเอวปวดเข่า ขาไม่มีแรง 阳痿 腰膝酸软 ที่มาจากพลังหยางของไตน้อย 肾阳虚 ( เป็นคนขี้หนาว กลัวหนาว แขนขาเย็น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกลางดึก ปัสสาวะใสๆ ปวดเอวปวดเข่าเรื้อรัง ) เพราะฉะนั้นถ้าเสื่อมสมรรถภาพทางเพศจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ความเครียด การติดขัดของลมปราณและเลือด ก็จะไม่ได้ช่วยค่า หรือปวดเอวปวดเข่าจากอุบัติเหตุ ผิดท่า กระดูกทับเส้น การปวดแบบนี้ถังเช่าก็ไม่ได้ช่วยโดยตรงค่า)

และรักษาอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือดค่ะ 久咳 咳血 จากวัณโรคปอด จากมะเร็งปอด จากภาวะร่างกายขาดพลังหยาง เพราะฉะนั้นให้หมอจีนตรวจก่อน ว่าเรามีภาวะหยางน้อยรึป่าว ทานแล้วเหมาะมั้ย จะดีที่สุดค่า ยุคนี้จะซื้ออะไรมาทาน ก็ต้องเลือกให้เหมาะกับร่างกาย ดีต่อร่างกายที่สุดนะคะ ✌ ปริมาณการทาน แบบเป็นตัวๆ 3-9กรัมค่ะ
(ถ้าทานแบบสกัดต้องระวังเรื่องปริมาณนะคะ ว่าสกัดแล้วเทียบเท่าตัวยาจริงเท่าไหร่ค่ะ ทานมากไปก็ไม่เหมาะค่ะ)

ถ้ามาหาหมอจีน แล้วหมอบอกว่า ไตอ่อนแอ 肾虚 ไม่ได้แปลว่า เราเป็นโรคไต นะคะ คนละทฤษฎีกันค่ะ แต่...ถ้าเรายังคงพฤติกรรมเดิมๆ ที่ทำให้ไตอ่อนแอ (ดื่มน้ำน้อย ทานเค็ม ทานโซเดียมเยอะ พักผ่อนน้อย เจ็บป่วยโรคเรื้อรังคุมได้ไม่ดี โรคความดันสูง เบาหวาน น้ำตาลสูง เก๊าท์ กรดยูริกสูงเรื้อรัง) ระยะยาวๆ อาจส่งผลต่อการทำงานของไต เสี่ยงโรคไตได้เหมือนกันค่ะ

ไตอ่อนแอ ในทางแผนจีน จะมีอาการ ความจำไม่ดี ฟันและกระดูกไม่แข็งแรง ผมร่วง ผมหงอกก่อนวัย ปวดเอวปวดเข่าเรื้อรัง หูอื้อแบบเสียงเบาๆเหมือนจั๊กจั่น ในเด็กการเจริญเติบโตช้า ในวัยรุ่นเจริญวัยช้า ในผู้ใหญ่ฮอร์โมนเพศหมดเร็ว เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มีบุตรยาก ปัสสาวะบ่อย แก่เร็วค่ะ

ส่วนเรื่องผลการวิจัยทางแผนปัจจุบันของถังเช่าก็มีมากมายค่ะ ที่จีนมีทั้งการทำวิจัยในหนูทดลอง ทั้งวิจัยกับคนค่ะ เช่นฤทธิ์ด้านการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ; การต้านมะเร็ง ; การส่งเสริมการทำงานของไต อันนี้สามารถหาในเวปงานวิจัยของจีนค่ะ มีการทำ meta analysis ด้านนี้เยอะเช่นกันค่ะ แต่ก็อย่างที่บอกค่า ปรึกษาหมอก่อนนะคะ❤

7. มียาจีนอีกเยอะแยะมากมายที่มีสรรพคุณเหมือนถังเช่าค่ะ บำรุงพลังหยางของไตและปอด ไม่ต้องกลัวว่าไปหาหมอจีน ถ้าหมอตรวจว่าพลังหยางน้อยแล้วหมอจะจ่ายยากิโลละเป็นล้านให้เราทานนะคะ 😍 ยาจีนสรรพคุณเหมือนกัน คล้ายกัน มีหลายตัวเลยค่า ราคาถูกๆ ค่ะ เช่น ทู่ซือจึ 菟丝子; ตู้จ้ง(ตั่งต๋ง) 杜仲 ; ปู่กู่จื่อ 补骨脂 ; วอลนัท 核桃仁 ; เมล็ดกุ๊ยช่าย 韭菜子 หรือแม้กระทั่งตุ๊กแกค่ะ 蛤蚧😆 อันนี้ใครไม่กล้าทาน บอกผ่านได้นะคะ หมอแนนก็ยังไม่กล้าค่ะ

8.ถังเช่า มีฤทธิ์อุ่นร้อน หากคนที่ร่างกายร้อนอยู่แล้ว ทานไปจะยิ่งร้อน โดยเฉพาะเมืองไทย ที่อากาศร้อนเว่อร์มากๆแบบนี้นะคะ หรือคนไข้ความดัน เบาหวาน ทางแผนจีนบอกว่า ร่างกายออกไปทางร้อน ถ้าหาซื้อทานเอง ก็จะไม่เหมาะกับร่างกายค่ะ วิธีการทานยาจีนที่ดีคือทานเป็นตำรับค่ะ ให้หมอจีนตรวจแมะ ดูลิ้นก่อน ว่าร่างกายเราเป็นแบบไหน หมอจะจ่ายยาเป็นตำรับให้เหมาะกับร่างกาบเราค่ะ ✌ เดี๋ยวนี้เมืองไทยมีหมอจีนเยอะแยะเลยค่า ทั้งตาม รพ.รัฐ รพ.เอกชน คลินิก ใครสนใจรักษาแบบแผนจีน ลอง search หมอจีนใกล้บ้านได้เลยค่าา มีเกือบทุกจังหวัดเลยค่ะ ❤

อันนี้เป็นสรุปประเด็นหลักๆ เกี่ยวกับถังเช่านะคะ
ต่อมา มาดูคำถามที่ ถังเช่าถูกตั้งคำถามมากๆคือ

ถังเช่าทำให้ไตวายจริงมั้ย?

➡️ ถังเช่า จริงๆไม่ได้ทำให้ไตวายค่ะ
ในตำรายาจีน ช่วยบำรุงพลังหยางของไต 补肾阳 ( แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ต้องให้หมอจีนตรวจว่าเหมาะมั้ยค่ะ ยาฤทธิ์ร้อน ยิ่งเมืองไทยอากาศร้อน คนความดันสูงต้องระวังค่ะ )

ที่จีนมีผลวิจัยทั้งในสัตว์ทดลอง และในคนไข้ว่าช่วยเรื่องการทำงานของไตได้ค่า

แต่ที่มีพบว่า ส่งผลต่อการทำงานของไตอาจจะเป็นเพราะ

➡️ 1 ปริมาณที่ไม่เหมาะสม
ซึ่งปกติถังเช่าแคปซูลที่จดเป็นยาที่จีน หมอจีนที่รพ.จะเป็นคนจ่ายยา หาซื้อเองไม่ได้ค่ะ หมอจะต้องประเมินก่อนว่าเหมาะหรือไม่ และใช้ปริมาณเท่าไหร่ค่ะ ใช้ตามแผนกไต แผนกมะเร็ง
ถ้าไปหาซื้อเอง ทานไม่ถูกต้อง ทานมากไป อาจจะไม่ดีต่อไตค่ะ

➡️ 2 ถังเช่าแพงมากๆ ขึ้นตามเทือกเขาทิเบต เก็บยาก หายากเลยราคาสูง เลยมีคนขายถังเช่าแบบผงที่ชั่งน้ำหนักขาย แล้วผสมโลหะหนักเข้าไป เพื่อเพิ่มน้ำหนัก เพิ่มราคาค่ะ

แล้วก็ถ้าถังเช่าแบบตัวๆ การเก็บรักษาจะยากหน่อย มอดและแมลงเล็กๆขึ้นง่าย เลยมีคนเอา กำมะถันไปพ่น ไปเคลือบ ให้เก็บได้นาน มอดไม่ขึ้นค่ะ การทานถังเช่าที่มีสารปนเปื้อนต่อเนื่องระยะยาว สามารถส่งผลต่อร่างกาย ต่อการทำงานของไตได้ค่ะ

➡️ 3 อีกกรณีนึง เนื่องจากถังเช่าเป็นเห็ด
ซึ่งจะดูดซึมสารอาหาร แร่ธาตุในดิน ในน้ำได้
ซึ่งปัจจุบัน เทือกเขาบางแห่ง อาจมีการปนเปื้อนมลพิษเกิดขึ้นได้ จึงอาจพบโลหะหนัก สารอื่นๆ ในตัวถังเช่าได้บ้างค่ะ เพราะฉะนั้น แหล่งที่มา ก็มีความสำคัญมากๆค่ะ เพื่อให้แน่ใจว่าถังเช่าที่ทาน ปลอดสารปนเปื้อน ต้องเลือกที่น่าไวัวางใจค่า

ถ้าเป็น รพ.ที่จีน ที่หมอแนนเคยอยู่ ( Liaoning Affiliated Hospital of traditional Chinese Medicine ) ถังเช่าแคปซูลจะใช้มากในแผนกมะเร็ง และ แผนกไตค่ะ โดยยี่ห้อที่ รพ.เลือกใช้ จะเป็นถังเช่าเพาะเลี้ยงในห้องแลป ด้วยการเอาทั้งสปอร์เห็ด และหนอนมาเพาะ ทำให้ได้ถังเช่าแคปซูลในราคาที่ถูกกว่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมากๆ และปลอดสารปนเปื้อนค่ะ (ที่จีน คนไข้โรคเรื้อรัง สามารถมาที่แผนกของตัวเองทุกๆเดือนเพื่อจ่ายยา (ยาปัจจุบัน/ยาจีน) ได้ในงบที่รัฐบาลให้ แผนกมะเร็งคนไข้ก็จะมารับถังเช่าแคปซูลกันเยอะทีเดียวค่ะ **แต่ต้องให้หมอจ่ายยาค่ะ ** เพราะอาจจะไม่ได้เหมาะกับคนไข้ทุกคนค่ะ

➡️ 4 และที่สังเกต หลายๆยี่ห้อ อาจไม่ใช่ถังเช่า100% แต่มีการใส่วิตามิน สารอื่นๆ ลงไปด้วย โดยบางครั้งการทานเยอะไป การซื้อมาทานเอง หรือบางครั้งผู้บริโภคทานยาตัวอื่นอยู่ อาจจะกระทบได้ โดยเฉพาะคนไข้ที่มีปัญหาโรคไตอยู่แล้วค่ะ ปกติคนไข้ไตต้องยิ่งระวังตัวเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน แนะนำให้ปรึกษาหมอที่ดูแลเราอยู่ หมอจะรู้อาการของเรามากที่สุดค่ะ ว่าเราเป็นไตระยะไหน การทำงานของไตเป็นยังไง อะไรควรเลี่ยง อะไรควรทานค่ะ

⚠️ข้อควรระวัง⚠️

ถังเช่ามีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือดค่ะ
คนที่ทานยาละลายลิ่มเลือดไม่ควรทาน เพราะอาจเกิดอันตรายได้ และไม่ควรหยุดยาละลายลิ่มเลือดเองนะคะ

และมีฤทธิ์ลดความดัน ลดน้ำตาล
ถ้าคนไข้ซื้อทานเอง อาจความดันต่ำ น้ำตาลต่ำ หน้ามืด ใจสั่นวูบได้ค่า

แล้วก็ในคนไข้แพ้ภูมิตัวเอง ถังเช่าอาจจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันมากเกินไป บางรายอาจกระตุ้นทำให้อาการกำเริบได้ค่า

เป็นยังไงบ้างคะเรื่องถังเช่าที่หมอแนนนำมาฝากวันนี้ 😍 ทุกท่านพอจะเข้าใจเกี่ยวกับถังเช่ามากขึ้นมั้ยเอ่ย...ก่อนซื้ออะไรมาทาน อยากให้ศึกษาข้อมูลในสิ่งๆนั้นให้ดีที่สุดนะคะ เลือกซื้ออะไรมาทานทั้งที ต้องให้คุ้มค่า ดีต่อร่างกาย และเหมาะกับร่างกายของเรามากที่สุดค่า ไม่งั้นอาจจะส่งผลเสียตามมาได้ค่ะ ❤❤ ยาที่ดีที่สุด ไม่ใช่ยาที่แพงที่สุด แต่เป็นยาที่เหมาะกับร่างกายของเรามากที่สุดนะคะ 😘 ขอให้สุขภาพดีทุกบ้านเลยค่าา

ใครมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับถังเช่าที่เป็นประโยชน์ ที่อยากแชร์ สามารถแชร์ข้อมูลกันได้เลยนะคะ อยากให้คนไทยทุกคนสุขภาพดีค่ะ
พี่ๆน้องๆแพทย์แผนจีน แพทย์แผนไทย แพทย์แผนปัจจุบัน สามารถแชร์ความเห็น แชร์ข้อมูลกันได้นะคะ✌✌

หมอแนน 😘
(ดร.พจ. รัทธวรรณ วงศ์ปัทมเจริญ)

16/09/2020

ความหวังของคนเป็น มะเร็งเต้านม ตับอ่อน และท่อน้ำดี

ความหวังผู้ป่วย ! งานวิจัย ม.รังสิต ชี้ สารสกัดกัญชาฆ่ามะเร็งได้ เตรียมทดลองในมนุษย์ เผย ขออนุญาต สธ.แล้ว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เภสัชกรหญิงสุรางค์ ลีละวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยกัญชาเพื่อการแพทย์ วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยผลการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัด THC

โดยระบุว่า สารดังกล่าว ช่วยยับยั้งมะเร็งท่อน้ำดี ไม่ให้เซลล์มะเร็งลุกลาม ฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง และสัตว์ทดลอง

ขณะเดียวกันเมื่อทดลองสารสกัด CBD และ THC กับเซลล์มะเร็งปอด ก็พบว่า มีฤทธิ์ ช่วยลดการแพร่กระจาย ลดการลุกลาม ของมะเร็ง และยังทำให้ก้อนมะเร็งในหนูทดลอง มีขนาดเล็กลงด้วย

ภายหลังจากผ่านการทดลองใน 2 ระดับนี้ แล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการทดลองในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ต่อไป โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว

ขณะที่ ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยว่า จากที่ อภ.ได้กระจายผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ให้กับระบบบริการกัญชาทางการแพทย์ผ่านโครงการวิจัย และคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในสถานพยาบาลต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 ซึ่ง อภ.ได้มีการติดตามประสิทธิผลการใช้มาอย่างต่อเนื่อง

จากการศึกษาในกลุ่มโรคและภาวะที่ใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ได้ประโยชน์ โดยสถาบันประสาทวิทยา และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) ได้ติดตามประสิทธิผลการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา GPO CBD เด่น ในผู้ป่วยเด็กโรคลมชักรักษายาก และโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา (intractable epilepsy) 16 ราย

ผลการศึกษาพบว่าสามารถควบคุมอาการชักในผู้ป่วย 10 ราย คิดเป็นร้อยละ 62 และผลการประเมินของผู้ดูแลคิดว่าอาการชักดีขึ้น โดยมีคะแนนประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 คะแนนจากคะแนนเต็ม 7 คะแนน

นอกจากนั้น ภญ.นันทกาญจน์ กล่าวว่า สถาบันประสาทวิทยายังได้ติดตามประสิทธิผลการใช้ GPO THC:CBD (1:1) ในการรักษาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (multiple sclerosis) ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน จำนวน 7 ราย

จากการประเมินโดยแพทย์มีผู้ป่วยที่อาการดีขึ้น จำนวน 5 ราย ซึ่งสอดคล้องกับผลการประเมินโดยผู้ป่วยว่าอาการเกร็งและอาการปวดดีขึ้นหลังได้รับสารสกัดกัญชา โดยมีคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 คะแนน จากคะแนนเต็ม 7 คะแนน

“สำหรับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (palliative care) ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ดำเนินโครงการการวิจัยเพื่อติดตามความปลอดภัยและประสิทธิผลกัญชาทางการแพทย์ ในการเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย โดยมีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการ 14 ราย และได้รับผลิตภัณฑ์ GPO THC:CBD (1:1) เฉลี่ยอยู่ที่ 1-3 หยดต่อวัน ต่อเนื่อง 3 เดือน

พบว่าอาการปวดของผู้ป่วยดีขึ้น โดยมีระดับอาการ (pain score) ลดลงกว่าร้อยละ 50 จากตอนเริ่มต้น มีความอยากอาหารและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีอาการนอนหลับดีขึ้น”

ภญ.นันทกาญจน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการศึกษาในผู้ป่วยพาร์กินสัน ซึ่งจัดอยู่กลุ่มโรคและภาวะที่น่าจะได้ประโยชน์ รพ.สกลนคร ได้ดำเนินติดตามผลการรักษาและความปลอดภัยในผู้ป่วยพาร์กินสัน 16 ราย จากการประเมินความสามารถทางความคิด กิจวัตรประจำวัน และความสามารถในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยหลังจากได้รับผลิตภัณฑ์ GPO THC:CBD (1:1) เป็นเวลา 3 เดือน

พบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และส่วนใหญ่นอนหลับและคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยไม่พบผลกระทบต่อความจำของผู้ป่วย แม้ว่าผลการศึกษาเบื้องต้นจะมีแนวโน้มในทางที่ดี แต่ควรมีการศึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์สารสกัดกัญชาในผู้ป่วยพาร์กินสันในระยะยาวต่อไป

ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ อภ.กล่าวต่อไปว่า ในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นกลุ่มโรคและภาวะที่อาจจะได้ประโยชน์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ดำเนินการวิจัยประสิทธิผลของสารสกัดกัญชาต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองโดยใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ของ อภ.

พบว่า THC และ CBD มีผลต่อการยับยั้งเซลล์มะเร็งแตกต่างกัน และพบแนวโน้มว่าการใช้ THC ร่วมกับ CBD น่าจะให้ผลดีต่อการยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม ตับอ่อน และท่อน้ำดี ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะนำไปทดสอบในสัตว์ทดลองต่อไป

นอกจากนั้น ยังมีผลของคลินิกกัญชาทางแพทย์ กรมการแพทย์ ที่ให้บริการสำหรับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย โดยมีการใช้ GPO THC ขนาด 0.5-5 mg ต่อวัน ควบคู่ไปกับการใช้ยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่เดิมร่วมด้วย จากการประเมินในผู้ป่วย 42 ราย ที่มีการติดตามครบระยะเวลา 1 เดือน พบว่าอาการปวด เบื่ออาหาร และนอนไม่หลับดีขึ้น

แสดงให้เห็นว่า การใช้ THC ในขนาดต่ำๆ มีความปลอดภัยและสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้ และจากการติดตามผลการใช้กับผู้ป่วยที่มาใช้บริการของคลินิกกัญชาทางแพทย์ ของสถานพยาบาลต่างๆ

ได้แก่ สถาบันบำราศนราดูร รพ.ศรีนครินทร์ รพ.หาดใหญ่ รพ.สกลนคร รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก และ ออริจีน สหคลินิก พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีการตอบสนองต่อการรักษาที่ดี ไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรง โดยอาการข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่ ปากแห้ง คอแห้ง สับสน มึนงง ปวดศีรษะ ใจสั่น และคลื่นไส้อาเจียน

Photos from Cannhub thailand's post 01/09/2020

ส่วนรากที่ไม่มีฤทธิ์มึนเมา แต่มีสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์หลายชนิด

Photos from พงษ์ศักดิ์ สง่าศรี's post 09/06/2020

แผลเบาหวานอย่าปล่อยให้เรื้อรัง เพียงทำให้เส้นเลือดหมุนเวียนเข้าสู่แผลได้ แผลเบาหวานก็จะแห้งในเวลาอันสั้น

05/06/2020

ม.มหิดล ออกข่าว
กระชายขาวสกัดฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้ 100%
https://www.facebook.com/435245623199032/posts/3117998364923731/?sfnsn=mo&d=n&vh=e

รู้เท่าทันโควิด เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย( Covid -19) #ipst. #Coronavirus2019 20/05/2020

เข้าใจโควิดง่ายๆเพื่อรู้วิธีป้องกันตัวครับ

รู้เท่าทันโควิด เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย( Covid -19) #ipst. #Coronavirus2019 เราต่างทราบกันดีว่าโรค Covid-19 กำลังเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพของคนทั่วโลก แต่ทราบหรือไม่ว่า เมื่อเชื้อไวรัสที...

Photos from พงษ์ศักดิ์ สง่าศรี's post 30/04/2020

สารCapsaicin ในพริก ช่วยเผาผลาญไขมัน เพิ่มการหลั่งinsulin ช่วยลดน้ำตาล แล้วยังลดโอกาสเส้นเลือดอุดตันด้วย

Photos from archeep.com's post 01/04/2020

ช่วยกันใช้ ช่วยกันแชร์ ของเราเองครับ
credit free icon จาก https://www.iconfinder.com/p/coronavirus-awareness-icons ครับ

29/03/2020

วิธีตรวจสอบเจลแอลกอฮอล์ครับ ป้องกันอันตรายจากพวกมั่ว

"วิธีทดสอบเจลแอลกอฮอล์ ว่าทำจากแอลกอฮอล์ชนิดใด"

อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า วิธีที่แชร์กันในการทดสอบแอลกอฮอล์น้ำหรือเตลแอลกอฮอล์ ว่าเป็นของจริงของปลอม โดยการไปจุดไฟติดหรือไม่ หรือไปทาสลิปใบเสร็จ หรือเขย่าดูฟอง นั้นเป็นวิธีที่ไม่ใช่การทดสอบมาตรฐานอะไร เพราะมีปัจจัยแปรปรวนสูง (เจลแอลกอฮอล์ของจริง อาจจะจุดไฟไม่ติด ทาใบเสร็จหมึกไม่ละลาย ก็ได้)

ที่พอจะทดสอบได้ก็คือ แอลกอฮอล์น้ำ (แบบไม่ได้ใส่สารอื่นเติมเพิ่มลงไป) ซึ่งสามารถแยกระหว่างเอทิลแอลกอฮอล์ (ไม่อันตราย) และเมทิลแอลกอฮอล์ (อันตราย) ได้ด้วยการดมกลิ่นว่าแรงมั้ย จุดไฟดูว่าเปลวไฟสีเหลืองมั้ย หาจุดเดือดสูงมั้ย และ ทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีนและโซดาไฟได้ตะกอนสีเหลืองมั้ย เป็นต้น

ล่าสุด ทางภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้ให้วิธีการทดสอบอีกแบบนึง ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งแอลกอฮอล์น้ำและเจลแอลกอฮอล์ด้วย ดังรูปด้านล่างนี่ (สามารถสแกน QR code ในรูปเพื่อดูวีดีโอประกอบได้)

1. เอาน้ำส้มสายชู 1 ช้อนชาผสมกับด่างทับทิม 1 เกล็ด ผสมให้เข้ากันด้วยไม้จิ้มฟัน จนได้เป็นสารละลายสีม่วง

2. ใช้ช้อนทานข้าว 2 คัน คันนึงใส่น้ำเปล่าครึ่งช้อน อีกคันหนึ่งใส่แอลกอฮอล์ครึ่งช้อน (แอลกอฮอล์น้ำหรือเจลก็ได้)

3. ใส่สารละลายสีม่วงตามข้อ 1. ปริมาตร 1/3 ช้อนชา ลงในช้อนในข้อ 2. ใช้ไม้จิ้มฟันคนให้เข้ากัน

4. ใช้ช้อนคันแรกที่เป็นน้ำเปล่า เป็นชุดควบคุม ไว้เปรียบเทียบสีม่วงกับช้อนคันอื่น

5. ถ้าเวลาผ่านไป 15 นาที ช้อนคันที่ 2 สีม่วงแดงเริ่มหายไป แสดงว่าน่าจะเป็นไปเอทิลแอลกอฮอล์ ... แล้วจะเป็นเอทิลแอลกอฮอล์จริง สีม่วงแดงน่าจะหายไปหมดเมื่อครบ 20 นาที

6. กลับกัน ถ้า 15 นาทีผ่านไปแล้ว แต่สีม่วงแดงในข้อนคันที่ 2 ไม่หายไป แสดงว่าน่าจะเป็นเมทิลแอลกอฮอล์ .. ถึงทิ้งไว้นานกว่านั้น สีม่วงแดงก็จะไม่หายไปสักที

7. พิเศษว่า ถ้าสีม่วงแดงในช้อนคันที่ 2 หายไปเมื่อเวลานานกว่า 20 นาที เช่น ที่ 28 นาที เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นแอลกอฮอล์อีกตัวนึงคือ ไอโซโพรพอลแอลกอฮอล์ ซึ่งนำมาใช้ฆ่าเชื้อได้ไม่อันตราย)

จะสังเกตว่าเรามีแต่วิธีเช็คเรื่องชนิดของแอลกอฮอล์ แต่ไม่มีวิธีเช็คให้ชัดเจนว่าปริมาณของแอลกอฮอล์มีกี่เปอร์เซ็นต์ นะครับ

ปล. จริงๆ เท่าที่ดูผลจากคนที่ลองทำตามแล้ว ก็เห็นว่ามีผลที่แปรปรวนเหมือนกัน ฉะนั้น ต้องใช่หลายเทคนิคถึงจะมั่นใจนะครับ

เครดิต : รองศาสตราจารย์ ดร. บัญชา พูลโภคา ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ https://www.facebook.com/1532552480352374/posts/2694376434169967/

06/03/2020

ขมิ้นควรกินกับพริกไทยดำซึ่งจะช่วยให้การดูดซึมเข้าร่างกายดีขึ้นด้วยเพราะโดยธรรมชาติสาร Curcumin ไม่ละลายน้ำ

ผมค่อนข้างได้รับคำถามบ่อยมากเกี่ยวกับสมุนไพรกับการรักษาโรคติดเชื้อ HIV

ซึ่งหนึ่งในสมุนไพรที่คนไทยกินก็คือ ขมิ้น

และมักจะถูกห้ามไม่ให้ใช้จากคนบางกลุ่ม เพราะกลัวว่ายาเคมีที่ใช้จะตีกันกับขมิ้น

ผมก็มักจะส่งข้อมูลเหล่านี้ ให้คนไข้ ไปคุยกับผู้ทำการรักษา แล้วตัดสินใจร่วมกันเอง

แต่โดยส่วนตัวผมเองแล้ว แทบไม่มีสมุนไพรตัวไหนเป็นข้อห้ามใช้ร่วมกับยาเคมีเลย ไม่ว่าในโรคเรื้อรังใดๆที่ไม่ใช่ในสถานการณ์วิกฤติของคนไข้ เพียงแต่จะใช้อย่างไร จังหวะไหน และนานแค่ไหน เท่านั้นเอง

ข้อมูลบางส่วน ในการศึกษา Curcumin and its analogues: a potential natural compound against HIV infection and AIDS ในวารสาร Food and Function ปี คศ.2015 พบว่า สารเคอ์คิวมินสามารถจัดการเชื้อเอชไอวีได้และเสริมฤทธิ์ในการรักษาของยา ตามรูปภาพประกอบ

ที่เขียนไม่ได้หมายความว่า ให้นำขมิ้นไปรักษาการติดเชื้อนี้นะครับ เพียงแต่ให้รู้ว่า มันมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อนี้ได้ ส่วนคนที่จะใช้ ต้องเข้าใจจริงๆ ส่วนตัวผมก็มีโอกาสแนะนำแบบซีเรียสให้คนที่ทักมาบ้าง

คำว่า แนะนำแบบซีเรียส หมายถึง แบบเอาจริงๆจังๆนะครับ ไม่ใช้ประเภททักมาแบบว่า ขมิ้นฆ่าเชื้อเอชไอวีได้ งั้นผมใช้นะครับ แล้วก็ไปใช้แบบงูๆปลาๆ ซึ่งมีเยอะมาก ซึ่งการใช้แบบนี้ละ ที่ทำให้สรรพคุณสมุนไพรต่างๆถูกทำลายคุณค่าและความน่าเชื่อถือ

ส่วนเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงแม้จะไม่มีการศึกษาตรงในการใช้ขมิ้น แต่ถ้าว่าด้วยตระกูลของไวรัส และ รายงานผลของสารเคอร์คิวมิน ที่จัดการเชื้อโรค ก็ไม่เสียหายที่เลือกรับประทานในรูปแบบอาหาร หรือ สำเร็จรูป อย่างถูกต้องเหมาะสม

อย่ากลัวการใช้สมุนไพร และอย่าไปฟังพวกประเภทที่อ้างว่า สมุนไพรไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เพราะขนาดยาเคมีที่พวกมันพากันว่าน่าเชื่อถือ รักษาโรคเรื้อรังเบาหวาน ความดัน ไขมัน หายสนิทซักโรคไหม มีแต่ตายไปก่อนยาจะหมดซะอีก

สุขภาพจึงเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจ และเลือกใช้การรักษาที่หลากหลายร่วมกันอย่างเข้าใจเท่านั้น จึงจะรอด

More Science Less Marketing

ภก.พงษ์ศักดิ์ สง่าศรี

Photos from พงษ์ศักดิ์ สง่าศรี's post 29/02/2020

ขมิ้นปลอดภัยกว่า Paracetamol จ้า

Photos from SME Thailand Online's post 20/02/2020

เคยสงสัยมั๊ย ขนมปังเมืองไทยเก็บได้เป็นอาทิตย์

Photos from พงษ์ศักดิ์ สง่าศรี's post 18/02/2020

ทำอย่างมีความรู้

เจลล้างมือสูตรฆ่าเชื้อโรค (สูตร 2) 10/02/2020

เจลล้างมือหาซื้อยาก มาทำใช้เองกันดีกว่า...

เจลล้างมือสูตรฆ่าเชื้อโรค (สูตร 2) อาชีพอิสระ ความรู้ต่างๆที่สามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ การสร้างงานด้วยตนเองเหมาะกับทุกวัยไม่ว่ารุ่นใ....

06/02/2020

ขมิ้นชันกับอาการแฮงค์

สาเหตุของการ เมาค้าง หรือ Hang Over เกิดจากการที่มีสาร Acetaldehyde ที่ร่างกายเกิดขึ้นหลังจากดื่มเหล้าหรือเบียร์เข้าไป ซึ่งปกติตับจะคอยเคลียร์ Acetaldehyde สารนี้ให้หมดไปจากร่างกาย

การที่ตับเคลียร์ไม่หมด หรือ หมดได้ช้า ทำให้เกิดอาการแสดงออกมา ดังที่เรารู้จัก คือ การเมาค้า หรือ แฮงค์

และจากการศึกษาพบว่า ขมิ้นชันมีความสามารถช่วยตับให้กำจัดสาร Acetaldehyde ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ว่าแล้ว 2 หนุ่มชาวสิงคโปร์ ที่มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น สังเกตเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการเมาค้าง มีสารสกัดจากขมิ้นชันเป็นส่วนประกอบ

พอกลับจากสิงคโปร์ 2 หนุ่มก็ลงมือทำโปรเจคสินค้า เครื่องดื่มแก้เมาค้าง ระดมทุน และวางแผนจำหน่ายทั่วสิงคโปร์และเอเชีย สินค้าเริ่มจำหน่ายเมื่อพฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา

เปิดตัวและทำการตลาดผ่านงาน Party ต่างๆ จนได้รับการตอบรับอย่างดี (หนึ่งในนั้น คือ Party ที่ภูเก็ต ประเทศไทยด้วย)

ประเทศไทยขึ้นชื่อว่า คอเหล้า อันดับต้นๆของโลก แต่ไม่ค่อยมีสินค้ากลุ่มนี้เท่าไร เพราะนักดื่มคิดว่าแค่เมา เดี่ยวก็สร่าง

แต่จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า สาร Acetaldehyde เป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงกว่าแอลกอฮอร์ถึง 30 เท่า

ฉะนั้น การใช้สินค้ากลุ่มนี้ ไม่ใช่แค่ การทำให้หายเมา หรือ แก้แฮง แต่มันคือ การลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง เพราะไหนๆ ก็คงไม่เลิกดื่มกันอยู่แล้ว

ปล. สาร CBD จากกัญชง หรือ กัญชา เสริมฤทธิ์นี้ให้กับขมิ้น

More Science Less Marketing

ภก.พงษ์ศักดิ์ สง่าศรี

26/05/2019

"บัวบก รักษาแผลไฟไหม้"

ฤทธิ์รักษาแผลไฟไหม้ของบัวบก
การทดสอบให้ผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้แบบตื้น (partial-thickness burn) 75 คน แบ่งให้ทาขี้ผึ้งที่เตรียมจากสารสกัดจากใบบัวบก (Centella asiatica L.) หรือยาซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน (silver sulfadiazine) ทาบริเวณแผลวันละ 1 ครั้ง พบว่าขี้ผึ้งจากใบบัวบกให้ผลการรักษาแผลไฟไหม้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน เมื่อประเมินจากความยืดหยุ่นของแผล การสร้างหลอดเลือดฝอย เม็ดสีบริเวณผิว และการประเมินด้วยสายตา นอกจากนี้อัตราการสร้างเยื่อบุผิวบริเวณแผล (re-epithelialization) ของครีมบัวบกเกิดขึ้นเร็วกว่ากลุ่มของยาซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีนอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงทำให้แผลหายเร็วกว่า โดยค่าเฉลี่ยของวันที่แผลหายสำหรับขี้ผึ้งบัวบก คือ 14.67±1.78 วัน ในขณะที่ยาซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน สามารถทำให้แผลหายสนิทในวันที่ 21.53±1.65 การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าขี้ผึ้งใบบัวบกสามารถกระตุ้นการสร้างเยื่อบุผิว และรักษาแผลไฟไหม้ได้เหนือกว่าการใช้ยาซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน

ที่มา : Medicine 2017;96:e6168
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

19/05/2019

"วิตามินซีเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในอาหาร"

ผลของชาและวิตามินซี (Ascorbic acid) ต่อการดูดซึมธาตุเหล็ก
การศึกษาทางคลินิกแบบ crossover ในหญิงชาวอินเดียจำนวน 40 คน อายุระหว่าง 18 - 35 ปี แบ่งเป็น 2 การทดลอง โดยแต่ละการทดลองมี 20 คน ซึ่งเป็นคนที่มีอาการของโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก (iron deficiency anemia) 10 คน และหญิงปกติ 10 คน

การทดลองที่ 1 (Tea study) วันที่ 1 อาสาสมัครจะได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็ก (57FeSO4) + น้ำเปล่า 300 มล. วันที่ 2 ได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็ก (58FeSO4) + น้ำเปล่า 150 มล. + น้ำชา 150 มล. วันที่ 15 ได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็ก (57FeSO4) + น้ำเปล่า 300 มล. วันที่ 16 ได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็ก (58FeSO4) + น้ำชา 300 มล. (ในน้ำชา 150 มล. มีสาร polyphenols 78 มก.)

การทดลองที่ 2 (Ascorbic acid study) วันที่ 1 อาสาสมัครจะได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็ก (57FeSO4) + น้ำเปล่า 300 มล. วันที่ 2 ได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็ก (58FeSO4) + น้ำเปล่า 150 มล. + น้ำเปล่า 150 มล. + วิตามินซี (2:1 molar ratio) วันที่ 15 ได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็ก (57FeSO4) + น้ำเปล่า 300 มล. วันที่ 16 ได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็ก (58FeSO4) + น้ำเปล่า 150 มล. + น้ำเปล่า 150 มล. + วิตามินซี (4:1 molar ratio)

จากผลการทดลองที่ 1 พบว่าการดื่มชา 1 หรือ 2 ถ้วย (150 มล. หรือ 300 มล.) มีผลลดการดูดซึมธาตุเหล็กในกลุ่มปกติ 49% และ 66% ตามลำดับ และมีผลลดการดูดซึมธาตุเหล็กในกลุ่มคนที่มีอาการของโลหิตจาง 59% และ 67% ตามลำดับ

จากผลการทดลองที่ 2 พบว่าการได้รับวิตามินซี 2:1 หรือ 4:1 molar ratio มีผลเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในกลุ่มปกติ 270% และ 343% ตามลำดับ และมีผลเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในกลุ่มคนที่มีอาการของโลหิตจาง 291% และ 350% ตามลำดับ

ซึ่งทำให้สามารถสรุปได้ว่า การดื่มชาทำให้ความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็กในอาหารลดลง ในขณะที่การได้รับวิตามินซีสามารถเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในอาหารได้ ซึ่งผลดังกล่าว เกิดขึ้นทั้งในคนปกติและในคนที่มีอาการของโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก

ที่มา : Am J Clin Nutr 2008; 87: 881-6
www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18400710
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

12/05/2019

"หน่อไม้ ลดไขมันและช่วยลำไส้ทำงานดีขึ้น"

การรับประทานหน่อไม้ช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดและการทำงานของลำไส้
การศึกษาในอาสาสมัครหญิงสุขภาพดี 8 คน อายุ 21-23 ปี ให้รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์แตกต่างกัน ช่วงแรกให้รับประทานอาหารปราศจากไฟเบอร์ ช่วงที่สองรับประทานที่มี cellulose 25 ก. และช่วงที่ 3 ให้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของหน่อไม้ 360 ก. (มีปริมาณไฟเบอร์เท่าการรับประทาน cellulose 25 ก.) โดยรับประทานช่วงละ 6 วัน เมื่อจบการทดลองพบว่าการรับประทานหน่อไม้ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลรวม LDL (Low density lipoprotein) คอเลสเตอรอล และ atherogenic index (ดัชนีการเกิดหลอดเลือดตีบตัน) ลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และไม่พบความแตกต่างของปริมาณน้ำตาลในเลือดจากการรับประทานอาหารทั้ง 3 ช่วง นอกจากนี้ยังพบว่าช่วงที่รับประทานหน่อไม้อาสาสมัครมีปริมาณอุจจาระและการทำงานของลำไส้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการรับประทานหน่อไม้มีส่วนช่วยปรับปรุงปริมาณไขมันในเลือดและการทำงานของลำไส้ในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น

ที่มา : Nutrition 2009; 25:723-8
www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19285833
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

05/05/2019

"กล้วยดิบ บรรเทาอาการท้องผูก"

ฤทธิ์บรรเทาอาการท้องผูกของอาหารข้นจากกล้วยดิบ
การศึกษาฤทธิ์บรรเทาอาการท้องผูกของกล้วยดิบ (green dwarf banana, Musa spp. AAA.) ในเด็กที่มีปัญหาท้องผูก จำนวน 80 คน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 ได้รับอาหารข้นจากกล้วยดิบ (green banana biomass)* ขนาด 30 ก./วัน กลุ่มที่ 2 ได้รับอาหารข้นจากกล้วยดิบร่วมกับ Polyethylene glycol 3350 (PEG3350) กลุ่มที่ 3 ได้รับอาหารข้นจากกล้วยดิบ ร่วมกับยารักษาอาการท้องผูก sodium picosulfate กลุ่มที่ 4 ได้รับ PEG3350 เพียงอย่างเดียว และกลุ่มที่ 5 ได้รับยา sodium picosulfate เพียงอย่างเดียว โดยให้รับประทานเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่ได้รับอาหารข้นจากกล้วยดิบเพียงอย่างเดียว มีลักษณะอุจจาระดีขึ้นเมื่อประเมินด้วย Bristol Stool Form Scale ลดการเบ่ง อาการปวดท้องและความเจ็บปวดขณะถ่ายอุจจาระ แต่ไม่เพิ่มจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระของผู้ป่วยให้มากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และไม่ลดการมีเลือดปนในอุจจาระ นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มที่ได้รับอาหารข้นจากกล้วยดิบร่วมกับยาระบาย sodium picosulfate และอาหารข้นจากกล้วยดิบร่วมกับ PEG 3350 สามารถลดการใช้ยาระบายลง 87% และ 63% ตามลำดับ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าอาหารข้นจากกล้วยดิบสามารถบรรเทาอาการท้องผูก และเมื่อใช้ร่วมกับยาระบายจะช่วยปรับลดขนาดยาของยาระบายได้

*เตรียมโดยนำกล้วยดิบไม่ปอกเปลือกล้างให้สะอาด นำไปต้มในหม้อต้มอัดความดันเป็นเวลา 20 นาที จากนั้นนำเนื้อ 200 ก. ปั่นรวมกับน้ำ 50 มล. ให้เป็นเนื้อเดียวกัน

ที่มา : J Pediatr 2018:S0021(17):30638-1.
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

21/04/2019

"หอมใหญ่ ลดอัตราเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน"

ฤทธิ์ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุนของหอมใหญ่
การศึกษาผลของน้ำคั้นหอมใหญ่ (Allium cepa Linn.; yellow onion) ต่อการปรับปรุงมวลกระดูกโดยกลไกการต้านอนุมูลอิสระในมนุษย์ และฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของออสทิโอคลาสต์ (osteoclast) ในเซลล์ โดยศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครวัยกลางคนทั้งเพศหญิงและชายอายุ 40-80 ปี จำนวน 24 คน โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ได้รับน้ำคั้นหอมใหญ่ ปริมาณ 100 มล./วัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ผลการทดสอบพบว่ากลุ่มที่ได้รับน้ำคั้นหอมใหญ่มีผลลดระดับเอนไซม์ alkaline phosphatase (ALP) ซึ่งเป็นดัชนีการสร้างมวลกระดูก (bone formation markers) และบ่งชี้ถึงความผิดปกติของกระดูก และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยลดการเกิด superoxide anions เพิ่มปริมาณและการทำงานของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระของ glutathione (GSH), glutathione peroxidase (Gpx) และ glutathione reductase (GR) นอกจากนี้ยังพบว่าอาสาสมัครเพศหญิงวัยหมดประจำเดือน 3 คน มีค่าความหนาแน่นมวลกระดูก (bone mineral density; BMD) ดีขึ้นเล็กน้อย และจากการทดสอบในหลอดทดลองพบว่าน้ำคั้นหอมใหญ่มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ RAW 264.7 ซึ่งเป็นเซลล์ตั้งต้นของเซลล์สลายกระดูกออสทิโอคลาสต์ (osteoclast progenitor) จากการทดสอบจึงสรุปได้ว่าน้ำคั้นหอมใหญ่มีฤทธิ์ในการปรับปรุงมวลกระดูกโดยกลไกการต้านอนุมูลอิสระ อาจมีผลช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้

ที่มา : Food Funct 2016;7:902-12
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

14/04/2019

"โพลีฟีนอลในเครื่องดื่มช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก"

การทดลองในอาสาสมัครสุขภาพปากและฟันดีจำนวน 6 คน โดยกระตุ้นการสร้างคราบจุลินทรีย์ในปากอาสาสมัครนาน 1 นาที แล้วกลั้วปากด้วยเครื่องดื่มที่มีสารโพลีฟีนอล ได้แก่ ชาดำ ชาเขียว น้ำองุ่น ชาCistus และไวน์แดง จำนวน 200 มิลลิลิตร โดยแบ่งกลั้วทีละน้อยจนครบ 10 นาที จากนั้นทำการวัดปริมาณแบคทีเรียในปากเมื่อเวลา 19 และ 109 นาทีหลังจากกลั้วปากด้วยเครื่องดื่ม โดยมีแบคทีเรียในปากที่ไม่มีการกลั้วปากในนาทีที่ 30 และ 120 เป็นชุดควบคุม ผลการทดลองพบว่าการกลั้วปากด้วยเครื่องดื่มที่มีสารโพลีฟีนอลสามารถลดการก่อตัวของแบคทีเรียในช่องปากได้ โดยไวน์แดง ชาCistus และชาดำสามารถลดการยึดเกาะของแบคทีเรียได้สูงถึง 66% เมื่อวัดด้วยวิธี DAPI (4',6-diamidino-2-phenylindole) และจากการทดสอบด้วย FISH (Fluoresence in situ hybridization) พบว่าเครื่องดื่มทั้ง 5 ชนิดสามารถลดการเกาะตัวของแบคทีเรีย Eubacteria และ Straptococci ในปากอย่างมีนัยสำคัญ จึงกล่าวได้ว่าการบริโภคเครื่องดื่มที่มีสารโพลีฟีนอลช่วยป้องกันการเกิดคราบจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุของเกิดโรคในช่องปากได้

ที่มา : J Dent 2009; 37:560-6
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

07/04/2019

"ชาเขียว กระตุ้นการงอกของเส้นผม"

ฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผมของสาร epigallocatechin-3-gallate (EGCG) จากชาเขียว
ศึกษาฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผมของสาร EGCG จากชาเขียว โดยทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง hair follicles และเซลล์ dermal papillas พบว่า EGCG ความเข้มข้น 0.1 และ1 μM มีผลเหนี่ยวนำให้เกิดการยืดของ hair follicles ได้ 123% และ 121.6% ตามลำดับ และที่ความเข้มข้น 5 μM จะเพิ่มการงอกของเส้นผมได้ 181.2% EGCG ที่ความเข้มข้น 0.1-0.5 μM มีผลเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ dermal papillas โดยจะเพิ่มขบวนการ phosphorylation ของ Erk และ Akt ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของเซลล์ นอกจากนี้ยังเพิ่มปริมาณ Bcl-2 ซึ่งมีผลต้านการตายของเซลล์ และลดปริมาณของ Bax (ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์) ได้ สำหรับการทดสอบในอาสาสมัคร จำนวน 3 คน โดยการทา 10% EGCG ในเอทานอลลงบนหนังศีรษะทุกวัน ติดต่อกันนาน 4 วัน พบว่ามีผลเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ dermal papillas เช่นเดียวกับในเซลล์เพาะเลี้ยง สรุปได้ว่า EGCG จากชาเขียวกระตุ้นการงอกของเส้นผมโดยการเพิ่มการแบ่งตัวและต้านการตายของเซลล์ dermal papillas

ที่มา : Phytomedicine 2007;14:551-5
www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/17092697
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

31/03/2019

"สารสกัดเมล็ดมะปราง ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้"

ฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งปอดชนิดที่ไวและดื้อต่อยาของสารสกัดเมล็ดมะปราง
สารสกัดเมล็ดมะปรางที่สกัดด้วย คลอโรฟอร์ม อะซิโตไนไตร เอทานอล และน้ำ เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งปอดที่ไวและดื้อต่อยาดอกโซรูบิซิน พบว่าสารสกัดเมล็ดมะปรางทั้ง 4 ส่วนสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง K562, K562/ adr, GLC4 และ GLC4/adr ได้ โดยสารสกัดเมล็ดมะปรางที่สกัดด้วยเอทานอลออกฤทธิ์ดีที่สุด และมีค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งการเจริญของเซลล์ 50% (IC50) ต่อเชื้อ K562, K562/ adr, GLC4 และ GLC4/adr เท่ากับ 8.9 ± 2.6, 5.8 ± 2.2, 10.9 ± 2.2 และ 6.9 ± 1.0 มคก./มล. ตามลำดับ โดยฤทธิ์ดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการชักนำการตายของเซลล์แบบอะพอพโตซิส ดังนั้นผลการศึกษานี้น่าจะสามารถนำไปใช้ในการพัฒนายารักษาโรคมะเร็งจากสารสกัดเมล็ดมะปรางต่อไป

ที่มา : Srinagarind Med J 2013;28(1):100-9.
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล