เที่ยวเมืองจีน

เที่ยวเมืองจีน

ให้ความรู้ในการเดินทางทั่วประเทศจ? สำหรับคนที่ชอบเมืองจีน เดินทางและเรียนรู้สถานที่และวัฒนธรรม

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 18/08/2021

เมือง Chengdu มณฑล Sichuan(การประชุมการท่องเที่ยวภาคพื้นแปซิฟิค)
PATA หรือสมาคมการท่องเที่ยวภาคพื้นแปซิฟิค ได้ร่วมกับการท่องเที่ยวมณฑลเสฉวน ในการจัดงานการท่องเที่ยวระดับภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค มีผู้ร่วมเดินทางมางานนี้ถึง 50ประเทศ และสมาชิกกว่า 600คน งานนี้สมาคมได้จัดทุกปีโดยหมุนเวียนการเป็นเจ้าภาพภายในประเทศสมาชิก จบจากงาน PATA มณฑลเสฉวนก็ขอเป็นเจ้าภาพจัดงานท่องเที่ยวจีนมณฑลต่อ งานนี้เลยได้มา2งานทีเดียว
การจัดงานประกอบด้วยการพบผู้ประกอบการท่องเที่ยวจีน และประเทศสมาชืก ได้มีการทำ Business Matching, การพบปะของกรรมการและสมาชิก, การเลี้ยงรับรอง, การทัศนศึกษาสถานที่สำคัญในเมืองเสฉวน (เมืองเอกของพระเจ้าเล่าปี่ในสามก๊ก)และเมืองโบราณหลานจง (เมืงสำคัญที่ขงเบ้งให้เตียวหุยไปดูแลด่านเจี่ยนเหมิน) มีการจัดงาน Light and Sound วันวิจิตรตระการตา ย้อนยุคสมัยโบราณและล่องเรือในแม่น้ำ และอุทยานไม้สน Cypress ที่มีอายุมากกว่า 800ปี งานนี้มีสร้างความประทับใจแก่ผู้เข้าร่วมเดินทางอย่างยิ่ง

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 17/08/2021

เมือง Beijing มณฑล Hebei ( Youth Invitation Program)
โครงการ Root seeking Summer Camp เป็นโครงการ International Youth Invitation ที่รัฐบาลจีนเชิญเยาวชนที่มีเชื้อสายจีนทั่วโลกเดินทางมารู้จักรากเหง้าที่มาของบรรพบุรุษชาวจีนโพ้นทะเล ที่กระจัดกระจายไปทุกมุมโลก โครงการนี้มีเยาวชนที่มีเชื้อสายจีนเกือบทุกประเทศในโลก ที่พูดภาษาอังกฤษ,เยอรมัน,สเปน, ฝรั่งเศส,อเมริกัน, อาเซี่ยน มาเป็นแขกของประเทศจีนประมาณ 1 อาทิตย์โดยผ่านสมาคมชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศนั้นๆ ให้เดินทางมาประชุมกับหน่วยงานการศึกษาและเดินทางท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆโดยรัฐบาลจีนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ผมได้เป็นผู้นำพาเยาชนไทยส่วนหนึ่งเดินทางมาที่เมือง Nanning มณฑล Guangxi เพื่อประชุมเรื่องวัฒนธรรมไทย-จีน หลังจากนั้นก็เดินทางไป Beijing เพื่อเยี่ยมชมสถานที่สำคัญได้แก่ พระราชวังกู้กง, พระราชวังฤดูร้อนอี้เหอหยวน, กำแพงเมืองจีน,สุสานราชวงศ์หมิง ,และหอฟ้าเทียนฐาน โดยได้ร่วมประชุมที่ศาลาประชาคมแห่งนครปักกิ่ง

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 17/08/2021

เมืองFoshan มณฑล Guangzhou (Industrial Material Sourcing Project)
บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง จ้างผมให้เดินทางไปหาวัตถุดิบจีนเพื่อนำมาทดแทนวัตถุดินที่นำเข้าจากยุโรป ในขณะนั้นเงินไทยอ่อนมาก เงินยูโรแข็งเป็นพิเศษคือ 1 ยูโร =50 บาท ผมต้องเดินทางไปหาเพือนชาวจีน ตลอดจนมีผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ในโรงงานนี้สนับสนุน ผมต้องเดินทางในปีนั้น 7 ครั้งหลายมณฑล และก็ได้วัตถุดิบที่ต้องการมาหลายชนิด หน้าที่ผมคือหา Supplier แล้วส่ง sample มาทำการ Testing ในเมืองไทย ถ้าผ่าน ฝ่ายจัดซื้อก็จะต่อรองราตาแล้วสั่งเข้าประเทศไทย ภาษาจีนที่ผมเรียนรู้มาทำให้ผมเดินทางได้คนเดียวในการทำงานนี้ และในปีนั้นเราลดค่าใช้จ่ายได้หลายล้านทีเดียว จำไว้อย่างหนึ่งว่า การซื้อของในงานที่คนไทยรู้จักคือ งานกวางเจาแฟร์นั้น ท่านจะไม่ได้ราคาดี เพราะคนที่มาขายเป็นนายหน้า ถ้าซื้อน้อยก็จะสะดวก แต่ถ้าระดับโรงงานซื้อท่านต้องไปเจอเจ้าของ supplier ที่โรงงานเพราะซื้อครั้งละหลายล้านบาท ขณะเดียวกันก่อนส่งสินค้า เราต้องส่งคนไปทำการตรวจสอบในห้องแล็ปเขาก่อน จำเป็นมาก เพราะผมเคย Reject ของทั้ง Lot เนื่องจากคุณภาพต่ำกว่าที่กำหนด และต้องจำคำหนึ่งว่า "จีนไม่โง่นะ" เขาสืบรู้ทุกอย่าง ถ้าคุณเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเขา รูปที่ลงเป็นสถานที่ต่างๆที่ผมเคยไปติดต่อกับจีน

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 17/08/2021

เมือง Wuhan มณฑล Hubei ( Chinese Financial System 1980-1994)
เงินจีนในยุคปีคศ. 1980-1994 หรือ พศ.2523 -2537 จะมี 2สกุลคือเงิน RMB หรือสกุลที่ชาวจีนทั้งประเทศใช้ กับสกุล FEC ที่ให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือเข้ามาท่องเที่ยวใช้ Renminbi แปลว่าเงินประชาชนจีน (1หยวนมีค่า 4 บาท)ส่วน Foreign Exchange certificate แปลว่าเงินของชาวต่างชาติ (1หยวนมีค่า 7 บาท) เป็นระบบการควบคุมเงินตราในประเทศ อ.วันรักษ์ ที่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เคยกล่าวว่าจีนฉลาดที่ต่างชาติทุกรายที่มาลงทุนในจีนจะต้องแลกเปลี่ยนเงิน USD เป็น FEC และจีนก็ทำสำเร็จ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจีนใช้นโบาย 1 ประเทศ2ระบบกับฮ่องกงนั้นจะมีปัญหา สำหรับผมในฐานะผู้รับทุนจากรัฐบาลจีน ได้รับบัตรที่เรียกว่า Bai Zheng เมื่อแสดงก็จะมีสิทธิ์ใช้เงิน RMB ส่วนนักศึกษายุโรปมักให้ผมแลกให้เป็นประจำ ระบบ FECยกเลิกในปี 2537 ( ธนบัตรเหล่านี้กลายเป็นของสะสม มีราคาแพงขึ้นมาก)
ในสมัยปี 1988 ที่ผมอยู่ประเทศจีน สินค้านำเข้าต่างประเทศทุกชนิดจะต้องไปซื้อที่ร้านมิตรภาพ เรียกว่า YouYi Shangdian. ส่วนสินค้าจีนซื้อได้ทั่วไป ระบบการแลกเงินกับธนาคารในสมัยนั้นค่อนข้างจะไม่สะดวก แต่เมือ่เข้ายุคใหม่นี้ ระบบการธนาคารจีนไปไกลกว่าประเทศไทย ธนาคารจีนอยู่ในระดับโลก การเชื่อมโยงด้วยระบบ online ไปทุกแห่งทั่วโลก ประชาชนจีนใช้บัญชี online มาก ทุกคนในเมืองต่างๆใช้มือถือในการจับจ่ายใช้สอย ค่าเงินจีนแข็งขึ้นเป็น 1 RMB = 5.10 บาท
รูปแรกเป็น ธนบัตร FEC รูปสองเป็นธนบัตร RMB รูปสามคือ BaiZheng นะครับ

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 16/08/2021

เมือง Wuhan มณฑล Hubei ( Thai- China Academic Exchanging Program)
โชคดีมากที่ผมเคยได้ทุนโครงการแลกเปลี่ยนนักวิชาการจีน-ไทย ในปี 1988-1989 (2531-2532) ขณะที่ผมรับราชการที่จุฬาลงกรณ์ ไปทำงานวิจัยที่มหาวิทยาลัย Huazhong Science and Technology ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศในเวลานั้น พิ้นที่มหาวิยาลัยก็มีขนาดใหญ่มาก มีสาขากว่า80 ภาควิชา ภาควิชามีอาจารย์ 200-300 คน ทำให้ผมมีเพื่อนนักศึกษาจีนทั้งระดับปริญญาตรี และปริญญาโท รวมทั้งนักศึกษาต่างชาติที่จีนให้ทุนมาเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอาฟริกัน อันดับหนึ่ง จากนั้นก็เป็นเกาหลีเหนือ และปากีสถาน อันดับ2 และ3 ซึ่งจะเรียนจนจบรับปริญญา ส่วนนักศึกษายุโรปและไทย ส่วนใหญ่มาเรียนภาษาจีนระยะสั้นไม่เกิน1ปี ใช้ทุนส่วนตัว
การเรียนการสอนในประเทศจีนมีคุณภาพสูงมาก มหาลัยจะให้มีนักศึกษาจีนประกบกับต่างชาติ เพื่อช่วยเหลือในด้านการเรียนการสอน กลุ่มนี้จะพูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วมาก เพราะจะต้องไปเรียนภาษาที่ปักกิ่งมาก่อนอย่างน้อยที่สุด 1ปีก่อนมาที่นี่ นโบายรัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับนักศึกษากลุ่มนี้มาก และเช่นกัน นักศึกษาของจีนก็เก่งมาก ในระดับปริญญาโทนั้น สามารถไป Present งานที่ต่างประเทศได้ เช่นภาควิชาของผม
เรื่องราวที่ผมไปอยู่ ไปเรียน ไปทำวิจัย ที่นี่ยังมีหลายมุมมาก เป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก ผมสามารถใช้ประสบการณ์นี้มาประยุกต์กับการงานจนประสบความสำเร็จได้จนทุกวันนี้เลยครับ

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 14/08/2021

ผมเล่าเรื่อง มรดกโลกจีนที่น่าไปเยือน 30 เรื่องและพิพิธภัณฑ์จีนไปพอสมควร วันนี้เลยอยากพุดถึงภาพยนตร์จีนที่น่าสนใจ และผมเก็บสะสมดีวีดีของผู้กำกับที่ชื่อ จางอี่โหมว Zhang yi Mou ตลอดมา (ส่วนภาพยนตร์ฮ่องกงผมชอบฉุ่หยวน Chu Yuan)
ซึ่งทุกครั้งที่ผมไปประเทศจีนจะต้องหาภาพยนตร์ของเขามาเก็บไว้ (ตามรูปที่ลงนี้นะครับ) ความโดดเด่นของภาพยนตร์เขาคือเรื่องการใช้สีเป็นองค์ประกอบสะท้อนอารมณ์ของเรื่องราวต่างๆได้ดียิ่ง หนังของเขาจะดำเนินไปช้าๆ เหมือนหนังยุโรป ให้รายละเอียดตัวละครมาก ไม่เหมือนหนังฮอลลีวู้ดที่ใช้การตัดต่อเป็นสำคัญ เรื่อง Hero เ็นเรื่องที่คนไทยชอบ แต่เขาได้รับรางวัล Best Foreign Film ของการประกวดภาพยนตร์ที่เยอรมัน 2 ครั้งคือ
พ.ศ. 2534 - Raise the Red Lantern เกี่ยวกับภรรยาของครอบครัวศักดินา
พ.ศ. 2537 - To Live เกี่ยวกับชีวิตในช่วงปฏิวัติ วัฒนธรรมจีน
ลองหามาชมนะครับ ไปเที่ยวจีนจะสนุกขึ้นมากเลย

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 13/05/2021

ย้อนรอย เส้นทางการเดินทางของพระซวนจั๋ง (แต้จิ๋ว อ่านว่าถังซำจั๋ง)
ผมได้เดินทางไปบนเส้นทางสายไหม โดยเริ่มจากนั่ง-นอนบนรถไฟ20 กว่าชั่วโมงออกจากสถานนีรถไฟซีอาน ไปสุดทางที่เมืองตุนหวง และเข้าสู่มณฑลซินเกียง แล้วล่องกลับซีอานโดยผ่านระเบียงเหอซี แห่งมณฑลกานซู ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เช่น ถ้ำตุนหวง, ทะเลทรายโกบี ,ด่านเจี่ยยู่กวน ,ด่านหยูเหมิน, ชมแม่น้ำเหลือของเมืองหลันโจว ,และเข้าชมโบราณสถานมากมาย รวมทั้งพิพิธภัณฑ์บนเส้นทางนี้ และสิ้นสุดที่สุสานจิ๋นซีของเมืองซีอาน หรือฉางอัน คงจะได้กลับไปอีกด้วยรถไฟความเร็วสูงของจีน
พระถังซำจั๋งได้เดินทางไปเรียนพระธรรมที่มหาลัยนาลันทาอยู่นานกว่า 6 ปี เพราะท่านต้องเรียนภาษาสันสกฤตด้วย การแปลเป็นภาษาจีนนั้นยากมาก สมัยแรกๆมีพระกุมารชีพลูกครึ่งอินเดียเป็นคนแปล มีอนุสาวรีย์สร้างไว้ระลึกถึงท่านในเส้นทางนี้ แต่แปลแล้วมีหลายอย่างไม่เข้าใจ พระถังจึงต้องเดินทางไปและนำความรู้มาแก้ไขเป็นภาษาจีน มีพระจีนหลายคนไปแต่น้อยคนกลับมาได้ และโชคดีที่เมื่อท่านกลับมา พระเจ้าถังไท่จง ทรงเสื่อมใสและอุปถัมถ์ศาสนาพุทธในประเทศพอดี
ถ้าหากจีนไม่นับถือพุทธ แล้วส่งผ่านให้เกาหลีและญี่ปุ่นในเวลาต่อมา ศาสนาพุทธเราจะเล็กมากทีเดียว เล็กจริงๆนะครับ อันนี้ต้องนับถือพระเจ้าอโศก ที่เป็น Delivery ส่งออกศาสนาพุทธ กระจายในอินเดีย,ศรีลังกาและอาฟกานิสถานและเข้าสู่จีนในที่สุด และไม่ใช่จีนจะรับอารยธรรมอินเดียง่ายๆนะครับ เพราะของจีนก็มี เต๋า และขงจื้อ Made in China ของเขาเอง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับฮ่องเต้ว่าช่วงนั้นนับถืออะไร บางคนถือเต๋าก็ทำลายพุทธ เช่นที่พุทธศิลป์ที่ถ้ำหยุนกัง ฮ่องแต้องค์พ่อให้ทำลาย เป็นต้น สนุกครับเรื่องนี้ ทางสายไหมจึงเป็นเส้นทางพุทธศาสนาด้วย และเป็นกลายเป็นเส้นทางอิสลามเข้าจีนด้วยเช่นเดียวกัน เป็นเส้นทางที่มีคุณค่าในการเดินทางครับ

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 24/10/2019

มณฑลหนิงเซี่ย เมืองหลวงชื่อ หยินชวน คงไม่เป็นที่คุ้นเคยกับคนไทยมากนัก แต่ที่นี่กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผมชอบ ทำไมหรือครับ? เพราะบ้านเมืองสวยงาม เรียบร้อย ปลอดภัย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีชาวมุสลิมชาว Hui อาศัยอยู่ 30 % อาหารการกินก็อร่อยต่างจากมณฑลอื่น และแหล่งท่องเที่ยวก็มีมากและทันสมัยเสียด้วยครับ เช่น เรื่องราวของชาติพันธ์ุ์ชาวซีเซี่ยที่รุ่งเรืองและดับสูญที่นี่ เราจะได้ชมวัดพุทธและสุสานของชาวซีเซี่ย ซึ่งมีวัฒนธรรมและภาษาของตนเอง .ได้เห็นภาพเกาะหินยุคก่อนประวัติศาสตร์ 3000ปี,หินสลักบนเขาซูมี่ บนเส้นทางสายไหม,เมืองโบราณกู่หยวย และโรงถ่ายภายนตร์CCTV แค่นี้ก็คุ้มการเดินทางแล้วครับ

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 01/09/2019

เที่ยวเมืองกวางโจว สวนOrchid Garden
ออกจากสถานีรถใต้ดิน Yue Xiu ทางออก B2 เดินตรงไป 3 นาทีคูณจะได้ไปชมสวนในเมืองที่มีพรรณไม้กว่า 2000 ชนิด ดูการจัดสวนแบบจีน น้ำตก สะพาน เก๋งจีน ซึ่งที่นี่เป็นสวนขนาดย่อม มีด้านตะวันตกและตัวันออก เป็นที่แสดงกล้วยไม้ (เป็นช่วงการจัดเท่านั้น) แต่ landscape ที่นี่ก็คุ้มกับตั๋ว 8 หยวนให้คุรพักเหนื่อยจากความวุ่ยวายของเมืองธุรกิจกวางเจาได้ดีครับ
The Guangzhou Orchid Garden(广州兰圃公园 Guangzhou Lanpu) was rebuilt from a botanical garden in 1957 and covers an area of 3.9 hectares. It is located near the western entrance to the Yuexiu Park and features more than 200 species of orchids. The orchid garden has been landscaped beautifully with ponds, sculptures, pagodas, bamboos and other plants like creepers, rare flowers and luxuriant bushes. There are over 20 acres of land in the garden to be explored, which are filled with tropical trees and orchids. Around 10,000 potted orchids can be found within the garden, which cover over 2,000 species.

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 01/09/2019

เที่ยวเมืองกวางโจว เมืองธุรกิจ
ผมมากวางโจวหลายครั้ง แต่ถ้ามาเที่ยวกับเพื่อนจะพักที่โรงแรมในเกาะซาเมี่ยน เป็นเกาะที่ติดแผ่นดินใหญ่ แค่ข้ามสะพานคนเดินก็ถึงแล้ว ด้วยขนาด 0.3 ตารางกิโลเมตร ก็เดินเสร็จ + หาของกิน ใน 3 ชั่งโมง และที่นี่คือสถาปัติกรรม Chino-European style อันเป็นอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศส และเคยมีสถานกงศุลชาติตะวันตกมากกว่า 10 แห่ง รวมกับอาคารอื่นอีก 20 แห่ง ผมพักที่ Custom Hotel อาคารภาษีเก่า ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Yue hai ไปแล้ว

After my business is done.I want to see Shamian island in Guangzhou . It is a very impressive place where the Sino- European buildings were built here. My favorite hotel is the Custom hotel which make me back to the history of Guangzhou. It is a small ,tidy ,quiet hotel that I have to returned here for fourth time.

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 01/09/2019

พิพิธภัณฑ์จีนเรื่องที่ 4 Guangzhou Museum
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของจังหวัดต่างๆในเมืองไทย ผมว่ามาทำแบบพิพิธภัณฑ์กวางโจวได้เลย มันมีขนาดเล็ก สูงเพียง 5 ชั้น แต่ละชั้นจะบอกเรื่องราวเหตูการณ์ +บุคคลสำคัญ+หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในแต่ละยุค เช่น ชั้นนี้คือสมัยราชวงศ์ถัง + ราชวงศ์ซ่ง ชั้นต่อไปเป็นราชวงศ์ชิงหมิง และต่อไปเป็นยุคทันสมัย ทำให้เรื่องราวน่าติดตาม และง่ายต่อความเข้าใจ เหมือนกับเดินไปในหนังสือเล่มหนึ่ง เขาจัดได้ดี แม้ว่าเล้ก แต่ก็พริกขี้หนูครับ รุปปืนใหญ่นั้นคือปืนจริงที่จีนใช้สู้ในสงครามฝิ่น
Even though Guangzhou museum is a very small museum, but you will feel that you are walking in a story book. Good arrangement and very comprehensive. Small provincial museum in Thailand should be like this.

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 05/07/2019

มณฑลน่าเที่ยวในประเทศจีน (เรื่องที่ 1 มณฑลชิงไห่) สถานที่น่าสนใจ และเป็น High light เลยที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ( รูปภาพ ถ่ายเมื่อ 18-25 มิย 62)
1.เขาฉีเหลียน ซึ่งเป็นเทือกเขายาวถึง 8000 กม จากด้านตะวันออกเฉียงเหนือวิ่งขนานกับที่ราบสูงธิเบตไปทางตะวันตกเฉียงใต้ถือเป็นสวิสเซอร์แลนด์ของเมืองจีน บนยอดเขา Zou Er Shan สถานที่ท่องเที่ยวท่านจะเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม 360องศา การเดินทางสะดวกถนนดีมากครับ แต่ในบริเวณนี้ไม่มีโรงแรมที่พัก
2.วัด Mati Shi ของชิงไห่ เพราะมันมีความแปลกตรงที่ว่า บันไดเข้าวัด กลับซ่อนอยู่ในหน้าผา ซึ่งคนสมัยก่อนขุดบันไดซ่อนไว้บนหน้าผา ดูครั้งแรกยังสงสัยว่าจะขึ้นไปยังศาลาด้านบนได้อย่างไร ในที่สุดก็สามารถปีน+คลาน ในช่องบันไดหินแคบๆไปชมทุกศาลาได้ทั้งหมด วัดนี้สร้างหลังสมัยสามก๊ก ควบคู่กับทางสายไหมที่ไปสุดสิ้นที่ถ้ำตุนหวง ถือเป็นสมบัติพุทธสถานที่ยิ่งใหญ่ของเส้นทางนี้ ค่าตั๋ว 73 หยวน ก็คิดว่าคุ้มค่าอยู่ครับ
3 Chaka Salt Lake หรือทะเลสาปเกลือของมณฑลชิงไห่ มีขนาด110 ตารางกิโลเมตร (ยาวประมาณ 9 กม.กว้าง 15 กม และตื้นมากจนลงสามารถเดินล่นได้ flat salt lake) ลักษณะของภูมิทัศน์ขึ้นกับฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไป ชาวจีนเรียกว่า กระจกของฟากฟ้า (Mirror of the sky) ครั้งหนึ่งมันคือส่วนของน้ำทะเล แต่ถุกยกตัวด้วยการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก ที่นี่มีลักษณะคล้ายกับทะเลสาปเกลือทีประเทศโบลิเวีย Bolivia’s famous Salar de Uyuni.
4.Qinghai Lake ทะเลสาบชิงไห่คือทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และก็เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดของจีนด้วย มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือทุ่งหญ้า ทะเลทราย ภูเขาหิมะ ทัศนียภาพเหล่านี้ควบคู่กันไป สีครามแห่งท้องทะเลสาบมองดูแล้วยังเปี่ยมล้นไปด้วยมนตร์ขลัง แต่ผมไม่ชอบนั่งเรือใท่องเที่ยวในทะเลสาปครับ เดินริมๆทะเลสาปไปเรื่อยๆได้อารมณ์มากกว่า

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 23/03/2019

พิพิธภัณฑ์จีนเรื่องที่ 3 Sichuan Museum New Building
ผมให้ 5 ดาวสำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน สร้างเสร็จในปี 2016 ใหม่เอี่ยมด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมโดย Sutherland Hussey Harris บ.จากราชอาณาจักรอังกฤษ ที่นี่นำเสนอ วิถีชีวิตของชาวเฉิงตู ไม่ว่าจะเป็นสถาปัติยกรรม , ร้านค้า,เสื้อผ้า อาหาร.และร้าน Tea House ที่ขึ้นชื่อของนครแห่งนี้ มีหลายส่วน ที่ใช้เทคโนโลยี่แสงเลเซ่อร์มาประกอบการนำเสนอเรื่องราว ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 23/03/2019

พิพิธภัณฑ์จีนเรื่องที่ 2 Hubei Museum
หากคุณไปเมืองหวู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย พิพิธภัณฑ์นี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ สร้างในปี 1953 และทำใหม่เสร็จในปี 2007 แคว้นฉู่คือบริเวณนี้ ซึ่งมีการขุดค้นพบหลักฐานโบราณในยุคนั้น ที่สำคัญที่สุดคือการพบ เครื่องดนตรีลักษณะระฆังโบราณครบชุดที่ฝังอยู่ในสุสานของ แม่ทัพอี้ และยังมีหลักฐานตั๋วอักษรจีนสลักลงไม้ไผ่ทำให้เข้าใจความเป็นไปในยุค ชุนชิวและจ้านกว๋อ ของจีนมากขึ้น ยังโลหะทองคำรูปพรรรณที่สร้างขึ้นในสมัยนั้นด้วย ไปลองฟังเสียงดนตรีโบราณของที่นี่ก็คุ้มกับการมาเยือนแล้วครับ

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 23/03/2019

พิพิธภัณฑ์จีนเรื่องที่ 1 Shanxi Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นปี 1919 ตั้งอยู่ที่เมืองไท่หยวน มณฑลชานสี มีน่าสนใจให้ไปเยือน คิอเป็นที่เก็บหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในราชวงศ์แรกของจีน คือราชวงศ์เซี่ย และราชวงศ์ซาง(10000-4000ปี) ถือว่าเป็น cradle of civilization ของจีน นอกจากนี้ยังมีห้อง ราชวงศ์จิ้น (265-420) และราชวงศ์เว่ยเหนือ (386-420) ซึ่งพุทธศาสนาเริ่มเข้ามาในประเทศจีน มีห้องโลงศพและซากมนุษย์โบราณ ตลอดจนภาพวาดในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ผมให้ 4/5 ดาวครับที่นี่

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 24/01/2019

มรดกโลกจีน เรื่องที่30 "ภาพเขียนบนหน้าผา2000ปี ของชาวจ้วงกวางสี" หรือ Huashan Rock Art สถานที่ตั้งอยู่ริมน้ำ Zuojiang เขต Ningming มณฑลกวางสี แต่โบราณที่นี่มีชนส่วนน้อยของจีนอาศัยอยู่มามากกว่า2000ปี ได้แก่ ชนชาติจ้วง ชนชาติเหยา ตั้งแต่สมัยชุนชิวจ้านกว๋อ ภาพที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าผาสูง 40 เมตร ยาว170เมตร เต็มไปด้วยภาพคนภาพสัตว์ต่างๆ และเครื่องใช้ได้แก่ มีด ดาบ กลอง โดยใช้สีหลักคือสีแดงของแร่ Hematite ในกากรวาดภาพเหล่านี้ และได้รับเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้ในปี 2016

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 09/04/2018

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 29 นาขั้นบันไดแห่งหยวนหยาง ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน ในเขตหยวนหยางคือนาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินจีน ครอบคลุมพื้นที่ 103,768 ไร่ และเป็นมรดกโลกปี 2556 ประชากรส่วนใหญ่เป้ฯชนกลุ่มน้อยชาวฮานี (hani) ซึ่งได้อาศัยการทำนาบนเขามาเป็นเวลากว่าพันปีแล้ว ที่นี่หิมะไม่ตก แต่อากาสเย็นสามารถทำนาได้ปีละครั้งในเดือนเมษายน และเก็บเกี่ยวได้ในปลายเดือนกันยายน ชาวบ้านยังคงแต่งกายตามวัฒนธรรมเก่าของตน ที่นี่เป็นจุดที่สนใจของช่างภาพชาวจีน

Photos from เที่ยวเมืองจีน's post 09/04/2018

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 28 อุทธยานหวู่อี๋ซาน
เขตอนุรักษ์ธรรมชาติภูเขาอู่หยีซาน ตั้งอยู่ในอำเภอเจี้ยนหยาง,ฉงอัน,กวางเจ๋อและเซ่าอู่ในภาคเหนือมณฑลฮกเกี้ยน มีเนื้อที่ประมาณ 350,000 ไร่ ที่นี่เป็นเขตสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดในเขตมณฑลฮกเกี้ยน
เขตอนุรักษ์ธรรมชาตินี้มีเขตทัศนียภาพภูเขาอู่หยีซานที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ตอนสูงสุดของเทือกเขาอู่หยีซาน อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,200 เมตรโดยเฉลี่ย หวงกังซานที่เป็นยอดเขาสำคัญอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,158 เมตร ได้ชื่อว่า “หลังคาภาคตะวันออกของจีน” เทือกเขาสูงๆ ต่ำๆ เชื่อมต่อทอดยาวคดเคี้ยวไม่ขาดตอน ตั้งตระหง่านเป็นรั้วธรรมชาติ ปะทะลมหนาวจากภาคเหนือและลมร้อนชื้นจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ทำให้เขตนี้มีอากาศผันแปรอยู่ตลอด ทำให้เกิดทัศนียภาพธรรมชาติวิจิตรตระการตา เนื่องในอดีตทางคมนาคมห่างไกลมนุษย์ เขตนี้จึงอนุรักษ์พืชพันธุ์และสัตว์ที่มีค่าไว้ได้มากเขตหนึ่ง
เขตนี้ฝนตกชุก อากาศอบอุ่นชุ่มชื้น ภูเขาแต่ละลูกจึงปกคลุมไปด้วยไม้เขียว ตามที่สำรวจแล้วปรากฏว่าในเขตนี้มีต้นไม้ปกคลุมในอัตรา 93.1% และมีต้นไม้พันธุ์ต่างๆ ประมาณ 4,000 ชนิด เฉพาะที่รัฐบาลประกาศเป็นต้นไม้อนุรักษ์ก็มีถึง 19 ชนิด ต้นไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้พันธุ์โบราณ มีคุณค่าในด้านค้นคว้าวิวัฒนาการของพืชสูงมาก
ป่าไม้หนาทึบกับพืชพันธุ์อันอุดมได้สร้างเงื่อนไขอันดีให้แก่สัตว์ป่ามาอาศัย เขตนี้มีสมญาต่างๆ เช่น “โลกแมลง” “อาณาจักรงู” “สวรรค์นก” เป็นต้น ทั่วประเทศจีนมีแมลงทั้งหมด 32 ตระกูล เฉพาะในเขตนี้ก็มีถึง 31 ตระกูล สัตว์สะเทินบกกับสัตว์เลื้อยคลานมีถึง 100 กว่าชนิด ในจำนวนนี้เฉพาะงูก็มีถึง 64 ชนิด ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของชนิดงูทั่วประเทศ บางชนิดยังหาได้ยากด้วย ตามที่นักวิทยาศาสตร์มาสำรวจที่นี่ ได้พบว่าที่อำเภอกวางเจ๋อมีแหล่งงูอยู่แห่งหนึ่ง เฉลี่ยแล้วแต่ละตารางเมตรมีงูอยู่ 1.5 ตัว นกที่ค้นพบมามีประมาณ 300 ชนิด ในจำนวนนี้มี 100 กว่าชนิดจัดไว้ในชนิดอนุรักษ์ระดับชาติ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีประมาณ 100 กว่าชนิด บางชนิดก็เป็นสัตว์อนุรักษ์ระดับชาติเช่นกัน
ทรัพยากรสัตว์และพืชในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติภูเขาอู่หยีซาน มีการประกาศการค้นพบพันธุ์ใหม่ของสัตว์อีกหลายชนิด พิพิธภัณฑ์สถานที่มีชื่อในโลก เช่นพิพิธภัณฑ์สถานลอนดอน นิวยอร์ค ฮาวาย เบอร์ลิน เป็นต้น ล้วนมีตัวอย่างสัตว์และพืชสตัฟฟ์ที่เก็บไปจากภูเขาอู่หยีซานเก็บรักษาไว้ทั้งสิ้น ที่นี่ได้รับการยอมรับเป็นมรกดโลกในปี 1999

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 27 หินสลักต้าจู๋ 23/11/2017

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 27 หินสลักต้าจู๋
หินสลักต้าจู๋อยู่ที่อำเภอต้าจู๋ ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองฉงชิ่งมณฑลเสฉวน ที่อำเภอนี้จะพบหินสลักกระจายอยู่ทั่วไปตามภูเขาในบริเวณถึง 23 แห่ง บนหน้าผาหินสลักเป็นปฎิมากรรมทางพุทธศาสนาซึ่งผสมกับลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ หินสลักต้าจู๋ ได้เริ่มก่อสร้างขึ้นใน ค.ศ. 650 แห่ง ราชวงศ์ถัง ได้ผ่านการก่อสร้างมารวม 5 สมัย และมา เจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือและซ่งใต้ และได้ดำเนินต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง-ชิง หินสลักต้าจู๋เป็นศิลปะถ้ำหินยุคสุดท้ายที่สำคัญของจีน ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1999
ประติมากรรมผาหินที่เขาเป่ยซาน ตั้งอยู่ที่ 1.5 กม. ทางด้านทิศเหนือของตำบลหลงกัง อำเภอต้าจู๋ สร้างขึ้น ระหว่าง ค.ศ. 892-1162 ประกอบด้วยประติมากรรม รูปแกะสลักประมาณ 1 หมื่นชิ้น มีชื่อเสียงในด้านการแกะสลักที่มีความละเอียดอ่อน ประณีต แสดงออกถึงการพัฒนา เอกลักษณ์ของศิลปะถ้ำหิน และความศรัทธาของชาวจีน ที่มีต่อพุทธศาสนาในช่วงตอนปลายของราชวงศ์ถังจนถึง ราชวงศ์ซ่ง จนได้รับการยกย่องว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะการแกะสลักหินแห่งยุคถัง-ซ่ง
ส่วนประติมากรรมแกะสลักบนผาหินที่เขาเป๋าติ่งซาน ตั้งอยู่ที่ 15 กม. ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ อำเภอต้าจู๋ สร้างขึ้นโดยพระเถระจ้าวจื้อเฟิ่งแห่งราชวงศ์ ซ่งระหว่างปี ค. ศ. 1174-1252 โดยใช้เวลาดำเนินการ ก่อสร้างกว่า 70 ปี จึงแล้วเสร็จ เป็นศาสนสถานนิกาย วัชรยาน(นิกายทิเบต) มีลักษณะ โดดเด่นและความสมบูรณ์ที่หาชมได้ยากในศิลปะประเภทถ้ำหิน ประกอบด้วยประติมากรรมรูปแกะสลักมาก กว่า 1 หมื่นชิ้น ซึ่งช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ของนิกายวัชรยานของจีนมากขึ้น
จุดเด่นที่สุดของหินสลักต้าจู๋ คือ เป็นประติมากรรมรูปแกะสลัก ของทั้ง 3 ศาสนา คือ ขงจื๊อ พุทธ และเต๋า ซึ่งแตกต่างกับถ้ำหินยุคก่อน เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ศิลปะถ้ำหินของโลกระหว่างตอนปลายศตวรรษที่ 9 และตอนกลางของศตวรรษที่ 13

มรดกโลกจีน เรื่องที่26  ถ้ำหินหลงเหมิน 23/11/2017

มรดกโลกจีน เรื่องที่26 ถ้ำหินหลงเหมิน ถ้ำหลงเหมินอยู่ทางชานเมืองทางใต้ประมาณๆ 12 กม.ของเมืองสั่วหยางมณฑลเหอหนาน เริ่มสร้างเมื่อ ในสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ(386-534 BC) และสร้างต่อๆมาจนในสมัยราชวงศ์ถัง รวมเวลากว่า 400ปี ถ้ำหลงเหมินเป็นวัดถ้ำเจาะ เช่นเดียวกับถ้ำหยุนกัง มีพระพุทธรูปใหญ่น้อยที่บรรจุในช่องและคูหาถ้ำกว่า 2,100 คูหา นับจำนวนพระพุทธรูปทั้งองค์ใหญ่และองค์เล็กได้กว่า 100,000 องค์ องค์ใหญ่สุดมีขนาดสูง17เมตร องค์เล็กสุดมีขนาดสูง2 เซ็นติเมตร นอกจากนี้ยังมีศิลาจารึกอีกประมาณ3,600แท่ง ถ้ำหลงเหมินเป็นขุมทรัพย์แห่งศิลปกรรมประกอบด้วยถ้ำสำคัญต่างๆ เช่น ถ้ำกู่หยาง ถ้ำปินหยาง วิหารเฉี่ยนซีและวิหารเฟิ่งเซียนที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับว่าป็นพุทธศิลป์ที่มีฝีมือเป็นเลิศของถ้ำหลงเหมิน ที่สำคัญบริเวณด้านตะวันตก มีถ้ำขนาดใหญ่ที่สำคัญของหลงเหมิน สร้างโดยจักรพรรดิถังเกาจงและพระนางบูเซ็กเทียนแห่งราชวงศ์ถัง เป็นถ้ำที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่มหึมาของประเทศจีน มีขนาดสูง17เมตร ส่วนด้านข้างมีพระอัครสาวก และเทพพิทักษ์ซึ่งเป็นศิลปสมัยราชวงค์ถังซึ่งมีความงดงามมาก
ถ้ำหลงเหมินได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในขุมทรัพย์แห่งศิลปะศิลาสลัก 3แห่งของจีน เช่นเดียวกับ ถ้ำตุนหวงมณฑลกานซู่ และถ้ำหยุนกั่งมณฑลส่านซี

มรดกโลกเรื่องที่ 25 ภูผาอวตาร 10/10/2017

มรดกโลกเรื่องที่ 25 เขาอวตารหรือจางเจียเจี้ย คือสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่มิใช้จะเป็นที่รู้จักกันเพียงในระดับประเทศ หากนักท่องเที่ยวจากหลายชาติหลายภาษาต่างก็รู้จัก
ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนานแห่งนี้ เนื่องเพราะเปลือกโลกเกิดจากการเคลื่อนตัวเมื่อ 380 ล้านปีก่อน จางเจียเจ้จึงได้ยอดเขา 3,000 ลูกซึ่งยืนสูงตระหง่านฟ้าไว้เป็นสมบัติ รวมทั้งแม่น้ำลำธารที่ไหลวนเวียนอยู่ในพื้นที่อีกถึง 800 สาย เขตอู่หลิงหยวนของเมืองจางเจียเจ้อุดมไปด้วยความสวยงามและคุณค่าทางนิเวศวิทยาสูงถึขนาดที่องค์การสหประชาชาติจัดอันดับให้เป็น “มรดกทางธรรมชาติของโลก” อู่หลิงหยวนมีเนื้อที่ 369 ตารางกิโลเมตร เป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมเอาทิวทัศน์ดีเด่นของเมืองจางเจียเจ้ไว้ ไม่ว่าจะเป็นเขาหินนับพันนับหมื่นที่งอกขึ้นจากพื้นดินรูปสัตว์แปลกๆ ต่างๆ หรือต้นสนรูปสวยทรงแปลกที่เรียงรายกันอยู่ตาม 2 ฟากฝั่งหุบเขาของแม่น้ำจินเปียนซี จางเจียเจ้เป็นเขตชุมชนของชนชาติส่วนน้อยอีกด้วย นอกจากชนชาติฮั่นแล้วยังมีชนชาติถู่เจียไป๋ ม้งและหุย ชนชาติเหล่านี้ได้พัฒนาขนบธรรมเนียมประเพณีของคนมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งมีลักษณะพิเศษเฉพาะตน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่นักท่องเที่ยวต่างหลงใหลให้ความสนใจ

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 24 พระราชวังมุกเดน 09/10/2017

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 24 พระราชวังมุกเดนหรือวังเสิ่นหยาง ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหลียวหนิง วังนี้สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2168 หลังแมนจูสถาปนาเสิ่นหยางเป็นเมืองหลวงเมื่อสามารถปกครองจีนสมัยราชวงศ์หมิงได้ ทำให้พระราชวังกลายเป็นจุดศูนย์กลางอำนาจของจีนอีกครั้งจนกระทั่งราชวงศ์ชิงล่มสลาย โครงสร้างของพระราชวังเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมผสมระหว่างจีน มองโกเลียและแมนจูเข้าด้วยกัน ภายในมีอาคารกว่า 300 หลังบนเนื้อที่กว่า 60,000 ตารางเมตร พระราชวังแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ.2530 ร่วมกับพระราชวังต่้องห้ามของราชวงศ์ชิงที่เมืองปักกิ่ง
พระราชวังกู้กงเสิ่นหยางแห่งนี้ สร้างเลียนแบบพระราชวังกู้กงที่ปักกิ่ง แต่ย่อส่วนเล็กลง พระราชวังแห่งนี้สร้างโดย นูรฮาซื่อ แต่พระองค์ไม่ได้ประทับที่พระราชวังแห่งนี้ เพราะพระองค์เสด็จสวรรคตก่อนในปี 1626 หลังจากนั้น หวงไท่จี๋ พระราชโอรสของ นูรฮาซื่อ ก็ขึ้นครองเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชิง ทรงประทับที่พระราชวังนี้ ต่อมาได้บุกข้ามเขตแดนของชาวฮั่นและล้มราชวงค์หมิง รวมอำนาจในส่วนกลางใหม่อีกสมัยหนึ่ง และย้ายเมืองหลวงไปที่กรุงปักกิ่ง
ตั้งแต่นั้นมา ฮ่องเต้ของราชวงค์ชิงล้วนประทับอยู่ในพระราชวังโบราณกู้กงของกรุงปักกิ่ง เมืองเสิ่นหยางกลาย เป็นเมืองหลวงที่สอง ส่วนที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นพระราชตำหนักของเมืองหลวงที่สอง

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 20 วังอี้เหอหยวน 09/10/2017

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 20 พระราชวังฤดูร้อนแห่งปักกิ่ง หรืออี้เหอหยวน
คือสวนหลวงที่ยิ่งใหญ่แห่งราชสำนักราชวงศ์ชิง (ปีคศ. 1644 – 1911) สถาปนิกจีนได้ออกแบบสวนหลวงนี้ โดยการผสมผสานสิ่งก่อสร้างต่างๆภายในสวนหลวง กับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนลงตัวในรูปแบบเอกลักษณ์จีน องค์ประกอบของพระราชวังฤดูร้อนนี้ได้แก่ เนินเขาอายุยืน , ทะเลสาบคุณหมิง , หอคอยรูปพระศาสดา และระเบียงหลวงที่มีความยาวถึง 728 เมตร พระราชวังฤดูร้อนนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ด้วยพื้นที่ 290 เฮกเตอร์ สร้างครั้งแรกมีชื่อว่า ชิงอี้หยวน น่าเสียดายซึ่งได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1860 จนในปี 1888 พระนางซูสีไทเฮา ได้ทรงบูรณะใหม่ และให้ชื่อใหม่ว่า อี้เหอหยวนสวนหลวงแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญญลักษณ์ของอารยะธรรมของมวลมนุษย์ตามที่ องค์การ Unesco ได้ประกาศในปี 1998

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 21 วัดแห่งสวรรค์เทียนถาน 09/10/2017

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 21 วัดแห่งสวรรค์เทียนถาน หรือเป่ยจิงเทียนถาน ปัจจุบันเรียกว่า สวนสาธารณะเทียนถาน สร้างขึ้นเมื่อศักราชหย่งเล่อปีที่ 18 แห่งราชวงค์หมิง (ค.ศ. 1420) ครอบคลุมพื้นที่ 273 เฮกเตอร์ (hectare) กำแพง ชั้นนอกยาว 5.5 กิโลเมตร มีเนื้อที่มากกว่าพระราชวังเก่า 2 เท่า เป็นมณฑลพระราชพิธีบวงสรวงฟ้าดินของสมัย ราชวงศ์หมิงตอนต้น มาถึงศักราชเจียจิ้งปีที่ 9 (ค.ศ. 1530) จึงมีการแยกดำเนินพระราชพิธีบวงสรวงฟ้าและดินให้ออกจากกัน มีการสร้างมณฑลพิธีบวงสรวงแผ่นดิน ณ ชานเมืองทางทิศเหนือ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เทียนถาน จะใช้สำหรับบวงสรวงฟ้าเท่านั้น เมื่อถึงวันที่ 15 เดือน 1 (ตามปฏิทินจันทรคติของจีน) ฮ่องเต้จะเสด็จมาที่ศาลาฉีเหนียนเตี้ยน เพื่ออธิษฐานให้เป็นปีเก็บเกี่ยวที่อุดม สมบูรณ์ เมื่อถึงวันโตงจื้อ (คือวันที่ 22 ธันวาคม) ฮ่องเต้ก็ จะเสร็จมายังมณฑลพิธี หวนชิวถาน เพื่อประกอบพระราชพิธีบวงสรวงฟ้า
ศาลาฉีเหนียนเตี้ยน สง่างดงาม มีงานแกะสลัก ที่วิจิตรบรรจง พื้นที่ปูด้วยแผ่นอิฐนั้น ตรงกลางมีหินอ่อนที่เรียกว่า “หินมังกรหงษ์” ปรากฏเป็นลายมังกร -หงษ์ที่ทรงคุณค่ายิ่ง ทางทิศใต้ของฉีเหนียนเตี้ยนมีปราสาททรงกลมชั้นเดียวที่ดูคล้ายร่ม บนเพดานนั้นปราศจากคานทั้งปวง เป็นที่บูชาป้าย “พระเจ้าแห่งสวรรค์”
หวนชิวถานสร้างอยู่ทางใต้ของหวงฉงอวี่ เป็น มณฑลพิธีทรงกลมที่ก่อด้วยอิฐขาวแกะสลักลวดลาย 3 ชั้น เป็นสถานที่สำหรับบวงสรวงสวรรค์กลางแจ้ง ตรงกลางของมณฑลมีหินทรงกลมก้อนหนึ่ง คนที่ยืนอยู่บนหินนั้นเพียงส่งเสียงเบาๆ ตนเองก็จะรู้สึกว่าเสียงดังมาก
เทียนถานนับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่และสง่างามในกลุ่มมณฑลพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ได้รักษาไว้เป็นอย่างดีจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะ อันโดดเด่น และระดับสถาปัตยกรรมที่เหนือชั้นของจีนโบราณและเป็นผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะ ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีน

มรดกโลกจีนเรื่องที่23 พุทธศิลป์ถ้ำตุนหวง 09/10/2017

มรดกโลกจีนเรื่องที่23 พุทธศิลป์ถ้ำตุนหวง
เมื่อสองร้อยปีก่อนคริสตกาล หลังจากที่จักรพรรดิฮั่นหวู่ตี้ได้ทรงแต่งตั้งจางเชียนเป็นทูตประจำแคว้นทางตะวันตกแล้ว จังหวัดตุนหวงเป็นจังหวัดที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นทางตะวันตกสุดของจีน มีพื้นที่รับผิดชอบทั้งหมด 6 อำเภอกับอีก 2 ด่านได้แก่ด่านอีว์เหมินกวนและด่านหยางกวน อันเป็นจุดที่สำคัญยิ่งบนเส้นทางสายไหม ซึ่งวัฒนธรรมผ้าไหมได้เผยแพร่สู่ตะวันตกโดยอาศัยเส้นทางสายนี้ ขณะเดียวกับที่วัฒนธรรมของต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนาจากอินเดียก็ได้แพร่เข้ามาโดยอาศัยเส้นทางนี้เช่นกันและเจริญรุ่งเรืองอยู่ตามเมืองต่างๆ เช่น ในเขตอี๋ว์เถียน กุยฉือ เกาชาง จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายสู่ตะวันออกจนกระทั่งถึงตุนหวงและเข้าสู่ภาคกลางของจีนในที่สุด
ผลพวงของการเผยแพร่เข้ามาของพุทธศาสนาได้ส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อศิลปวัฒนธรรมที่ตุนหวง โดยเฉพาะศิลปะถ้ำหินที่ตุนหวงนั้นเป็นงานศิลปะที่สืบเนื่องจากความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนา พุทธศิลป์ที่ปรากฏอยู่ตามถ้ำหินตลอดเส้นทางสายไหมจึงเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งของศาสนาพุทธ ในจำนวนถ้ำหินเหล่านี้ ถ้ำหินมู่เกาเป็นถ้ำหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีประวัติความเป็นมายาวนานที่สุด
ศิลปะภายในถ้ำหินที่ถือว่ามีมากที่สุดและมีเรื่องราวมากที่สุดก็คือภาพฝาผนัง
เนื้อหาของภาพฝาผนังที่ตุนหวงได้สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและกิจกรรมทางสังคมของผู้คนในสมัยโบราณแต่ละยุคทั้งยังแสดงให้เห็นถึงชนชาติและชนชั้นต่างๆ ของจีน เช่นภาพการเสด็จออกว่าราชการของพระจักรพรรดิ์ พิธีกรรมต่างๆ ภายในราชสำนัก การดีดพิณและการบรรเลงดนตรี การขับร้อง การทำไร่ทำนา การจับปลา การถลุงเหล็ก การกลั่นเหล้า การเล่นมวยปล้ำ การยิงธนู การแข่งขันวิทยายุทธ์ ประเพณีพื้นบ้านต่างๆ การติดต่อค้าขายระหว่างจีนและตะวันตก และการประชุมทูตานุฑูต เป็นต้น ภาพเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทางสังคมที่สลับซับซ้อนทั้งในทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนซึ่งติดต่อกับประเทศต่างๆ ในเอเชียกลาง เอเชียใต้และทางเอเชียตะวันตก บรรดานักปราชญ์ตะวันตกได้กล่าวสรรเสริญว่า ภาพผนังที่ตุนหวงเป็น “หอสมุดภาพฝาผนัง” ซึ่งกล่าวได้ว่าภาพผนังที่ตุนหวงเป็นภาพสะท้อนทางประวัติศาสตร์ของจีนที่ทรงค่า
รูปประติมากรรมต่างๆ ที่ถ้ำหินเป็นลักษณะของการผสมผสานทางศิลปะ เช่น พระพุทธรูปที่มีโครงพระพักตร์และพระนาสิกเป็นแบบศิลปะกรีก ลักษณะของเครื่องแต่งกายที่เป็นแบบเปอร์เชีย ภาพประเพณีเปลือยกายแบบอินเดีย สิ่งเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานทางศิลปะนับแต่อารยธรรมของต่างประเทศได้เริ่มแพร่เข้าสู่ตะวันตกของจีน

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 22 พุทธศิลป์หยุนกัง 09/10/2017

มรดกโลกจีนเรื่องที่ 22 พุทธศิลป์หยุนกัง หยุนกังฉือคู คือถ้ำที่เกิดจาการเจาะเข้าไปในภูเขา และทำเป็นวัดในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ทางใต้ของภูเขาหวู่โจว ทางทิศตะวันตกของเมืองต้าถงเมืองหลวงของมณฑลชานสีราว 16 กิโลเมตร .สร้างมาแล้วกว่า 1500ปี โดยเป็นวัดพุทธศาสนาซึ่งใช้วิธีขุดเจาะบนหน้าผาที่มีความยาว 1 กิโลเมตรจากทางด้านตะวันออกสู่ตะวันตก เป็นที่รวมของประติมากรรมหินสลักทางพุทธศาสนา ตลอดจนเรื่องราวคำสั่งสอนทางมหายาน
เริ่มสร้างในสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ 460 AD และมีการบูรณาการมาถึง 400 ปี ปัจจุบันหินสลักหยุนกังคงมีรูปสลักเหลือทั้งสิ้นประมาณ 50,000 รูป ส่วนใหญ่ถูกทำลายและภัยจากธรรมชาติและมนุษย์ หินสลักขนาดใหญ่ที่สุดสูง 17 เมตร และเล็กที่สุดประมาณ 2-3 เซนติเมตร ทั้งนี้สร้างด้วยฝีมือประณีต
ถ้ำหมายเลข 5 มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่สูง 17 เมตร สลักจากหินในถ้ำทั้งองค์ ส่วนถ้ำหมายเลข 6 แสดงเรื่องราวพุทธประวัติ นับแต่ประสูตร ตรัสรู้ และปรินิพพาน ถ้ำหมายเลข 12 เป็นรูปเหล่านางฟ้าร่ายรำ และถ้ำหมายเลข 18 เป็นพระพุทธรูปที่มีพระวรกายผอมสูง เบื้องบนเป็นพระพุทธรูปแกะสลักขนาดเล็กจำนวนมาก ในบริเวณที่ประดิษฐานพระประธานภายในแต่ละถ้ำ จะมีรูปประติมากรรมเหล่านางฟ้าในท่าเหาะติดบนเพดาน มีดอกไม้ประดับคล้ายกับโปรยปรายจากสวรรค์ หินสลักหยุนกังเป็นแหล่งศึกษาประติมากรรม เครื่องแต่งการ และเครื่องดนตรีจีนโบราณ และยังแสดงอิทธิพลของชาติตะวันตกที่มีต่อจีน ในรูปหินสลักแบบศิลปเปอร์เซียและอินเดียด้วย

มรดกโลกจีน เรื่องที่19  เมืองโบราณซีตี้ 08/10/2017

มรดกโลกจีนเรื่องที่19 เมืองโบราณซีตี้ อาคารบ้านเรือนของชาวบ้านธรรมดาซึ่งยังคงรักษาสถาปัตยกรรมเก่าแก่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง เช่นหมู่บ้านซีตี้ ในเขตอี้เซี่ยน มณฑลอันฮุย ได้กลายเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของจีน นับเกือบ1000 ปีที่หมู่บ้านนี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์งานช่างอันฮุยไว้ได้ ประชากร400 ครอบครัวเคยอาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาออกแบบภูมิสถาปัตย์ของหมู่บ้านได้อย่างดีเยี่ยม ประกอบกับงานตกแต่งด้วยไม้แกะสลักที่มีความละเอียดปราณีตยังคงหาพบได้เกือบทุกบ้าน หากท่านมาเยือนที่นี่สักครั้งท่านจะประทับใจ (ไม่ไกลจากหมู่บ้านหงชุน)

เที่ยวเมืองจีน มรดกโลกจีนเรื่องที่ 18 อุทธยานจิ่วไจ้โกว 05/10/2017

จิ่วไจ้โกวมีลักษณะพื้นภูมิเป็นหินคาร์สในเขตหนาวของโลก มีเนื้อที่ที่เป็นเขตทัศนียภาพ 720 ตารางกิโลเมตร ด้านนอกล้อมรอบด้วยเขตอนุรักษ์ที่มีเนื้อที่ 600 ตารางกิโลเมตร จิ่วไจ้โกวปกคลุมด้วยป่าไม้เป็นส่วนใหญ่ โกรกธารสำคัญ 3 แห่ง คือ ซู่เจิ้ง รื่อเจ๋อและเจ๋อฉาวา – ประกอบกันเข้าเป็นรูปตัว “Y” ยาว 50 กว่ากิโลเมตร ในเขตนี้มีทะเลสาบหนองบึง น้ำตกลดหลั่นสายน้ำเชี่ยวและแก่งหินงาม เมื่อประกอบเข้ากับทิวทัศน์ยอดเขาหิมะและป่าไม้แล้วก็กลายเป็นเขตทัศนียภาพที่ยากจะพบเห็นได้ จิ่วไจ้โกวตั้งอยู่ในโซนอบอุ่น อุณหภูมิอยู่ในระดับ 7.8 องศาเซลเซียสโดยเฉลี่ยตลอดปี ฤดูร้อนไม่ค่อยร้อน อากาศสดชื่นและแสงแดดอุ่นสบาย ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนที่ดี หากยังเป็นคลังมหาสมบัติทางธรรมชาติแห่งต้นไม้และสัตว์ด้วย จากผลของการสำรวจทำให้รู้ว่า ที่จิ่วไจ้โกวนี้มีพืชชั้นสูงอยู่ถึง 2,000 กว่าชนิด พืชชั้นต่ำ 400 กว่าชนิด และยังมีหมีแพนด้า ลิงขนทอง ไก่ป่าท้องแดง ห่านฟ้า ชะมด นาก เป็นต้น รวมทั้งหมดมีสัตว์ที่หายากอยู่ 17 ชนิด
ปี ค.ศ. 1982 สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้จิ่วไจ้โกวเป็นเขตทัศนียภาพที่สำคัญของประเทศ ต่อมา ปี ค.ศ.1992คณะกรรมการมรดกของโลกแห่งองค์การยูเนสโกตกลงกำหนดให้จิ่วไจ้โกวซึ่งเป็นเขตทัศนียภาพระดับชาติเป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก (ภาพในนี้ถ่าย ในฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งครั้งและเดินทางไปอีกในฤดูหนาว)

Website