เคล็ดลับดูแลสุขภาพด้วยธัญญาหารพื้นบ้าน โดย ดร เฉิน

เคล็ดลับดูแลสุขภาพด้วยธัญญาหารพื้นบ้าน โดย ดร เฉิน

Contact information, map and directions, contact form, opening hours, services, ratings, photos, videos and announcements from เคล็ดลับดูแลสุขภาพด้วยธัญญาหารพื้นบ้าน โดย ดร เฉิน, Health & Wellness Website, .

Timeline photos 24/12/2015

หมดเงิน 5 ล้านไปกับการซื้อบ้าน เป็นเรื่องปกติ
หมดเงิน 5 แสนไปกับการซื้อรถ เป็นเรื่องปกติ
หมดเงิน 5 หมื่นไปกับการซื้อมอเตอร์ไซค์ เป็นเรื่องปกติ
หมดเงิน 5 พันไปกับการซื้อโทรศัพท์ เป็นเรื่องปกติ
หมดเงิน 1 พันไปกับการซื้อเสื้อผ้า เป็นเรื่องปกติ

แต่.... หากต้องหมดเงินสักพันสองพันไปกับการตรวจเช็คสุขภาพประจำปี เรากลับส่ายหัวและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

“แพงไป!”“ไม่มีเงินหรอก!”“เสียดายเงิน!”

คุณๆที่รัก สุขภาพของเรามีค่าน้อยกว่ารถยนต์ มอเตอร์ไซค์หรือโทรศัพท์หรืออย่างไร?

หากมีเงินแต่สุขภาพไม่ดี ค่าของเงินอยู่ตรงไหน?

เงินเอ๋ยเงิน บางคนยอมหันหลังให้กับคนรักก็เพราะเงิน บางคนยอมหันหลังให้กับญาติพี่น้องก็เพราะเงิน กระดาษใบนี้ไม่หนา แต่กลับทำให้คนไม่เป็นสุข

กระดาษใบนี้ไม่ใหญ่ แต่ทำให้คนกลัว กระดาษแผ่นนี้ไม่หนัก แต่ทำให้คนปวดหัว

ก่อนหน้านั้นสัญญาจะเป็นจะตายไปพร้อมกัน แต่กลับไม่ยอมเผาผีกันก็เพราะกระดาษแผ่นนี้
ก่อนหน้านั้นสัญญาจะอยู่กันจนแก่เฒ่า แต่น่าเศร้าเพราะขาดกระดาษแผ่นนี้ก็หลีกลี้หนีจากกันไปเพราะกระดาษแผ่นนี้
คนในโลกนี้ต้องหน้าอมขมกลืน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กินไม่ได้นอนไม่หลับ!!! ไม่ว่ากระดาษแผ่นนี้ จะให้ความสุขหรือให้ความทุกข์แก่คุณ
แต่ขอให้จดจำไว้ มีเรื่องราวอีกมากมายที่สำคัญกว่าเงินทอง!!!!
แด่เพื่อนที่รัก

Photos from เคล็ดลับดูแลสุขภาพด้วยธัญญาหารพื้นบ้าน โดย ดร เฉิน's post 23/12/2015

หนังสือวิชา รวยและมีความสุข
เพื่อ พี่น้องชาวไทยที่รัก

"นวัตกรรมใหม่ การเพาะเห็ดเงินล้าน"

"หากไม่รู้ เรียนรู้ ลงมือทำ และแบ่งปัน"

ตั้งใจไว้ว่า
ต้องการแบ่งปันความรู้ สร้างธุรกิจ SMEs มีความสนใจและมีความรู้เรื่องเห็ด จึงไปอบรมกับ
ท่านอาจารย์ทวียศ บ้านเห็ด และนำมาลงมือทำ และมีโอกาสร่วมนำเสนอโครงการสร้างอาชีพเพาะเห็ดให้กับชุมชนทั้งราชการและเอกชนหลายแห่งร่วมกับท่านอาจารย์ทวียศ
นวัตกรรมใหม่การเพาะเห็ดเป็นการประยุกต์วิธีการเครื่องมือในการเพาะเห็ดให้ง่ายขึ้น ประหยัดขึ้น
เรา ๆ ท่าน ๆ สามารถ ทำหรือซื้อหาได้

ขอบคุณ อ ทวียศ วิศวกรบ้านเห็ด
อ ณรงค์วิทย์ แสนทอง
โค้ช อ ปกรณ์ วงศ์รัตนพิบูลย์
อ ราช รามัญ
อ เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป
อ รัชเขต วีสเพ็ญ
สำนักพิมพ์ปัญญาชน
พ่อ แม่ ครู อาจารย์ คริบครัว
เพื่ิอน พี่น้อง
ผู้มีพระคุณทุกท่าน

ความรู้ในหนังสือนี้จะเป็นส่วนหนึ่ง
ในการสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ และ ลดต้นทุน เป็นกิจกรรมพิเศษ สำหรับผู้รักเห็ด

อ่านแล้ว ดี หรือ สงสัย สามารถคุยกันได้ที่

line: drchern

ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม ให้กำลังใจตลอดมาและตลอดไป

ดร เห็ด (เฉิน)
23 ธค 2558
ซื้อหนังสือได้ ร้านขายหนังสือ
ขั้นนำทั่วโลก
หรือ ดร เฉิน
บช ธนาคารกรุงเทพ 1015801580

22/12/2015

เรื่องเล็กๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวัน แต่บางครั้งเราก็มองข้ามไป ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วยก็ได้ รวมถึง 9 เรื่องต่อจากนี้ที่รู้ไว้ก็ไม่เสียหลาย และอาจจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเราด้วย

1. ยาคูลท์ขวดเล็กๆ มีส่วนผสม ของน้ำตาลทรายขาว 6 ช้อนชา

2. ร้านกาแฟโบราณรถเข็น ที่ขายโอเลี้ยง และชาดำเย็น มีต้นทุนค่ากาแฟเย็น แก้วละ 3 บาท
(ขณะที่มั่วๆ ขายเราแก้วละ 20-30 บาท ประหนึ่งว่าตัวเอง เป็นร้านกาแฟสด)

3. ร้านขายน้ำส้มคั้นสดๆ ตามร้านริมถนน จะมีสวนผสมของยาฆ่าแมลง อยู่ด้วยเสมอจากผิวเปลือกส้ม ที่ไม่ได้ล้าง หรือล้างไม่สะอาด

4. 95% ของร้านที่ผ่าไข่ด้วยเชือกด้าย เช่น ร้านข้าวหมูแดง ร้านก๊วยจั๊บ เชือกด้ายนั้น ไม่เช็ค ไม่เคยล้าง ไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่เปิดร้าน จนปิดร้าน

5. 90% ของร้านขายข้าวขาหมู จะเอาคะน้าที่ไม่ได้ล้าง ไปลวกให้สุกในน้ำขาหมู ก่อนที่จะหั่นเนื้อ หันผัก และตักน้ำขาหมู มาราดข้าวให้เรา

6. 80% ของแม่ค้าขายของ ที่ใส่ถุงมือขายอาหาร จะใส่ถุงมือหยิบอาหาร และทอนเงิน

7. อาหารใส่ถุงที่ซื้อจากตลาด ในตอนเช้า แล้วกลางวันบูด แสดงว่า อาหารสกปรกมีเชื้อแบคทีเรีย แต่ถ้าไว้ข้ามคืน และไม่ได้ใส่ตู้เย็นอาหารก็ยังไม่เสีย แสดงว่า ใส่สารกันบูด

8.โรตีอาบังที่เข็นรถขายตอนเย็นๆ กลางคืน เวลาบังปวดฉี่ บังจะไปยืนหลบๆต้นไม้ฉี่เสร็จ บังไม่ได้ล้างมือที่จับจู๋ฉี่ บังก็มาจับก้อนแป้งตบๆบี้ให้แบน เหวี่ยงให้เป็นแผ่นแล้วก็ทอดโรตีขายให้เรากิน

9.รถเข็นขายไส้กรอกอิสาน ขายจนดึกกลับที่พัก ก็จอดรถเข็นไว้หน้าที่พัก ห้องเช่า โดยไม่ได้เก็บที่ปิ้งย่างไส้กรอก ทิ้งไว้บนรถเข็น ตกดึกหนูก็จะมารุมแทะเศษหนังเศษมันของไส้กรอกทราติดอยู่ที่เหล็กบนเตาปิ้ง แถมฉี่ใส่อีกต่างหาก พอสายๆตื่นมาคนขายก็มาปัดๆ กวาดๆ แล้วก็เตรียมของที่จะไปขายต่อ กินกันเข้าไปเชื้อโรคทั้งนั้น

Cr: นานาสาระน่ารู้

15/12/2015

สมุนไพรไทย..รักษาโรค
โรคเก๊าท์"

คืออาการที่ร่างกายสะสมกรดยูริคในร่างก้ายปริมาณสูงมากเป็นเวลานาน จนเกิดการตกผลึกตามข้อกระดูก เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และไต ส่งผลให้ข้อบวม และเจ็บปวดมาก

ปกติแล้วการที่กรดยูริคในร่างกายสูงนั้นไม่เป็นอันตราย หลายๆ ท่านที่มีกรดยูริคสูงก็ไม่เป็นเก๊าท์ แต่เมื่อกรดยูริคนั้นสูงมากเกินไปเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดผลึก และเป็นเก๊าท์ ซึ่งอีกปัจจัยเร่งที่อาจทำให้เกิดเก๊าท์เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีสาร ‘พิวริน’ สูง หรือกรดยูริคสูง

วิธีปฏิบัติตน 4 ข้อเพื่อป้องกันและรักษาเก๊าท์ดังนี้:

1. ดื่มน้ำใบย่านางคั้นสด หรือน้ำเปล่าผสมน้ำสกัดย่านาง (ซึ่งมีความเป็น ด่าง และ ฤทธิ์เย็น) เพื่อปรับสมดุล และดีท็อกซ์ร่างกาย
2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีพิวรินสูง เช่น ไก่ และทุกส่วนจากไก่ หอย ตับหมู ไข่ปลา กระถิน ชะอม
3. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมไปถึงชา กาแฟ น้ำอัดลม .. เครื่องดื่มเหล่านี้มีกรดสูง ซึ่งอาจจะไปกระตุ้นให้กรดยูริคในร่างกายสูงขึ้น
4. แนะนำให้หลีกเลี่ยงการทานอาหารฤทธิ์ร้อนทั้งหลาย และอาหารไขมันสูง ซึ่งไปยับยั้งการขับกรดยูริคออกจากร่างกาย

ผู้ป่วยโรคเก๊าท์หลายท่านได้ลองทำตามคำแนะนำนี้เป็นประจำ อาการโรคเก๊าท์ดีขึ้นอย่างมาก "คุณกินอย่างไร คุณก็จะเป็นอย่างนั้น" นะคะ

(ที่มา..เพจCoolinggreenlife)

Timeline photos 15/12/2015

“ 4 อุปนิสัยที่คนรายได้สูงมี แต่คนรายได้น้อยไม่มี “

นิตยสารญี่ปุ่น President เค้าไปสำรวจมาว่า
คนทำงานประจำที่มีรายได้สูงกับรายได้น้อย
เค้ามีลักษณะนิสัยที่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ผมลองสรุปออกมาได้เป็น 4 ข้อ
สำหรับอุปนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จในด้านการงาน...........................
1. คนที่มีรายได้สูง มักจะ…คิดเรื่องงานในวันหยุด
อันนี้หลายๆคนอาจไม่เห็นด้วย
วันหยุด ต้องเป็นวันหยุด แบบ work life balance สิ ถึงจะดี!
จากการสำรวจบอกว่า
การคิดถึงงานนั้นเป็นการคิดเบบสร้างสรรค์
เอาไอเดียที่ตัวเองได้จากการท่องเที่ยวที่ต่างๆ
และอ่านหนังสือเล่มใหม่ๆมาใช้ในงานที่ตัวเองทำอยู่
ทำให้ในวันจันทร์ที่จะถึงกลายเป็นวันในการระเบิดพลังไปเลย

2. คนที่มีรายได้สูง มักจะ…ทำงานที่ใช้ไอเดียเป็นหลัก
ในขณะที่คนรายได้น้อยมักจะทำแต่งานที่เป็นตารางเป๊ะๆมาเลย เป็นงาน Routine ที่จริงๆ แล้วใครมาทำแทนก็ได้เนื่องจากเป็นงานชิวๆ ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากนัก ทำให้ใครหลายคนติดกับดักความสบายของงานใน Comfort zone เหมือนเรื่อง กบที่โดนต้มอยู่เป๊ะเลย

3. คนที่มีรายได้สูง มักจะ…วางแผนการใช้เวลา
ล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์
คนรายได้สูงๆ เค้าจะรู้ก่อนล่วงหน้าเลยว่าในวันจันทร์-ศุกร์ที่จะถึงนี้ เค้าต้องทำอะไร วันไหนบ้าง
เหมือนคนที่ warm ร่างกายตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์
แล้วเช้าวันจันทร์สามารถวิ่งได้เลย
ไม่เหมือนคนรายได้น้อยที่เป็นบ่ายวันจันทร์แล้ว
ยังเบลอๆ จากวันหยุดอยู่เลยว่าต้องทำอะไรต่อ
กว่าจะรู้ตัวจัดระเบียบได้อีกทีก็กลางสัปดาห์ไปแล้ว
เสียเวลาไปเเล้วครึ่งทางในการทำงาน

4. คนที่มีรายได้สูง มักจะ…รู้ว่า Focus time ตัวเองมาตอนไหน
เพราะแต่ละคน จะมีเวลาที่จดจ่อไม่เหมือนกัน
บางคนชอบตื่นมาอ่านหนังสือตั้งแต่เช้าตรู่
ในขณะที่บางคนจะมีสมาธิมากในช่วงดึกๆ
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า สภาวะ Flow ของเรามาตอนไหน
ถือเป็น Golden time ที่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเราเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าเลยทีเดียว
-----------------------------

Cr : President online
นิตยสารสำหรับนักธุรกิจญี่ปุ่น

มะเขือพวง สรรพคุณเหลือเชื่อ 08/12/2015

มะเขือพวง สรรพคุณเหลือเชื่อ!!!!!

"มะเขือพวง" มีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนโบราณหลายประการ เช่น ช่วยเจริญอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี แก้ปวด ฟกซ้ำ ปวดกระเพาะ แก้อาการฝีบวมหนอง อาการบวม อักเสบ ขับปัสสาวะ ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยทำให้พบว่า

1. มะเขือพวงมีสารจำพวก "ไฟโตนิวเทียนท์" ที่จะช่วยร่างกาย ในสภาวะขาดสารอาหาร ให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ

2. มีกลุ่มสาร "ทอร์โวไซด์" ซึ่งช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ และกระตุ้นให้ตับนำโคเลสเตอรอลในเลือดไปใช้ได้มากขึ้น รวมทั้งยับยั้งการดูดซึมกลับของโคเลสเตอรอลในลำไส้ด้วย จึงอาจช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่ง

3. ในมะเขือพวงมีสาร "ซาโปนิน" ทำให้มะเขือพวงมีฤทธิ์ขับเสมหะ

4. มะเขือพวงเป็นพืชที่มีเส้นใยมากที่สุด เมื่อเทียบกับผักพื้นบ้านของไทยทั้งหมด จนได้รับสมญานามเป็น "ราชาแห่งผักพื้นบ้าน ในเรื่องของสารเส้นใย" โดยมีเส้นใยมากกว่ามะเขือยาว 3 เท่า และมากกว่ามะเขือเปราะถึง 65 เท่า เส้นใยในมะเขือพวง มีชื่อเรียกว่า "เพกติน" ซึ่งเป็นสารที่ละลายน้ำได้

สารนี้ จะสามารถเปลี่ยนเป็นวุ้นไปเคลือบที่ผิวของลำไส้ ทำให้ลำไส้ดูดซึมแป้งและน้ำตาลที่ย่อยแล้วได้ช้าลง จึงเป็นการช่วยไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้

อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า

"สารเพกตินในมะเขือพวง ช่วยในการดูดซับไขมันส่วนเกินออกจากอาหารได้ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่บรรพบุรุษของไทย มักจะทำแกงกะทิใส่มะเขือพวง ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจได้"

อย่างไรก็ตาม แม้มะเขือพวงจะเป็นพืชผักที่มีประโยชน์มาก แต่คณะผู้วิจัยก็ยังบอกว่า ไม่ควรกินมากเกินไป เพราะมีสาร "อัลคาลอยด์" ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท และมีผลต่ออวัยวะอื่น ๆ (เข้าทำนองว่า อะไร ๆ ที่เกินประมาณ ก็เกิดอันตรายได้ทั้งนั้น)

Cr. ข้อมูลแหล่งที่มา http://allknowledges.tripod.com/devilfig.html
Cr. ภาพอาหาร Internet

เครดิต :: เพจ 'ทางเดิน' ขอขอบคุณ สำหรับขอมูล บทความดีๆนะค่ะ.แอดมินชอบเพจนี่มากเลย มีบทความซึ้งๆ ลงตลอด เป็นอีก 1. คน ที่ติดตามเพจ คุณ อยู่นะค่ะ สู้ๆ ค่ะ สัญญาว่าจะเข้าไปเปิดอ่าน ทุกวันเลย แอดมินเป็นกำลังใจให้ อีกคนนะค่ะ สำหรับใคร ที่ชอบ อ่านบทความสอนใจ เพื่อเอาไปใชัใน ชีวิต ประจำวัน. แอดมินแนะนำ เพจนี่เลยค่ะ ขอ อณุญาติแชร์ นะค่ะ
http://line.me/ti/p/%40ysw5504a

มะเขือพวง สรรพคุณเหลือเชื่อ ชื่ออื่น : ว่านไก่แดง  ว่านเข้า ว่านหมาก ว่านเพลาะ ว่านหอม

07/12/2015

อาการบอกเหตุ!!! เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ลองสังเกตุตัวเองในชีวิตประจำวัน

การสังเกตอาการที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติต่างๆ เบื้องต้นได้ แต่ควรหาสาเหตุที่แท้จริง จึงจะแก้ปัญหาได้ถูกจุด อาการบางอย่าง อาจเกิดจากสาเหตุต่างกัน แต่มีอาการเหมือนกัน เช่น


1. อาการนอนไม่หลับ อาจเกิดจากถุงน้ำดีข้น หรือ กระดูกคอข้อที่ 1 เคลื่อน หรือเลือดไม่ค่อยเลี้ยงหัวใจ เนื่องจากเป็นคนตื่นเต้นบ่อย


2. ผิวหยาบ มีขี้แมลงวัน มีติ่ง หูด ตาปลา สาเหตุมาจากลำใส้ใหญ่สกปรก


3. ปัสสาวะมีกลิ่นแรง กลิ่นฉุนมาก เกิดจากไตไม่ดี ต่อมลูกหมากโต มีปัสสาวะคั่งค้าง ให้กินแกนสัปปะรด 3 แกน ทุกวันเป็นเวลา 7 วัน และดื่มน้ำกระชาย


4. ปวดนิ้วก้อย บอกถึงระบบความร้อนบกพร่อง ร่างกายถูกความเย็นตอน 3 – 5 ทุ่ม เช่นอาบน้ำเย็น ตากแอร์ เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายต้องการความอบอุ่น


5. ปวดใต้ฝ่าเท้า หมายถึงปอดไม่แข็งแรง


6. ปวดเข่า
- ปวดด้านนอก ขึ้นมาถึงสะโพก หรือโคนขา หมายถึง ถุงน้ำดีข้น ดื่มน้ำน้อยไปหรือระบบดูดซึมไม่ดี อันมาจาก การกินของผัดน้ำมันพืช น้ำมันพืชที่ถูกความร้อนจะแปรสภาพเหนียวเกาะที่ลำไส้ ทำให้สารอาหารและน้ำซึมผ่านไม้ได้
ปวดด้านหน้า หมายถึง กระเพาะอาหารไม่ดี กินอาหารไม่ตรงเวลา หรือมีความวิตกกังวลบ่อย


- ปวดด้านใน (ด้านที่เข่าชนกัน) หมายถึงปัญหาจาก ม้าม / เบาหวาน / อ้วน / ตับ / กินหวาน / ขี้โมโห / มีสารพิษ / ไต / กินรสจัด / หรือกินอาหาร ผัดน้ำมัน


- ปวดตามข้อ ปวดเข่า ให้ตื่นเช้าเอาน้ำเย็นรดตามข้อ สลายหินปูนเกาะได้กระตุ้นการขับถ่ายด้วย

7. ปวดสะบัดหลัง ปวดเอว หมายถึงถุงน้ำดีข้น ต้องล้างระบบดูดซึม


8. ปวดกล้ามเนื้อหน้าอก อาจเกิดจากปัญหา หัวใจ หรือไต หรือกระเพาะอาหารไม่แข็งแรง


9. มีอาการตึงใต้ราวนมขวา หมายถึงน้ำเหลืองไม่ดี สาเหตุมาจากมีอุจจาระตกค้างมาก หรือถ่ายไม่หมดเป็นประจำ ให้หาทางระบายและกินขมิ้นชันตอนเช้า 9 โมง ช่วยเรื่องน้ำเหลืองให้ดี


10. ปวดหลังมาจาก ท่านั่งไม่ถูกต้อง หรือ ความชื้นเข้าผิวหนัง หรือเพราะความวิตกกังวล หรือ เป็นนิ่ว ลมในท้องเยอะ ดันกรวยไตให้งอ


11. ปวดด้านข้างนอกฝ่าเท้า เป็นอาการของตับไม่ดี ถุงน้ำดีข้น นอนไม่หลับ ปวดหู ไมเกรน


12. กดกลางฝ่ามือ ถ้าเจ็บ หมายถึง หัวใจโต เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ


13. กดใต้นิ้วชี้ ถ้าเจ็บ หมายถึง ระบบย่อย ตับ กระเพาะไม่ดี


14. กดใต้ร่องนิ้วนาง กับก้อย ตรงเส้นหัวใจ ถ้าเจ็บ หมายถึง กล้ามเนื้อหัวใจไม่แข็งแรง


15. นิ้วกลางล็อค หมายถึงมีไขมันในเลือดมาก ต้องกินน้ำกระเจี๊ยบ-พุทราจีน เกิดจาก ตื่นเต้นบ่อย กินอาหารคอเลสเตอรอลสูง กินของหวานที่มีน้ำตาลมาก


16.ปวดข้อมือใต้นิ้วโป้ง หมายถึงการมีอุจจาระค้างในลำใส้ใหญ่มาก ควรแก้ใขด้านการขับถ่าย การมีอุจจาระค้างมากอยู่เสมอยังเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก กลิ่นตัว และอาจจะไปรบกวนการทำงานของตับอ่อนในการผลิตอินซูลิน อันเป็นต้นเหตุหนึ่งของเบาหวาน

17. ตากุ้งยิง แก้โดยการดูที่แผ่นหลังจะมีเม็ดคลายหัวสิวเกิดขึ้น ให้สกิดอ่อนแล้วตากุ้งยิงจะหายไปเอง


18. มือสั่น เกิดจากมีน้ำมันเกาะลำไส้มาก ซึ่งอาจเกิดจากกินอาหารผัดน้ำมันพืช หรือตื่นเต้นบ่อย


19. เล็บ มีดอก หมายถึงเลือดจาง


20. เหงื่อออกง่าย เหงื่อออกฝ่ามือ ตัวเย็น เกิดจากหัวใจไม่แข็งแรง หรือฮอร์โมนไม่ปกติ ดื่มน้ำกระชาย กินหัวใจหมูต้ม ข้าวเหนียวกับลำไยแห้ง ช่วยบำรุงหัวใจ


21. ขี้ร้อน เกิดจาก ไตซ้ายเสื่อม กระทบถึง สมองซีกขวา ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการจินตนาการ ศิลปะหรือขาด ฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือถูกความเย็นตอน 3 ทุ่ม – 5 ทุ่มระบบความร้อนในร่างกายบกพร่อง


22. ขี้หนาว หมายถึง ไตขวาเสื่อม จะกระทบถึงการทำงานของสมองซีกซ้ายที่ทำหน้าที่เก็บความจำ คำนวณ จับประเด็น สาเหตูจากถูกความเย็นตอน 3 – 5ทุ่ม


23. ถ้าหิวแล้ว มีอาการหิวจัด ทนไม่ได้ อาจกำลังจะเป็นเบาหวาน


24. เหน็บชา ตามแขน ขา เกิดจากเลือดไหลเวียนไม่ดี หรือมีพยาธิ เลือดน้อย หรือไม่กินข้าวซ้อมมือ น้ำชีวภาค ดีกว่ากระชาย

25. ตะคริว สาเหตุมาจากหัวใจไม่แข็งแรง ให้งดกิน ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง
- ตะคริวบก ขาดโปรแตสเซียม ให้กินผลไม้สดมากๆ
- ตะคริวน้ำ ให้ดื่มน้ำเกลือ (เกลือแกงป่น 1 ช้อนชา ละลายน้ำอุ่นดื่ม)


26. ไม่กินอาหารเช้า จะทำให้ สมองเสื่อม ผมร่วงง่าย หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย ร้อนใน ปวดไหล่ กล้ามเนื้อเหลว กระดูกคอ กระดูกสะโพกเคลื่อนง่าย เข่าไม่ดี น่องเหลว น่องทู่ ปวดข้อเท้า วิตกง่าย ขี้โมโห


27. กลิ่นตัว เกิดจากลำใส่ใหญ่สกปรก มีสิ่งตกค้างมาก ซึมเข้าระบบเลือด และออกทางเหงื่อ ปาก และลมหายใจ


28. อัมพฤษ อัมพาต ส่วนใหญ่เกิดจากท้องผูก การขับถ่ายไม่ดี ประกอบกับเส้นเลือดตีบ เวลาเบ่งอุจจาระจะเพิ่มอันตรายจากการคั่งของเลือด ทำให้เกิดเส้นเลือดตีบตัน หรือแตกหมดความรู้สึกและล้มลง (มักเข้าใจผิดว่าหกล้มก่อนแล้วเส้นเลือดแตก) ควรป้องกันด้วยการดื่มน้ำกระเจี๊ยบ พุทราจีน ขยายหลอดเลือด หรือกินข้าวต้มน้ำมะละกอ 7-10 วัน อาการจะดีขึ้น (วิธีการทำข้าวต้มน้ำมะละกอ นำมะละกอดิบครึ่งลูกตัดจุกออก เอาเม็ดออก หั่นพร้อมเปลือกเหมือนฟัก ต้มน้ำเคี่ยวจนนิ่ม เอาแต่น้ำมาต้มข้าวต้ม ถ้าใช้ข้าวกล้องยิ่งดี จะใส่ใบเตยด้วยก็ได้ กิน 3 มื้อทุกวัน)


29. อวัยวะที่สัมพันธ์กัน ริมฝีปากกับม้าม ถ้าใช้ลิปสติกที่มีสารเคมี จะทำให้ม้ามไม่แข็งแรง ผลิตไขมันมาก ทำให้อ้วน


30. หูกับไต หูไม่ดี ไม่คอยได้ยิน เป็นการแสดงถึงไตไม่แข็งแรง


31. ลิ้นกับหัวใจ อาการของลิ้น บ่งบอกถึงความไม่แข็งแรงของหัวใจ


32. สายตา กับตับ รวมถึงเส้นผม และเส้นเอ็น ตับไม่แข็งแรงจะทำให้สายตาเสื่อมโทรม ผมหงอก และเส้นเอ็นหย่อนยาน

07/12/2015

อาการของโรคหัวใจ

ความเป็นจริงแล้วคำว่า โรคหัวใจ มีความหมายกว้างมาก อาการที่เกิดจากโรคหัวใจ หรือสัมพันธ์กับหัวใจนั้น มีไม่มากนัก ดังอาการข้างล่างนี้ แต่อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าว ก็มิได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหัวใจเท่านั้น ยังมีโรคอื่นๆ ที่ให้อาการคล้ายกัน ดังนั้น การที่แพทย์จะพิจารณาให้การวินิจฉัยนั้น จำเป็นต้องอาศัยประวัติอาการโดยละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย บางครั้งต้องอาศัยการตรวจพิเศษต่างๆ เช่น เลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น เพื่อแยกโรคต่างๆ ที่มีอาการคล้ายกัน

เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ใจสั่น ขาบวม เป็นลม วูบ

เจ็บหน้าอก

อวัยวะที่อยู่ในทรวงอก นอกจากหัวใจแล้ว ยังมี เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด เยื่อหุ้มปอด หลอดอาหาร หลอดเลือดแดงใหญ่ กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง เต้านม กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก เมื่อมีการอักเสบ หรือพยาธิสภาพของอวัยวะเหล่านี้ ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้ทั้งสิ้น แต่ลักษณะอาการอาจแตกต่างกัน

อาการต่อไปนี้เข้าได้กับอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด



1.

เจ็บแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้าย หรือ ทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไป ที่แขนซ้าย หรือ ทั้งสองข้าง หรือ จุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน

2.

อาการตามข้อ 1 เกิดขึ้นขณะออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ รีบ หรือ ขึ้นบันได วิ่ง โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้น เมื่อหยุดออกกำลัง

3.

ในบางรายที่อาการรุนแรง อาการแน่นหน้าอกอาจเกิดขึ้นในขณะพัก เช่น นั่ง หรือ นอน หรือ หลังอาหาร

4.

กรณีที่เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการจะรุนแรงมาก อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เหงื่อออกมาก เป็นลม (อาการเช่นนี้ยังพบได้ ในโรคของหลอดเลือดแดงใหญ่ปริ ฉีก)

อาการต่อไปนี้ไม่เหมือนอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด



1.

เจ็บแหลมๆ คล้ายเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก

2.

อาการเจ็บเกิดขึ้นในขณะพัก มีอาการนานเป็นชั่วโมง หรือเป็นวัน

3.

อาการมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่า หรือ ขยับตัว หรือ หายใจเข้าลึกๆ

4.

อาการเจ็บร้าวขึ้นศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า

อาการตามข้อ 1,2 และ 3 อาจเกิดจากกระดูก กล้ามเนื้อหน้าอก เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากอาการเจ็บหน้าอกแล้ว ต้องอาศัยประวัติอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังนั้น ในผู้ป่วยบางรายที่อาการไม่เหมือนนัก แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ ก็ควรได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติมด้วย

หอบ เหนื่อยง่าย

อาการหอบ เหนื่อยง่าย เวลาออกแรง เช่น เดิน วิ่ง ทำงาน มีสาเหตุมากมาย เช่น โลหิตจาง (ซีด) โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคปอด ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) แม้แต่ความวิตกกังวล หรือ โรคแพนิค ก็ทำให้เหนื่อยได้เช่นกัน อาการเหนื่อยง่ายจากโรคหัวใจ และ ภาวะหัวใจล้มเหลวนั้น จะเหนื่อย หอบ หายใจเร็ว โดยเป็นเวลาออกแรง แต่ในรายที่เป็นรุนแรง จะเหนื่อยในขณะพัก บางรายจะเหนื่อยมากจนนอนราบไม่ได้ (นอนแล้วจะเหนื่อย ไอ) ต้องนอนศีรษะสูงหรือ นั่งหลับ

คำว่าเหนื่อย หอบ ในความหมายของแพทย์หมายถึง อัตราการหายใจมากกว่าปกติ แต่ในความหมายของผู้ป่วย อาจรวมไปถึง อาการเหนื่อยเพลีย หมดแรง เหนื่อยใจ

อาการเหนื่อยแบบหมดแรง มือเท้าเย็นชา พูดก็เหนื่อย (โดยอัตราการหายใจปกติ) เหล่านี้มักจะไม่ใช่อาการเหนื่อยจากโรคหัวใจ

ใจสั่น

ใจสั่นในความหมายแพทย์ หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆ หยุดๆ อาการดังกล่าวอาจพบได้ในคนปกติ โรคหัวใจ และโรคอื่นๆ ที่มีผลต่อหัวใจ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอด แพทย์จะซักประวัติละเอียด ถึงลักษณะของ อาการใจสั่น เพื่อให้แน่ใจว่า เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยรู้สึก ใจสั่น โดยหัวใจเต้นปกติ

การตรวจวินิจฉัยกลุ่มอาการใจสั่น เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการชั่วขณะ เมื่อมาพบแพทย์อาการดังกล่าว ก็หายไปแล้ว แพทย์จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ว่า เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ดังนั้น ท่านควรศึกษาวิธีจับชีพจรตัวเอง เมื่อเกิดอาการ ว่าหัวใจเต้นกี่ครั้งในเวลา 1 นาที และสม่ำเสมอหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้แพทย์ให้การวินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้น

ขาบวม

อาการขาบวม เกิดจากการที่ร่างกายมีเกลือ (โซเดียม) และน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย โดยอาจเกิดจากโรคไต (ขับเกลือไม่ได้) โรคหลอดเลือดดำอุดตัน (การไหลเวียนไม่สะดวก) ขาดอาหาร โปรตีนในเลือดต่ำ โรคตับ ยาและฮอร์โมนบางชนิด โรคหัวใจ หรือ ในบางราย ไม่พบสาเหตุ (idiopathic edema) การบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจ เกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถ ไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรัง ก็ให้อาการเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีอาการขาบวม แพทย์จำเป็นต้องตรวจหลายระบบ เพื่อหาสาเหตุ จึงให้การรักษาได้ถูกต้อง

เป็นลม วูบ

คำว่า "วูบ" นี้ เป็นปัญหาในการซักประวัติอย่างมาก เนื่องจากในภาษาไทยคำนี้มีความหมายต่างๆ กัน แต่ในความหมายของแพทย์แล้ว จะตรงกับภาษาอังกฤษว่า syncope หมายถึง การหมดสติ หรือ เกือบหมดสติ ชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ ไม่รวมถึงอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเครง วูบวาบตามตัว หายใจไม่ออก อาการดังกล่าวอาจเกิดจาก ความผิดปกติของสมอง เช่น ลมชัก (แม้จะไม่ชักให้เห็น) เลือดออกในสมอง ความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง หรือหยุดเต้นชั่วขณะ หรือ ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจ นอกจากนั้นแล้ว "วูบ" ยังอาจพบได้ในคนปกติที่ขาดน้ำ เสียเลือด ท้องเสีย ไม่สบาย ขาดการออกกำลังกาย ยาลดความดันโลหิต อีกด้วย


นพ.ระพีพล กุญชร ณ อยุธยา
อายุรแพทย์โรคหัวใจ

Timeline photos 07/12/2015

เครื่องดื่ม 6 ชนิดที่แนะนำดื่มก่อนอน

เราจะนำเครื่องดื่มทั้งหมด 6 อย่างมาวัดกันให้เห็นลยว่า คืนนี้ควรดื่มอะไรก่อนนอนกันดีนะ?

อันดับที่ 6 : ชามะลิอุ่นๆหอมๆ
กลิ่นหอมอ่อนๆของชาดอกมะลิที่ช่วยให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า ไม่น่าเชื่อว่าจริงๆแล้วกลิ่นหอมนี้ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ตาสว่างได้อีกด้วย ดังนั้นใครที่ดื่มชามะลิอุ่นๆ ดื่มก่อนนอน ระวังคืนนี้จะนอนไม่หลับโดยไม่รู้ตัว

อันดับที่ 5 : โกโก้ร้อนหอมอร่อย
โกโก้ร้อน เครื่องดื่มที่เด็กๆดื่มได้ผู้ใหญ่ดื่มดี เครื่องดื่มสีเข้มๆกลิ่นหอมเหมือนขนมนี้ มีส่วนประกอบของคาเฟอีนที่มีคุณสมบัติช่วยให้ตาสว่าง ถึงแม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่ถ้าดื่มก่อนนอนก็อาจจะทำให้นอนไม่หลับได้เหมือนกันนะ

อันดับที่ 4 : น้ำผึ้งผสมมะนาวอุ่นๆ
ความหวานของน้ำผึ้งที่ช่วยให้ร่างกายคลายความเหนื่อยล้า กับรสชาติเปรี้ยวๆของมะนาวที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆสำหรับผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของร่างกาย เพียงแต่รถชาติของน้ำมะนาวอาจจะหนักเกินไปสำหรับการดื่มก่อนนอน หากดื่มเข้าไปแล้วอาจจะทำให้สดชื่นจนนอนไม่หลับเลยก็ได้นะ

อันดับที่ 3 : น้ำผักกาดหอมปั่นเพื่อสุขภาพ
ไม่น่าเชื่อว่าผักใบเขียวๆ ที่หลายคนไม่ชอบเพราะกลิ่นแรง จะสามารถช่วยทำให้นอนหลับสบายได้ด้วย เพราะว่าในใบและก้านของผักกาดหอม มีสารรสขมที่มีชื่อว่า “แลคทูคาเรียม” ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย และมีฤทธิ์เหมือนยานอนหลับ จึงทำให้เราสามารถนอนหลับได้ง่ายยิ่งขึ้น

อันดับที่ 2 : นมร้อน อบอุ่นอ่อนโยน
เครื่องดื่มที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ยิ่งได้ดื่มแบบอุ่นๆยิ่งทำให้ผ่อนคลายสบายท้อง แต่สาเหตุที่ทำให้เราดื่มนมแล้วนอนหลับสบายไมได้มีเพียงแค่นั้น เพราะในนมมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่า “ทริปโตเฟน” ซึ่งมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มความง่วงนอนให้เราได้

อันดับที่ 1 : ชาสมุนไพร (ชาดอกคาโมมายล์) หอมผ่อนคลาย
อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าดอกคาโมมายล์มีคุณสมบัติที่ช่วยในการคลายกล้ามเนื้อ และเส้นประสาท ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายอย่างเต็มที่ ยิ่งถ้าเป็นชาที่ทั้งอุ่นทั้งหอม ถ้าได้ดื่มก่อนนอนก็จะทำให้สบายท้องนอนหลับสบายมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัวเลยล่ะ

ที่มาบทความจาก หนังสือ น้ำสมุนไพร เพื่อสุขภาพ

Timeline photos 06/12/2015

5 อาหารทะเลเหล่านี้..
ทานแล้วสุขภาพดี ไม่มีคอเลสเตอรอล..!!!

อาหารทะเลเมื่อพูดถึงแล้วคงเป็นของโปรดใครหลายๆ คน แต่ถ้าคนรักษาสุขภาพคงรู้ดีว่า
การกินอาหารทะเลผลที่ตามมาคือคอเลสเตอรอล แต่ถ้าเราทานนานๆครั้งอาหารพวกนี้
ก็จะเป็นคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่เดียว ได้แก่

1.ปลาแซลมอน ปลาแซลมอนหนึ่งชิ้นให้กรดไขมันโอเมก้า-3ที่ช่วยบำรุงสุขภาพผิว ในปริมาณที่มากกว่า
ที่ร่างกายต้องการต่อวันเสียอีก จึงนับเป็นอาหารทะเลอันดับหนึ่งสำหรับบำรุงผิวพรรณให้มีความยืดหยุ่นชุ่มชื่น

2.ปลาทูน่า สุดยอดปลาที่ให้ปริมาณโปรตีนเทียบเท่ากับเนื้อวัว และยังเปี่ยมด้วยโอเมก้า-3 และแคลเซียม
เหมาะมากสำหรับทำเป็นมื้อเย็น แต่ถ้าเลือกได้พยายามใช้ทูน่าสดมากกว่าทูน่ากระป๋องที่ให้กรดไขมันในปริมาณที่น้อยกว่า

3.หอยแมลงภู่ มีแคลอรี่ต่ำ และอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญเช่น เหล็กและสังกะสี และอีกเรื่อง
ที่เรามักไม่ค่อยจะรู้กันก็คือ หอยแมลงภู่นั้นมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เทียบเท่ากับปลาทะเลเลยด้วย

4.ปลากะพงขาว มีแคลเซียมสูงและเป็นแหล่งของวิตามินบีรวมถึงการที่มันมีก้างเยอะจึงเหมาะกับคน
ที่กำลังลดน้ำหนักด้วย ประมาณว่าต้องใช้เวลาในการกินนานขึ้นนั่นเอง

5.กุ้ง มีธาตุเหล็กสูง สังกะสีและวิตามินที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันมีไขมันอิ่มตัวต่ำ (น้อยกว่าเนื้อไก่ด้วย)
จึงเป็นทางเลือกที่อร่อยและดีต่อสุขภาพหัวใจ.

เราเคยรับข้อมูลแต่ว่า..
อาหารทะเลล้วนมีคอเรสเตอรอลสูง...
แต่มันก็มีข้อยกเว้นอยู่เช่นกันนะ....
ซีฟู๊ด...อร่อย..อย่างมีคุณประโยชน์...อิ ๆ ๆ..

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.prachatalk.com/webboard
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ซีฟู้ดอาหารมากคุณค่า (Momypedia)
โดย มัณฑนา

อาหารทะเลหรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า "ซีฟู้ด" ที่รวมเอาของอร่อยจากท้องทะเลหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา และปลาหมึก ซึ่งหลายคนหลงใหลติดใจในรสชาติกันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว อ๊ะ อ๊ะ...อย่าเพิ่งดูถูกคิดว่า ซีฟู้ดมีความอร่อยเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าจะว่าไปแล้วคุณค่าและประโยชน์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัวนี่ต่างหากที่เป็นไม้เด็ดทำเอาใครต่อใครติดใจหลงรักเข้าเต็มเปา

อาหารทะเลนอกจากจะเป็นโปรตีนชั้นดีแล้ว ยังมีความพิเศษตรงที่มีแร่ธาตุสำคัญอย่าง ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมถึงวิตามินบี 1 ,บี 2 และบี 6 อีกด้วย

เนื้อปลา

เป็นพระเอกในหมู่อาหารทะเลทั้งมวล เนื่องจากเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ไร้คาร์โบโฮเดรต แถมมากวิตามินและแร่ธาตุ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลานุ่ม ๆ หรือปลาเล็กปลาน้อยกรุบกรอบ ล้วนเหมาะกับคนทุกเพศวัย เลือกอร่อยกันได้อย่างสบายใจเลยล่ะค่ะ

กุ้ง

กุ้งสด กินแล้วให้โปรตีน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรต บำรุงร่างกายสดชื่นให้แข็งแรง แต่ถ้าเป็นกุ้งฝอยหรือกุ้งแห้งที่กินได้ทั้งตัวพร้อมเปลือก จะยิ่งอุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแกร่ง เหมาะกับว่าที่คุณแม่ รวมถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่กลัวโรคกระดูกพรุนถามหาเป็นอันมาก

ปลาหมึก

เป็นแหล่งโปรตีนมีแร่ธาตุไม่น้อยเช่นกัน แต่ด้วยความที่เนื้อขาวๆ ของปลาหมึกมีคาร์โบไฮเดรตและคอเลสเตอรอลอยู่ กินบ่อยๆ คงไม่ไหว แค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งพอให้หายคิดถึง น่าจะกำลังดีจ้ะ

ปู-หอย

ในเนื้อปูเนื้อหอยมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมไปถึงวิตามินที่มีประโยชน์ ทว่าคาร์โบโฮเดรตที่มีอยู่ร้อยละ 2 ในตัวอาจเป็นอุปสรรคทำให้ตามใจปากกินมากๆ ไม่ได้ เผลอใจกินเข้าไปเยอะน้ำหนักขึ้นอ้วนได้ง่ายๆ เลยเชียวนะ

สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้เมื่อกินอาหารทะเล คือ ความสดและความสะอาด ยิ่งสดยิ่งอร่อย ยิ่งสะอาดยิ่งปลอดภัย อย่าลืมซิคะว่าอาหารทะเลมักจะมีแบคทีเรียปนเปื้อนมากับผิว เปลือก หรือกระดองได้ เพื่อความมั่นใจไม่อยากเสี่ยงกับอาการท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ต่ำๆ เพราะอาหารทะเลทำพิษแล้วละก็ ต้องล้างผิว แปรงเปลือกหรือกระดอง ให้สะอาดก่อนเพื่อขจัดแบคทีเรียที่มีอยู่ไปส่วนหนึ่ง

ส่วนกุ้งถ้าจะเก็บให้เด็ดหัวทิ้งก่อนแช่แข็งจะช่วยลดแบคทีเรียไปได้ถึงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว คราวนี้คุณก็จะอร่อยกับซีฟู้ดจานโปรดได้อย่างปลอดภัยแล้วล่ะคะ

ไอโอดีน...สำคัญใช่ย่อย

ในอาหารทะเลมีไอโอดีนอยู่ถึง 54 ไมโครกรัมต่ออาหารที่กินได้ 100 กรัม ซีฟู้ดจึงเป็นแหล่งไอโอดีนที่สำคัญของทุกๆ คน แม้ว่าปริมาณแร่ธาตุที่ชื่อว่าไอโอดีนที่ร่างกายต้องการจะน้อยมาก แต่ถ้าเกิดขาดได้ไม่เพียงพอขึ้นมา ก็จะทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพได้อย่างมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะทำให้เกิดโรคคอพอก สมองทำงานไม่ปกติ มีพัฒนาการและเรียนรู้ช้า หรือที่เรียกว่า "โรคเอ๋อ" และถ้าขณะอุ้มท้องอยู่แม่ได้รับไอโอดีนน้อยเกินไป ลูกในท้องก็ไม่ค่อยเติบโตและเสี่ยงกับการพิการ หูหนวก เป็นใบ้ ปัญญาทึบได้อีกด้วย

ฉะนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีเราจึงควรทานอาหารทะเลอย่างน้อยอาทิตย์ 2-3 ครั้ง และใช้เกลือไอโอดีนในการปรุงอาหารเป็นประจำค่ะ

Timeline photos 05/12/2015
Timeline photos 03/12/2015

ทะลวงหลอดเลือดด้วยภูมิปัญญาโบราณ

ตำรับสมุนไพรทะลวงหลอดเลือดสูตรลับสุดยอด ให้คนที่คุณรักลองดู
ทะลวงหลอดเลือดด้วยภูมิปัญญาโบราณ เพียง 2 นาที เป็นของขวัญอันล้ำค่าแก่พ่อแม่และเพื่อนๆ ของคุณ

ชายชาวลอนดอนคนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อเขาไปประชุมที่ปากีสถาน เกิดมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างเฉียบพลัน แพทย์ตรวจพบว่าเส้นเลือดหัวใจของเขา 3 เส้นอุดตันอย่างรุนแรง จำเป็นต้องผ่าตัดทำบายพาส

กำหนดการผ่าตัดคืออีก 1 เดือน ในช่วงระหว่างนั้นเขาไปพบหมอบำบัดมุสลิมโบราณ

หมอบำบัดให้เขาทำยาทานเองที่บ้าน เมื่อทานครบ 1 เดือน ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลเดียวกันก่อนผ่าตัด พบว่าเส้นเลือดทั้ง 3 เส้นใสสะอาด ที่เคยอุดตันก็ถูกทะลวงออกหมด

เพื่อช่วยให้คนอื่นได้รับประโยชน์ เขาได้บอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองบนอินเทอร์เน็ต รวมทั้งโชว์ภาพถ่ายเส้นเลือดของเขาก่อนและหลัง เพื่อให้แสดงความแตกต่างก่อนและหลังทานยา

วัตถุดิบที่ใช้ ...... 1 น้ำมะนาว 1 ถ้วย...... 2 น้ำขิง 1 ถ้วย...... 3 น้ำคั้นกระเทียม 1 ถ้วย...... 4 น้ำส้มสายชูแอปเปิล 1 ถ้วย

วิธีเตรียม...... 1.ลอกเปลือกกระเทียมและขิง หั่นขิงเป็นชิ้นบางๆ นำทั้งสองอย่างใส่เครื่องปั่นเครื่องคั้นน้ำผลไม้ ปั่นละเอียดแล้วเทลงบนผ้ากรอง เพื่อบีบน้ำคั้นออกมา
...... 2.นำน้ำคั้นกระเทียมและขิงลงไปในหม้อ เติมน้ำมะนาวและน้ำส้มสายชูแอปเปิลลงไป ต้มจนเดือด แล้วค่อยๆเคี่ยวไปโดยไม่ต้องปิดฝาหม้อ เพื่อให้น้ำระเหยออก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็จะได้ยาที่เคี่ยวแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณเริ่มต้น
...... 3. ตั้งทิ้งไว้จนอุณหภูมิลดลง ก็ให้เติมน้ำผึ้งลงไปผสมเพื่อให้ทานได้ง่าย (ใส่มากเท่าที่รสชาดพอจะทานได้)
...... 4.ใส่น้ำสมุนไพรนี้ในขวดแก้ว แช่ในตู้เย็นเก็บไว้

วิธีรับประทาน : ทาน 1 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารเช้าทุกวัน สามารถขจัดโรคหัวใจและหลอดเลือดให้หายขาดได้ คนทั่วไปยังสามารถใช้เป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง รวมทั้งป้องกันโรคหวัดและโรคภัยอื่นๆ ได้อีกด้วย
เมื่อทานได้ 1 เดือน ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณจะพบหลอดเลือดสะอาด เส้นที่มีการอุดกั้นถูกทะลวงไปแล้ว

อ.มาศแนะนำว่า สูตรลับนี้จะต้องบันทึกเก็บไว้นะครับ...! และต้องเผยแพร่ส่งต่อให้คนที่ท่านรักและปรารถนาดี!

อ้างอิง
benjamwu.pixnet.net/blog/post/56009901
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เพจสมุนไพรแก้ปวด
cr : @รู้ยัง

Timeline photos 03/12/2015

@ เทคนิคการจินตนาการที่ลึกล้ำ @

"การจินตนาการ" มีพลังมากอย่างที่เราคาดไม่ถึง!!

ตั้งใจอ่านแล้วทำความเข้าใจสิ่งที่โค้ชให้คำแนะนำดีๆนะคะ เพราะมันมีพลังที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้!! แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้อง "ลงมือทำ" คือเราต้อง "จินตนาการภาพฝันของเราจริงๆ" และให้ "ทำบ่อยๆ" นะคะ แล้วจะได้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตแบบใหม่ที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน!!

การจินตนาการจะเป็นการโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกของเราใหม่ อีกทั้งยังเป็นการปล่อยคลื่นพลังงานที่เป็นบวกไปดึงดูดภาพที่เห็นในจินตนาการให้มันปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราได้ด้วย ซึ่งโค้ชก็ใช้เทคนิคนี้มานานมากกก และได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ!!

ขอให้หาเวลาว่างๆ อยู่กับตัวเอง ผ่อนคลาย เปิดเพลงเบาๆ แล้วหลับตาจินตนาการภาพชีวิตที่เราอยากมี อยากเป็น

บางคนอาจจะเห็นภาพที่ชัดเจนในขณะที่จินตนาการ บางคนอาจจะเห็นภาพไม่ชัด ไม่เป็นไร เพราะแต่ละคนมีโหมดที่จะกระตุ้นตัวเอง หรือโปรแกรมจิตใต้สำนึกที่แตกต่างกัน

* บางคนโหมดภาพ * บางคนโหมดเสียง * บางคนโหมดสัมผัส *

* คนที่เป็น "โหมดภาพ"
ให้จินตนาการเสมือนหนึ่งว่า ชีวิตที่เราใฝ่ฝันมันได้เกิดขึ้นจริง ณ เวลานี้แล้ว เห็นภาพที่ชัดเจน สว่าง สีสันสดใส เห็นภาพความสุข ภาพความสำเร็จ ภาพความร่ำรวย ตัวตนคนใหม่ที่เราอยากจะเป็น ถ้าเรามีสิ่งนั้นเดี๋ยวนี้แล้ว >> เรารู้สึกอย่างไร สัมผัสกับอารมณ์และความรู้สึกนั้นบ่อยๆ

* คนที่เป็น "โหมดเสียง"
ให้ใช้เสียงในการกระตุ้นแทนในระหว่างที่กำลังจินตนาการ เช่น ได้ยินเสียงพ่อแม่ชื่นชมเรา คนที่เรารักชื่นชมเรา เพื่อนฝูงชื่นชมเรา เขาพูดว่าอะไร น้ำเสียงสดใสหรืออ่อนโยนแบบไหน >> เรารู้สึกอย่างไร สัมผัสกับอารมณ์และความรู้สึกนั้นบ่อยๆ

* คนที่เป็น "โหมดสัมผัส"
ให้จินตนาการใส่ความรู้สึกว่าได้รับการสัมผัส จับมือ หรือได้รับการโอบกอดอย่างอบอุ่นจากพ่อแม่หรือเพื่อนหรือคนที่เรารัก >> เรารู้สึกอย่างไร สัมผัสกับอารมณ์และความรู้สึกนั้นบ่อยๆ

นี่คือสุดยอดเคล็ดวิชาของการจินตนาการ ซึ่งจะเป็นการโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกใหม่ ทั้งยังเป็นการปล่อยกระแสคลื่นพลังงานบวกออกสู่จักรวาล เป็นกฎของแรงดึงดูดที่ทรงพลังสุดๆซึ่งจะดึงเอาสิ่งที่เราปรารถนาให้ปรากฏเป็นจริงในชีวิตเราอย่างมหัศจรรย์!!

ความจริงโค้ชมีทำเครื่องมือที่ช่วยให้เราจินตนาการได้ง่ายขึ้น โดยใส่เสียงเพลงประกอบอย่างดีเอาไว้ใน audio cd "ติดเทอร์โบให้ชีวิต" แค่เราเปิดฟังเสียงโค้ชแล้วปลดปล่อยความฝันและแรงบันดาลใจออกไปให้กว้างไกล โค้ชจะมีพูดพาเราจินตนาการเห็นภาพดีๆที่เป็นบวก นอกจากนั้นใน cd ชุดนี้ยังมีอีกหลายเทคนิคในการโปรแกรมสมองและจิตใต้สำนึกใหม่ด้วย แต่ขอไม่เขียนไว้ตรงนี้มิเช่นนั้นบทความนี้จะยาวเกินไป มีลูกศิษย์หลายคนกรี๊ดสนั่นกับแรงดึงดูดและพลังอันมหัศจรรย์หลังจากฝึกตัวเองจาก cd ชุดนี้ด้วยค่ะ

ลองจินตนาการดูอย่างน้อย 21 วันต่อเนื่องนะคะ แล้วคุณจะทึ่งกับผลลัพธ์แบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นค่ะ!!

ด้วยรักและปรารถนาดีจากใจ

โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ

#นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ
-Changing Master
#ปลุกยักษ์คนนับล้านทั่วประเทศ

Timeline photos 03/12/2015

** ระวังปิดไฟเล่นสมาร์ทโฟน – คอมฯ เสี่ยงโรคซีวีเอส **

แพทย์ชี้วัยรุ่นแชทมือถือมากเสี่ยงคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม แนะไม่ควรใช้มือถือ -คอมฯ ในที่มืดและนานเกินไป

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า การติดต่อสื่อสารปัจจุบันในรูปแบบสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตและคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน เนื่องจากมีความทันสมัยและสะดวกรวดเร็ว แต่การใช้งานที่มากเกินความจำเป็นอาจส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งหนึ่งในโรคที่อาจส่งกระทบต่อสุขภาพ คือ “คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม” (Computer Vision Syndrome) หรือ “โรคซีวีเอส” คนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น เกินสองถึงสามชั่วโมง มักจะมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัวร่วมด้วย อาการทางสายตาเหล่านี้เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็น เวลานานเกินไป อาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75 ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี อาการในบางคนอาจเป็นเล็กๆ น้อยๆ ไม่บั่นทอนการทำงาน หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์สักครู่ก็หายไป บางคนอาจต้องว่างเว้นการใช้เป็นวันก็หายไป บางรายอาจต้องใช้ยาระงับอาการ

“สาเหตุของโรคคอมพิวเตอร์ วิชั่นซินโดรมเกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนานๆ และไม่ค่อยกระพริบตา หากเราอ่านหนังสือหรือนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบจะลดลง ประกอบกับแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ตาเมื่อยล้า ทั้งแสงจ้าและแสงสะท้อนมายังจอภาพ อาจเกิดจากแสงสว่างไม่พอเหมาะ มีไฟส่องเข้าหน้าหรือหลังจอภาพโดยตรง หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างปะทะหน้าจอภาพโดยตรง ก่อให้เกิดแสงจ้าและแสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้ ทำให้เมื่อยล้าตาง่าย ระยะทำงานที่ห่างจากจอภาพไม่เหมาะสม มีสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวไม่มากโดยการทำงานตามปกติไม่ก่อให้เกิดอาการ แต่ถ้ามาทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะก่ออาการเมื่อยล้าตาได้ บางรายมีโรคตาบางอย่างประจำตัวอยู่ เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ตลอดจนโรคทางกาย เช่น ไซนัสอักเสบ โรคหวัด ภูมิแพ้เรื้อรัง หรือ ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่อต้องปรับสายตามากเวลาใช้คอมพิวเตอร์ จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยตาได้ง่าย การทำงานจ้องจอภาพนานเกินไป ย่อมเกิดอาการทางตาได้ง่ายจากการเกร็งกล้ามเนื้อตาตลอดเวลา” นพ.สุพรรณ กล่าว

อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับ การแก้ไขกันและป้องกันคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมหรือโรคซีวีเอส คือ ฝึกกระพริบบ่อยๆ ตาขณะทำงานหน้าจอ และหากแสบตามาก อาจใช้น้ำตาเทียมช่วย ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ ควรปรับห้องและบริเวณทำงาน อย่าให้มีแสงสะท้อนจากหน้าต่าง หลอดไฟบริเวณเพดานห้อง ไม่ควรให้แสงสะท้อนเข้าตา และไม่หันจอภาพเข้าหน้าต่าง ควรใช้แผ่นกรองแสงวางหน้าจอหรือใส่แว่นกรองแสง จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ในระยะที่ตามองได้สบายๆ ปรับเก้าอี้นั่งให้พอเหมาะ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ใช้แว่นตา 2ชั้น จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตา เพื่อจะได้ตรงกับเลนส์แว่นตาส่วนที่ใช้มองใกล้ ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆต่อเนื่อง ควรปรึกษาจักษุแพทย์ ใช้แว่นตาเฉพาะดูได้ทั้งระยะอ่านหนังสือ ระยะจอภาพ และระยะไกล เป็นกรณีพิเศษ หากมีสายตาผิดปกติหรือโรคตาบางอย่างอยู่ ควรแก้ไขและรักษาโรคตาที่เป็นอยู่ควบคู่ไปด้วย และหากงานในหน้าที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทุก 1 – 2 ชม. ควรมีการพักสายตา โดยละสายตาจากหน้าจอ แล้วมองออกไปไกลๆ หรือหลับตาสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่

Cr : Japkha.com

Website