Healthy&Beauty BY Beer
จำหน่ายและให้ข้อมูลด้านสุขภาพ&ความงาม
สินค้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาจาก สเตมเซลล์ที่สมบูรณ์ที่สุด ช่วยผสานเซลล์ผิวให้คงความอ่อนเยาว์ อย่างได้ผลและเป็นที่น่าพึงพอใจแก่ผู้ใช้มากกว่า 90% ทั่วโลก
ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ลาบ ส้มตำ
เมนูมื้อกลางวันสุดแซ่บถูกปากใครต่อใครหลายคนทั้งไทยเทศโกอินเตอร์ไม่แพ้ต้มยำกุ้ง เมนูอีสานชุดนี้ให้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ทั้งคุณภาพและปริมาณ คือ มีอาหารครบ 5 หมู่ ส่วนด้านปริมาณนั้นหมายถึงได้พลังงานแคลอรีที่เพียงพอเหมาะสมต่อหนึ่งวัน ผู้ที่อ้วนหรือมีน้ำหนักเกินก็กินได้ แต่อาจต้องลดปริมาณของข้าวเหนียวลงมาให้เหลือครึ่งขีด แล้วกินผักสดเพิ่มขึ้นจะช่วยลดพลังงานที่ได้จากข้าวลงได้มาก แต่ให้ความอิ่มได้เช่นเดิม ผู้ที่ผอมก็เพิ่มปริมาณการกินอาหารทุกอย่างได้ ทั้งข้าวเหนียว ไก่ย่าง ส้มตำ ลาบ และผัก มีข้อควรระวังอยู่เล็กน้อยในเรื่องความสะอาดของผักสดและส้มตำ ต้องให้แน่ใจว่าสะอาดไม่ว่าจะเป็นการทำกินเองที่บ้านหรือกินนอกบ้าน
(เครดิตภาพ : thetrippacker, ครูจุ่น, Suvanai's Space, Supermop, gakisanji, บัวนลิน)
ต้องลอง!! 5 ผลไม้..ที่ช่วยขับล้างพิษของเสียในร่างกาย และยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารของคุณ� อาหารมีทั้งคุณและโทษ การรับประทานอาหารไม่สมดุลกับความต้องการของร่างกาย รับประทานไม่ถูกวิธี หรืออาหารที่รับประทานปนเปื้อนสารพิษ
😨😠😨
» เตือนนะ..!! ระวังพิษร้ายแรงใน “แคนตาลูป” ขนาดคนปลูกปอดหาย แล้วคนกินล่ะ ? ไปดูกัน..!! แคนตาลูป ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มาก แต่เนื่องจากมันไม่ใช่ผลไม้ที่ปลูกได้ง่ายในบ้านเรา ฉะนั้น การปลูกแคนตาลูป จำเป็นที่จะต้องใช้สารเคมีที่แรงและฉีดบ่อยๆ เพราะแคนตาลูปเป็นพืชที่อ่อนไหวต่อสภาพดินฟ้าอากาศ และแมลงเป็นอย่างมาก เพียงแค่เห็นจุดดำเล็กๆ ที่ใบในตอนเช้า แต่มันสามารถกระจายไปทั้งไร่ได้ เพราะฉะนั้น…
😨😨
» เตือนแล้วนะ…!! ไม่ฟังก็ตามใจ ”ผัก 5 ชนิด” ไม่ควรกินดิบ..เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ..ถึงชีวิ เตือนแล้วนะ…!! ไม่ฟังก็ตามใจ ”ผัก 5 ชนิด” ไม่ควรกินดิบ..เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ..ถึงชีวิต!! 24 Feb 16
น้ำผึ้ง : ยาสมานแผลชั้นเลิศ
น้ำผึ้งเป็นน้ำตาลเข้มข้น (แบบน้ำเชื่อม) โดยที่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ จะให้พลังงาน 64 แคลอรี ขณะที่น้ำตาลทรายให้เพียง 46 แคลอรี ดังนั้นหมอจะห้ามคนไข้เบาหวานกินน้ำผึ้ง เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้มากกว่าการกินน้ำตาล และคนทั่วไปควรกินแต่พอเหมาะ ถ้ากินมากไป อาจทำให้น้ำหนักขึ้นแบบเดียวกับน้ำตาลได้
สรรพคุณทางยา ที่ใช้แก้ไอและรักษาแผล
1. ใช้จิบแก้ไอ
โดยการผสมน้ำผึ้ง 3-4 ส่วน กับน้ำมะนาว 1 ส่วน ควรเคี่ยวน้ำผึ้งบนเตาไฟให้เดือด ก่อน เมื่อปล่อยให้เย็นแล้ว ค่อยเติม น้ำมะนาวลงไป สามารถเก็บใส่ขวด แบ่งจิบแก้ไอได้บ่อยๆ เหมาะสำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก และผู้ที่มีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย นอกจากใช้แก้ไอแล้ว ยังให้พลังงานแก่ร่างกายแทนข้าวได้อีกด้วย
2. ใช้รักษาแผล
ทั้งแผลสดและแผลเปื่อย (เรื้อรัง) โดยการทำแผลให้สะอาด เช่น ถ้าเป็นแผลสด หากมีดินทรายเปรอะเปื้อน แรกสุดให้ฟอกล้างด้วยน้ำกับสบู่ให้เศษดินทรายออกเสียก่อน ใช้สำลีหรือผ้ากอซ เช็ดแผลให้แห้ง แล้วใช้น้ำผึ้งทาลงบนเนื้อแผล ปิดด้วยผ้ากอซ วันต่อไปเปิดทำแผลรอบใหม่ ให้ใช้น้ำเกลือหรือน้ำสุกชะเนื้อแผล (ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ โพวิโดนไอโอดีน ชะถูกเนื้อแผล แต่อนุโลมให้ชะบนผิวหนังรอบๆ แผลได้ ทั้งนี้ เพราะน้ำยาเหล่านี้จะทำลายเซลล์หรือเนื้อเยื่อในแผล อาจทำให้แผลหายช้าได้) แล้วใช้น้ำผึ้งทาบนเนื้อแผลแล้วปิดด้วยผ้ากอซ ทำแผลวันละ 1-2 ครั้ง จะสังเกตว่าเนื้อแผลจะแดง ไม่มีหนองหรือการติดเชื้อ และเซลล์ผิวหนังจะงอกจากขอบแผลเข้า มาปกคลุมเนื้อแผลในเวลาไม่กี่วัน
สำหรับแผลเปื่อย หรือมีคราบหนอง (เช่น แผลเบาหวาน แผลจากแรงกดทับ แผลเรื้อรังอื่นๆ) การทำ แผลควรหาทางเอาคราบหนองออกเสียก่อน (เช่น ใช้ไม้พันสำลี หรือผ้ากอซ ชุบน้ำเกลือหรือน้ำสุก ขูดหรือเขี่ยเอาคราบหนองออก) แล้วทาแผลด้วยน้ำผึ้งให้ชุ่ม แล้วใช้ผ้ากอซปิด ในระยะแรกควรทำแผลวันละ 2 ครั้ง เมื่อเนื้อแผลเริ่มแดงและแห้งดีจึงค่อยลดเหลือ 1 ครั้ง เมื่อแผลสะอาด (ไม่มีคราบหนอง เนื้อแผลแดง หรือมีเลือดซิบ) ก็จะมีเซลล์ผิวหนังงอก จากขอบแผล ค่อยๆ เข้ามาปกคลุมเนื้อแผล
เหตุผลที่น้ำผึ้งมีสรรพคุณสมานแผลได้ดี ก็เนื่องมาจากความเข้มข้นของน้ำผึ้ง จะทำให้เชื้อโรคฝ่อตาย ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า สิ่งที่มีความเข้มข้นกว่า (เช่น น้ำผึ้ง) จะดูดสารน้ำจากสิ่งที่เข้มข้นน้อยกว่า (เช่น เชื้อโรค)
หากไม่สามารถหาน้ำผึ้งหรือต้องการประหยัด ก็สามารถใช้น้ำเชื่อมเข้มข้นแทนได้ ซึ่งก็เคยมีงานวิจัยยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน โดยใช้น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร เคี่ยวบนเตาไฟ จนเป็นน้ำเชื่อมเข้มข้น ใส่ขวด เก็บในตู้เย็น เมื่อต้องการก็นำออกมาใช้เป็นครั้งคราว ก็นับว่าสะดวกและราคาถูกดี
(เครดิตภาพ : Bggaro, innnews, EMINEM 182)
ที่บ้าน ท่านปลูก มะนาวหรือยัง
ตัดชิ้นบางๆของมะนาว🍋ใส่ในแก้ว🍋หรือโถ แล้วดื่มมันจะกลายเป็นน้ำที่มีความเป็นด่างสูงมาก เชื้อโรคในร่างกายไม่สามารถเติบโตในสภาพที่มีความเป็นด่าง
ดังนั้น การทานน้ำด่างทุกวัน จึงช่วยทำลายเชื้อโรค ดื่มน้ำด่างจะทำให้มีสุขภาพดีขึ้นมาก
สถาบันทางวิทยาศาตร์อนามัย ระบุว่า นี่คือยาที่มีผลต่อมะเร็งดีเยี่ยมล่าสุดของโลก
🍋🍋🍋เป็นผลไม้ที่มหัศจรรย์มากที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้เป็น 1หมื่นเท่ามากกว่า-เคโมเทอราฟี ..
ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย เพราะว่า ปฏิบัติการห้องแล็บส่วนใหญ่นั้นไม่ยอมพูดเรื่องนี้เพราะมันจะทำให้สูญเสียผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไป
เราท่านทั้งหลายสามารถช่วยเพื่อนท่านได้
ในการบอกให้เขาหรือเธอเหล่านั้น ว่า
🍋น้ำมะนาวนั้น มีประโยชน์ยิ่งในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ มีรสชาติที่ดี และไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการฉีดคีโมฯ คนมากมายอาจตาย ในขณะที่ความลับที่ป้องกันมะเร็งนี้ได้ถูกเก็บงำเอาไว้ เพื่อไม่ให้ต้องการทำลายผลประโยชน์
นับล้านๆ ของบริษัทยาใหญ่ๆ
ทราบไหมว่า (มะนาวแป้น มะนาวทุกชนิด) ท่านจะกินมะนาวเหล่านี้ในวิธีต่างๆก็ได้ เช่น กินเปลือก กินน้ำ หรือคั้น หรือเตรียมเป็นเครื่องดื่มใดๆ ก็ตาม แต่ที่เราชอบ และมันทำได้หลายอย่าง แต่ถ้าดื่มน้ำ(มะนาว)มะนาวผสมกับโซดาจะทำให้น้ำมะนาว ดูดซึมเข้าร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ที่น่าสนใจ คือ มันขจัด ซีสต์ได้ (ก้อนเนื้อร้าย) ..
ผลไม้ชนิดนี้ พิสูจน์แล้วว่า สามารถต่อต้านมะเร็งได้ อย่างดีเยี่ยม มีคนกล่าวไว้ว่า
(🍋)มันมีผลประโยชน์ในการกำจัดมะเร็งหลายชนิด
(🍋)ป้องกันการอักเสบของเชื้อแบตทีเรีย เชื้อราได้
(🍋)สามารถที่จะต่อต้านพาราไซส์ที่อยู่ข้างใน
(🍋)ทำให้เกร็ดลือดที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป เข้าสู่ภาวะปกติ
(🍋)ทำให้คลายเครียด
(🍋)ต่อต้านโรคประสาท
(🍋)ป้องกันโรคฟุ้งซ่าน
ข่าวสารเรื่องนี้มาจากบริษัทผลิตยาขนาดใหญ่มากกว่า 20 บริษัทในโลกได้ทำการทดลองเรื่องนี้ผลการทดลองเปิดเผยออกมาได้ว่า
(มะนาว)มะนาวสามารถทำลาย
มะเร็งเนื้อร้ายที่รุนแรงได้ถึง 12 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
- มะเร็งลำไส้เล็ก
- มะเร็งเต้านม
- มะเร็งต่อมลูกหมาก
- มะเร็งปอด
- มะเร็งตับอ่อน
(🍋)ส่วนผสมของไซทัสหรือมะนาว มีความสามารถในการทำลายมะเร็งได้มากกว่ายาที่ใช้การทำคีโมทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหยุดอยู่กับที่(คงที่)
นอกจากนี้มันยังเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมากในการรักษาด้วยมะนาวนี้ สามารถทำลายต่อต้านมะเร็งได้อย่างรุนแรง โดยไม่มีผลข้างเคียง
มาดื่มน้ำมะนาวกันเถอะ
((( Wow wow wow... )))
แกนสับปะรด & ใบโหระพา
แก้หินปูนเกาะตามข้อ..ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
คนที่มีหินปูนเกาะตามข้อกระดูกจะทำให้ รู้สึกปวดเวลาเดิน มีอาการบ่อยๆ เป็นๆ หายๆ วิธีแก้ด้วยหลักโภชนาบำบัด ให้เอาแกนสับปะรด จำนวน 2 ขีด กับ ใบโหระพาสด 2 ขีด ใส่น้ำที่ต้มสุกปล่อยให้เย็น 3 แก้ว ปั่นจนละเอียดแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ กินครั้งละ 1 แก้ว เช้า เย็น ก่อนอาหาร ทำกินประจำจนกว่าจะรู้สึกว่าเบาตัว ไม่ปวดตามข้อเวลาเดินอีก สามารถหยุดกินได้ เป็นเมื่อไหร่ทำกินใหม่
ระหว่างที่กิน แกนสับปะรดใบโหระพา ให้ดียิ่งขึ้น ให้เอาขิงแก่ หั่นแผ่นบางๆ กะจำนวนตามต้องการ หรือตามวัตถุประสงค์ที่จะใช้ ผสมกับเกลือสมุทร หมายถึงเกลือเกล็ดเม็ดใหญ่ๆ บรรจุกระสอบวางขายริมถนนข้างนาเกลือ จ.สมุทรสงคราม จำนวนตามสมควร เทน้ำร้อนปนน้ำเย็นให้น้ำอุ่นๆลงไปในภาชนะ แล้วเอาส่วนที่ปวดเนื่องมาจากหินปูนเกาะลงไปแช่ 5-10 นาที หรือจะทำในอ่างอาบน้ำแช่ทั้งตัวก็ได้ จะช่วยทำให้เส้นตึงหายเร็วขึ้นด้วย
สับปะรด เนื้อผลแก้ไอขับเสมหะ เหง้าขับปัสสาวะแก้นิ่ว ลำต้นมีเอนไซม์ย่อยโปรตีน ใช้เป็นยาลดอาการอักเสบและบวมจากการถูกกระแทก บาดแผล หรือการผ่าตัด มีการผลิตเป็นยาเม็ดชื่อ ANANASE FORTE TABLET
โหระพา ใบสดแก้ท้องอืดเฟ้อ ขับลม มีน้ำมันหอมระเหย เมล็ดแช่น้ำพองตัวเหมือนแมงลัก เป็นยาระบาย เนื่องจากไปเพิ่มจำนวนกากอาหาร (BULK LAXATIVE)
สรรพคุณ... สัปปะรดกับใบโหระพา
สัปปะรด มีรสเปรี้ยวหวาน จะช่วยขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ขับเสมหะ แก้ไอ
ใบโหระพา ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้ปวดประจำเดือน เป็นยาอายุวัฒนะ
วิธีทำ
1. เตรียมเนื้อสัปปะรด 1 หัว ใบโหระพา 1 ขีด และน้ำ 1/2 ลิตร
2. นำสัปปะรดมาหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดพอคำรวมทั้งแกนสัปปะรดด้วย
3. นำสัปปะรดและใบโหระพามาปั่นผสมน้ำ จนได้ที่แล้วกรองกากออก ดื่มได้เลยคะ
สรรพคุณของเครื่องดื่มนี้คือ
1. ทำให้เม็ดเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดีขึ้น
2. เพิ่มเม็ดเลือดแดง หากต้องการให้เพิ่มเม็ดเลือดขาว ต้องใส่แกนสัปปะรดด้วย
3. ช่วยลดความดันโลหิตสูง
4. ลดลมในตัว
5. ช่วยแก้ไม่ให้เลือดข้นหรือหนืดเกินไป
6. ช่วยบำรุงหัวใจ
7. ลดอนุมูลอิสระ
8. นำมาตำใช้พอกแก้ไขข้ออักเสบ...
Cr : กลุ่มโลกสมุนไพร, สมุนไพรไทย รักษาโรค
ภาพ : pornthip jantaraben
สรรพคุณน้ำมะพร้าวอ่อน
1.ลดไข้ วุ้นเนื้อมะพร้าวอ่อนกับน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาเย็น ช่วยให้อาการไข้ตัวร้อนทุเลาลง
2. แก้ร้อนใน ดื่มน้ำมะพร้าวในตอนเช้าให้หมดลุกและตอนบ่ายอีกหนึ่งลูกจนหมด กินเนื้อด้วยก็ได้
3. รักษาดีซ่าน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนครั้งละ 3 ผล เช้า กลางวัน เย็น ทุกวันเพียง 2 วันก็หายได้
4. แก้ตาอักเสบ เอาน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วยผสมน้ำตาลทรายแดงให้หวานจัดๆเอาไว้ดื่ม วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น อาการอักเสบที่ตาจะค่อยๆหายไปเองในที่สุด
5. แก้โรคบิด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น แก้โรคบิดได้ดีมาก
6. บำรุงผิวพรรรณ ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนสัปดาห์ละ 4 -5 ผล ช่วยบำรุงผิวพรรณ แก้ผดผื่นคัน บำรุงร่างกายให้สดชื่น
7. แก้ปัสสาวะขัด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น
8. แก้ปวดศีรษะ ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ไม่ช้าไม่นานก็หายปวดหัว
9. แก้พิษเบื่อเมา ได่ดี ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูกไม่กินเนื้อ อีก 2 -3 ชั่วโมง ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเย็นเข้าไปอีก แก้วิงเวียน เมา ปวดท้อง ปวดไส้ ล้างพิษที่เกิดขึ้นได้ดี
10 แก้เมาเหล้า เอาน้ำมะพร้าวอ่อน ไม่ต้องแช่เย็น ดื่อมแก้เมา แก้อาเจียน จากเหล้าได้ดี
11. แก้คลื่นไส้อาเจียน เอาน้ำมะนาว 1 ซีกบีบผสมน้ำมะพร้าวอ่อน ดื่มแก้อาเจียนได้ดี
(ขอบคุณสรรพคุณน้ำมะพร้าวอ่อนจากหนังสือ บทบาทต่อสุขภาพและความงาม โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา)
เคล็ดไม่ลับเพื่อสุขภาพ ♡♡♡
กระชายดีกว่าโสม ไม่ว่าโสมชนิดไหนมีคุณสมบัติพิเศษคือสารทั้งหลายในโสมทั้งสารดีและสารร้าย มันไม่สามารถถูกขับออกจากร่างกายได้ รับประทานแล้วจะหมุนเวียนอยู่ในร่างกาย คือยาบางตัวรับประทานเข้าไป ขับถ่ายล้างออกไปได้ หรือบางทีกินหัวไชโป๊ว กินอะไรไปก็ล้างออกหมด แต่โสมล้างเท่าไหร่ไม่ออก พอกินไปนานๆ มันจะหมุนเวียนอยู่ในร่างกายเรา ทำให้เลือดเหนียว เลือดเหนอะ แล้วจะเดินตัวแข็ง แขนแข็ง ขาแข็ง ยืดขาลำบาก นั่งนานๆ ไม่ได้ นั่งนานจะลุกลำบาก นั่นเป็นผลจากการกินโสม
ในประเทศไทยเรามีสมุนไพรไทยตัวหนึ่งเหมือนโสมทุกอย่างในด้านดี คุณประโยชน์ด้านดีเหมือนโสมทุกอย่าง เสียอย่างเดียวมันไม่มีสารพิษแบบโสม ราคาเลยถูกกว่าเยอะ
ตัวนั้นคือกระชาย แล้วกระชายที่ดีที่สุดต้องเป็นกระชายเหลือง (กระชายเหลืองคือกระชายที่ใช้ปรุงเครื่องแกงต่างๆ) คุณสมบัติของกระชายที่มีตัวยาสูงสุดคือ กระชายเหลือง รองลงมาคือกระชายแดง ัแล้วตัวบ๊วยคือกระชายดำ ที่คนไทยเราไปเห่อและไปโปรโมทตัวบ๊วยคือกระชายดำ จนทำให้ราคาแพง แล้วก็เอาไปกินกันยกใหญ่ เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ท่านไปบรรยายที่จังหวัดเลย คนมีปัญหาโรคไตถามว่าจะต้องกินอะไร อาจารย์แนะนำให้ดื่มน้ำกระชาย คนอีสานเขาไม่รู้จักกระชาย แต่เขาพยายามไปหามา เขาไปขุดหัวกระชายดำมาให้ดูว่าอย่างนี้ใช่หรือเปล่า ธรรมดาสมุนไพรสีดำทุกชนิดจะช่วยบำรุงไต ไม่ว่าจะเป็นขิงดำ กระชายดำ ไพรดำ
อาจารย์เห็นว่าเป็นกระชายดำก็บำรุงได้ จึงบอกว่าให้เอาไปดื่มปรากฎว่าหลังจากนั้นหายจากโรคไต เลยร่ำลือกันใหญ่ว่ากระชายดำรักษาไตได้ แล้วต้องเป็นกระชายดำจังหวัดเลย เพราะว่าคนหายคนแรกอยู่ที่จักหวัดเลย จนกระทั่งกระชายดำราคากิโลกรัมละ 200 บาท กระชายธรรมดากิโลกรัมละ 20 บาท ต่อมาอาจารย์สุทธิวัสส์พูดชี้แจงความจริงทางรายการวิทยุ จนตอนนี้กระชายดำเหลือกิโลกรัมละ 20 บาท กระชายเหลืองกิโลกรัมละ 40 บาท ทำเอากระชายเหลืองขึ้นราคา เพราะคนดื่มกันมากแล้วทำเป็นเครื่องดื่มได้อร่อย
วิธีทำ คือเอากระชายมาตำ หรือปั่นแลัวคั้นน้ำ จะได้หัวเชื้อกระชาย ถ้าอยากให้ไม่มีกลิ่นฉุนก็ใส่ใบกระเพรา ใบโหระพา ลงไปด้วยจะได้ช่วยดับกลิ่นกระชาย แต่จะได้สรรพคุณคือเพิ่มเม็ดเลือดขึ้นมา
คนที่นิยมกินหญ้าปักกิ่ง กินแล้วท้องอืด ถ้าใส่น้ำกระชายลงไปจะเสริมสรรพคุณหญ้าปักกิ่งให้ดีขึ้น น้ำใบบัวบกผสมกับน้ำกระชายบำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ดีมาก
สูตรมาตรฐาน วิธีทำน้ำกระชายสำหรับดื่ม
นำเอากระชายเหลือง (กระชายที่ใส่ผสมในเครื่องแกง) มา 500 กรัม(ครึ่งกิโลกรัม) ปั่นกับน้ำ 2 ลิตร แล้วกรองเอาแต่น้ำ ถ้ากลัวกลิ่นกระชายไม่หอม ให้ใส่ใบกระเพรา ใบโหระพา หรือใบบัวบก อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะใส่ทุกอย่างก็ได้ลงปั่น
และถ้าเป็นใบบัวบกจะช่วยบำรุงสมองได้ด้วย ไม่มีกลิ่นกระชายนำมาดื่มได้ทันที เหลือเก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าจะปรุงรสเพิ่มเติมเพื่อความอร่อยให้ดื่มง่าย
สำหรับคนไม่ชอบกลิ่นกระชาย เวลาดื่มให้รินน้ำกระชายเพียงครึ่งแก้ว แล้วเติมสไปรท์ หรือเซเว่นอัฟ ถ้าเป็นเด็กก็ให้เติมเฮบลูบอยสีเขียวจะหอมมาก และใส่โซดา ส่วนผสมไม่มีสูตรตายตัว ให้ถือเอาความอร่อยความถูกปากถูกใจผู้ดื่มเป็นสำคัญ
เด็กๆ ถ้าให้ดื่มบ่อยๆ จะไม่ค่อยป่วย ผู้ใหญ่ดิ่มเป็นประจำจะทำให้หัวใจแข็งแรง บำรุงไต บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง บำรุงกระดูก ปรับความดันสูงไป หรือต่ำไป ปรับให้พอดี และปรับฮอร์โมนผู้หญิง เพราะถ้ามีฮอร์โมนมากไปจะเป็นมะเร็งเต้านม ฮอร์โมนน้อยไปก็จะเป็นมะเร็งมดลูก กระชายจะปรับให้สมดุล ใครความดันมากก็จะลด ใครความดันต่ำก็จะเพิ่ม ประโยชน์ของการกระชาย กระชายไม่เพิ่มฮอร์โมน แต่ปรับฮอร์โมน
คนกระดูกผุ กระดูกพรุน หมอบอกว่าเป็นโรคกระดูกบาง ให้ดื่มพักเดียวไปตรวจใหม่หมอจะงงว่าทำไมกระดูกตัน น้ำกระชายยังเป็นตัวหนึ่งที่บำรุงสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน
สรรพคุณของกระชาย (เพิ่มเติมจาก : ข้อมูลสมุhttp://xn--q3ckp4k.com/)
ในน้ำกระชาย 1 แก้ว มีคุณค่าสูงกว่านม 1 แก้วหลายๆเท่า มีวิตามิน ซี บี 1 บี 3 บี 5 และแคลเซี่ยม...... - ช่วยให้ เส้นผมแข็งแรง ผมขาวกลับดำ ผมบางกลับหนา มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง กระดูกไม่เปราะบาง...... - ช่วยบำรุงหัวใจ ระบบกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง เต้นสม่ำเสมอ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น...... - ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคกระเพาะ ช่วยขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร...... - แก้โรคในช่องปากและคอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ แก้ปวดมวนในท้อง แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร รักษาแผลในปาก กลาก เกลื้อน...... - บำรุงสมอง เพราะช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น ถ้ากินคู่กับใบบัวบก จะบำรุงสมองได้โดยตรง ต้องกินเป็นประจำเพื่อป้องกันความจำเสื่อม...... - ปรับสมดุลของความดันโลหิตให้พอดี ไม่ให้สูงมากหรือต่ำมากเกินไป...... - ช่วยบำรุงตับไตให้แข็งแรง ช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้น ดูแลระบบมดลูก รังไข่ กระเพาะปัสสาวะ ดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง...... - ช่วยฟื้นฟูต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ต่อมไธรอยต์ ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต และตับอ่อน เมื่อต่อมไธรอยต์ปกติดีจะไม่เป็นโรคคอพอก และยังมีส่วนในการช่วยลดกรดยูริค...... - ช่วยบำรุงมดลูก แก้ตกขาว ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนแอสโตรเจน ในเพศหญิง เนื่องจาก ถ้าผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศหญิงในตัวมากเกินไปก็อาจเป็นมะเร็งเต้มนม หรือถ้ามีน้อยไปก็อาจจะเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วยซับน้ำคาวปลา สตรีหลั่งคลอดบุตร...... - ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ในเพศชาย ควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต แก้ปัญหาไส้เลื่อน ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง ทำให้กระปรี้กระเปร่า และใช้บำบัดโรคกามตายด้าน ทำให้กระชุ่ม กระชวย มีกำลัง เสริมสมรรถทาพทางเพศอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย
กระชาย ถ้านำไปเปรียบกับโสม ราคามันต่างกันราวฟ้ากับดิน ของถูกๆ คนไทยไม่นิยม ชอบของแพงตามภาษาของคนรสนิยมสูงรายได้ต่ำ
วันนี้ถ้าคิดว่าของไทยเราดี น่าจะลองกันสักตั้ง เงินไทยจะได้ไหลออกน้อยๆ หน่อย
Cr. Ken Pitakwong
รู้เท่าทัน ก่อนกิน “สับปะรด” ผลไม้หลายตา อร่อย กรอบ หวาน ซ่อนเปรี้ยว ที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคหลายอย่าง จะมีภัยร้ายอะไรรอเราอยู่น๊ะ...
น้ำมะพร้าวอ่อน"....พระเอกตัวใหม่ในวงการแพทย์... ในทางอายุรเวช น้ำมะพร้าว ถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ ที่ช่วยในการักษาและมีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น ช่วยล้างพิษ ดูดซับและขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั..
สมุนไพรลดน้ำตาลในเลือด
1. เตยหอม สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ รากช่วยขับปัสสาวะ ที่สำคัญรักษาเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด
วิธีการ นำเอาใบเตยหรือรากไปล้างให้สะอาดจากนั้นนำมาสับให้ละเอียด นำไปปั่นกับเครื่องปั่นไฟฟ้า คั้นเอาแต่น้ำจากนั้นเอาไปต้มและกรองเอาน้ำมาทานเป็นยา ทานก่อนอาหารวันละ 1 ถ้วย เช้า กลางวัน เย็น
2. มะระ หรือ มะระขี้นก สรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหาร เนื้อมะระสามารถนำไปพอกแผลได้ ที่สำคัญรักษาเบาหวานและลดน้ำตาในเลือด
วิธีการ ทานคู่กับน้ำพริกหรืออาหาร เช่น น้ำพริกกะปิ หรือ จะเอาเนื้อมาสับๆและคั้นเป็นน้ำมาดื่มก็ได้ ทานวันละ 1 ผลหรือ 1 แก้ว เช้า/เย็น
3. ว่านหางจระเข้ สรรพคุณอาการถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แก้อาการอักเสบทางเดินอาหาร รักษาริดสีดวง รักษาเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด
วิธีการ ปลอกเอาส่วนที่เป็นเนื้อหรือเป็นวุ้นมาทาน วันละ 2 ช้อนชา เช้า/เย็น
4. มะแว้งต้น สรรพคุณ ช่วยแก้อาการไอ มีเสมหะ ลดน้ำตาลในเลือด
วิธีการ นำผลมะแว้งต้นมาทานกับอาหาร เพื่อรักษาเบาหวาน หรือ นำมะแว้งต้นมาครกแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ใส่เกลือลงไปนิด จิบบ่อยๆจนกว่าอาการไอจะหาย
5. ลูกใต้ใบ สรรพคุณ ช่วยระบบขับปัสสาวะได้ดี แก้ไข้ได้ ลดน้ำตาลในเลือด
วิธีการ นำต้นลูกใต้ใบมาล้างน้ำให้สะอาด หั้นเป็นท่อนๆเอาไปต้ม แล้วเอาน้ำมาดื่ม ครั้งละ 2 แก้ว เช้า/เย็น
6. ฝรั่ง สรรพคุณรักษาอาการท้องร่วง ดับกลิ่นปาก ลดน้ำตาลในเลือดได้ดี
วิธีการ นำใบฝรั่งสดล้างแล้วมาเคี้ยวดับกลิ่นปาก หรือ นำเอาใบสดไปล้างประมาณ 15 ใบ ไปต้มกรองเอาแต่น้ำมาดื่ม
7. หอมหัวใหญ่ สรรพคุณ ลดน้ำตาลในเลือด ซึ่งควรรักประทานอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอทุกวัน บรรเทาอาการเบาหวานแต่ต้องควบคุมปริมาณอาหาร
วิธีการ นำมาต้มและคั้นเอาน้ำมาดื่ม หรือทานสดๆ ทานคู่กับเมนูยำหรืออาหารเช้า วันละ 1 หัว
8. ข้าว สรรพคุณรักษาอาการเหน็บชา สำหรับรากต้นข้าวเหนียว รักษาอาการเบาหวานและลดน้ำตาลในเลือด
วิธีการ นำเมล็ดมานึ่ง ต้ม ทานตามปกติหรือเอารากต้นข้าวเหนียวมาล้างให้สะอาดใส่ลงหม้อ 1 กำมือ ใส่นำ 2 แก้ว เคี่ยวจนเหลือน้ำ 1 แก้ว ทานครั้งละครึ่งแก้ว เช้า/เย็น
9. ชะพลู สรรพคุณรักษาอาการโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ส่วนรากรักษาอาการผิดปกติทางเดินอาหาร
วิธีการ นำใบชะพลูล้างสะอาดหั้นเป็นท่อน นำไปต้ม 2 กำมือ ใส่น้ำ 4 แก้ว เคี่ยวจนเหลือน้ำประมาณ 2 แก้ว ทานครั้งละครึ่งแก้ว เช้า/เย็น
10. สัก สรรพคุณลดน้ำตาลในเลือดและบรรเทาโรคเบาหวาน
วิธีการ นำใบสักไปตากแห้ง เอามาเด็ดเป็นชิ้นเล็กๆเอามาคั่วแล้วเก็บไว้ชงกับน้ำร้อนดื่ม ทานครั้งละครึ่งแก้ว ก่อนอาหารเช้า/เย็น
11. ตำลึง สรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด
วิธีการ คั้นเอาน้ำจากใบตำลึงมาดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยตะไล เช้า/เย็น
(Cr : Smart SME)
** เผย 10 จุดเจ็บปวดตามร่างกาย มีที่มา **
อาการเจ็บปวด เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักสร้างความกังวลเพราะนอกจากจะไม่รู้ที่มาแล้ว เรายังไม่อาจเห็นสภาพภายในได้ เรื่องนี้ นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาไขข้อข้องใจโดย เฉพาะอาการปวด 10 จุด ต่อไปนี้
1. เจ็บต้นคอร้าวแขน
เจ็บนี้ต้องระวังเส้นประสาทต้นคออาจถูกกดหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ยกของหนักที่ผ่านมาได้
2. เจ็บแขนร้าวปลายมือ
ดูเรื่องเส้นประสาทให้ดีมีสิทธิ์เกิดจากพังผืดไปรัดเส้นประสาทหรือเกิดมาจากศูนย์รวมประสาทที่ต้นคอก็ยังได้
3. ปวดศีรษะร้าวต้นคอ
อาจเป็นเพียงกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงเวลามีความเครียดธรรมดา แต่ถ้ามีตาพร่าบวกคลื่นไส้อาเจียนด้วยก็ต้องจับตาอาการด้านสมอง
4. ปวดหลังร้าวลงขา
น่า จะเกิดจากหมอนรองกระดูกกดเส้นประสาทเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังส่วนบั้นเอวเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ การดูว่าปวดหลังถึงขั้นไหนให้ดูอาการร้าวลงขา
5. เจ็บอกวิ่งไปแขนซ้าย
ร้ายเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะมักเกี่ยวถึงโรคหัวใจขาดเลือด ให้สังเกตอาการปวดว่าเหมือนถูกบีบหรือถูกงูเหลือมตัวใหญ่รัดด้วยหรือไม่
6. ไอแล้วปวดร้าวลงก้นกบ
บางคนเวลาไอหรือเบ่งท้องแรงๆ แล้วมีอาการเจ็บร้าวไปหลังหรือก้นกบเบื้องล่างทุกครั้ง ต้องเฝ้าระวังโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น
7. เจ็บท้องน้อยร้าวลงหน้าขา
ใน สตรีต้องระวังเรื่องอุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่วนในหนุ่มๆ ให้ระวังนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีไข้ร่วมด้วยให้ช่วยระวังการติดเชื้อเป็นหลัก
8. เจ็บท้องส่วนอื่นๆ แล้วร้าวทะลุหลัง
อาการ เจ็บหน้าไปหลังเช่นนี้ถ้าเป็นที่ตับ คือ ด้านบนขวาให้นึกถึงถุงน้ำดีที่อาจไม่ดีสมชื่อ เพราะนี่เป็นสัญญาณนิ่วในถุงน้ำดีหรือถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนถ้าเจ็บตรงกลางร่วมกับไข้สูงให้นึกถึงตับอ่อนอักเสบ (Acute pancreatitis) แบบเฉียบพลัน
9. เจ็บบั้นเอวแถวสีข้างร้าวลงขา
ยิ่ง ถ้าเจ็บบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้าวด้วย ให้นึกถึงก้อนนิ่วในกรวยไตหรือท่อไต ในบางรายอาจมีท่อปัสสาวะอักเสบร่วมกับมีไข้ รู้สึกหนาวและปัสสาวะปนเลือดอีก หากเป็นเช่นนี้แนะให้ช่วยรีบไปตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรืออัลตร้าซาวน์
10. เจ็บตามผื่นแล้วร้าวลงเส้นประสาท
การ ที่มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสแล้วมีอาการแสบร้อนหรือเคยมีประวัติโรคเริม งูสวัด ให้ระวังอาการปวดร้าวไปตามปลายประสาท แม้ไม่มีผื่นแล้วก็อาจทิ้งอาการแสบร้อนไว้ได้ บางรายเจ็บแสบอยู่ตามแนวเส้นประสาทเป็นครั้งคราว
คุณ หมอกฤษดา ย้ำว่า สัญญาณเจ็บร้าวทั้งสิบที่ว่ามาเป็นวิธีดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้ได้ร่องรอยของโรคที่ซ่อนอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์แล้วตรวจหาความผิดปกติให้ทราบชัดเจนชัวร์กว่านะคะ
(Cr : Jaowka.com)
10 อาการชี้ชัดผู้ป่วยจะเป็นโรคเบาหวาน
ที่คุณต้องอ่าน
ผู่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีอาการเบื้องต้น คือ
~กระหายน้ำ ดื่มน้ำปริมาณมากๆต่อครั้ง
~ปวดปัสสวะบ่อยและลุกขึ้นปัสสวะกลางคืนบ่อยๆ
~อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง
~เบื่ออาหาร
~น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหต โดยเฉพาะถ้าน้ำหนักตัวเคยมากมาก่อนอันเนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มที่จึงต้องนำไขมันและ
โปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน
~ตืดเชื้อบ่อยกว่าปกติ
เช่นติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร สังเกตุได้จากเมื่อเป็นแผลแล้วแผลไม่หาย จะหายยาก
~สายตาพล่ามัวมองไม่เห็น
~อาการชาไม่ค่อยมีความรู้สึก
เนื่องจากเบาหวานจะทำลายเส้นประสาท ให้เสื่อมสมรรถภาพลดลง ความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกจึงถดถอยลง
~อาจจะมีอาการของโรคหัวใจและโรคไต
วิธีป้องกันเบาหวาน
~ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและแก้ไขปัจจัยเสี่ยงอื่นๆอันก่อให้เกิดโรคเบาหวาน
~ควมคุมโภชนาการให้มีความสมดุลทั้งในด้านโภชนาการออกกำลังกาย รวมไปจนถึงการใช้ยารักษาโรค
~ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ
โดยปรึกษาแพทย์ว่าควรตรวจเช็คเมื่อใดและระยะห่างในการตรวจที่เหมาะสม
~ยาบางชนิดหรือยาสมุนไพรอาจมีผลต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือดจะต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยาและสมุนไพรเหล่านั้น
~เบาหวานกับแผนโบราณรักษาไม่ยากอย่างที่คิดแต่เหตุก่อโรคนี้อยู่ที่อาหารหลัก
ยาดีแต่กินหวานมากเกินควรก็ไม่หายอยู่ดี
(ขอขอบคุณเพจ สมุนไพรหมอศุภ)
ผงชูรสฆ่าคน !?!?!
เพื่อนๆทราบไหมครับว่า ในการผลิตผงชูรสทั้งแบบก้อนและแบบผงในประเทศไทยใช้แป้งมันสำปะหลังและกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลัก แต่แหล่งข่าวที่ผมรู้จักยืนยันว่ามันมีอะไรแปลกๆ มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่มาจากกระดูกสัตว์ อย่างกระดูกวัว กระดูกควาย โซดาไฟ และปุ๋ยยูเรีย ก็คิดดูเองสิว่าทำไมของเหลวที่เกิดจากกระบวนการผลิต ทำไมยังสามารถนำไปขายให้เกษตรกรไปเป็นปุ๋ยน้ำ รดไร่นาจนพืชขึ้นเขียวขจี (แต่กลายพันธุ์ด้วยหรือเปล่าไม่รับรองนะ) ก็ลองสังเกตุดูสิว่าคนงานในโรงงาน และชุุมชนที่อาศัยอยู่รอบๆ โรงงานผลิตผงชูรสถึงมีอาการอิดโรย ป่วยกระเสาะ กระแสะกันทั้งชุมชน เพื่อนๆ ผมที่อยู่โรงงานผลิตผลชูรส เขายังไม่กินผงชูรสเลย แต่ถ้าเขาจะนำผลชูรสผสมน้ำอุ่นแล้วไปขัดห้องน้ำ ขัดหม้อ ที่มีเขม่าดำ ขัดหัวเข็มขัดทองเหลือง ขัดสร้อยเงิน แช่เหรียญเก่า หรือแช่พระกรุ ก็ไม่แน่เพราะผมเคยลองขัดดูแล้วเวิร์กมากๆ ถ้าไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองดูเองนะครับ
จริงๆ แล้วผงชูรส ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเลยแม้แต่นิดเดียว "ผงชูรส มีประโยชน์เพียงทำให้อาการมีรสชาติโดยรวมดีขึ้น ต้องใส่ในปริมาณเหมาะสม "
อันตรายของผงชูรสถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1).พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม กล่าวคือผงชูรสมีโซเดียมที่มาจากโซดาไฟ เป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับเกลือแกง แต่อันตรายมากกว่าเกลือแกงตรงที่ว่าเกลือแกงใช้เพียงนิดเดียวก็รู้สึกว่ามีรสเค็ม แต่ผงชูรสใส่มากเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัวว่ามีปริมาณโซเดียมมากเท่าไหร่ เพราะไม่มีรสเค้าให้รู้สึก หรือพูดอีกนัยหนึ่งผงชูรสมีพิษแฝงในเรื่องโซเดียม ซึ่งมีพิษภัยอันตรายดังนี้
1.1) ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ลดลง ถึงแม้ผงชูรสจะไม่ทำให้ใครเป็นเอดส์ แต่มันทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง ยิ่งถ้าคนป่วยเป็นเอดส์มาทานอาหารที่ใส่ผงชูรสยิ่งทำให้ตายเร็วกว่าที่ควรเป็นครับ
1.2) ทำให้เกิดการคั่งในสมองเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน ในปัจจุบันมีเด็กปัญญาอ่อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่มีผงชุรสแพร่หลายในประเทศไทย ผงชูรสทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคม่า ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ อาจทำให้รักษาผิดพลาดเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ยังเป็นภัยต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้ร่างกายผอมและยังมีพิษภัยต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย
1.3) ผงชูรสเป็นอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ อาทิ เช่น โรคไต ความดันสูง และโรคหัวใจเป็นต้น
2.)พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรสแท้ ส่งผลดังนี้
2.1)ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก เป็นต้น จนเป็นที่รู้จักและขนานนามโรคแพ้ผงชูรสในภัตตาคารจีน
2.2)ทำลายสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้เจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง ทั้งในเรื่องของขนาดและน้ำหนัก
2.3)ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ทดลอง ยิ่งอายุน้อย จะยิ่งเกิดผลร้ายมาก
2.4)ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย ทำให้โลหิตจางได้
2.5)ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 แก้โรคแพ้ผงชูรสได้
2.6)เกิดโรคมะเร็ง
2.7)ทำลายระบบประสาทส่วนกลางทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
2.8)เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง และจมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น
แต่ถึงเห็นพิษภัยขนาดนี้ประชาชนตาดำๆ อย่างเราคงจะหลีกเลี่ยงผลชูรสได้ยาก เพราะตั้งแต่ภัตตาคารใหญ่ๆ จนไปถึงร้านข้างถนนยังขาดความรู้เรื่องโทษจากผงชูรส เรามาเริ่มต้นจากบ้านของเรา และช่วยกันรณรงค์เรื่องพิษภัยของผงชูรสกันดีกว่าครับ
ขอบคุณที่มากจาก หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ
คอลัมม์ ภาคภูมิ ชวนคิด
ดร.ภาคภูมิ เตชสกุลฤทธิ์
@@ นานาสาระเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี... @@
@@ ประโยชน์ของ "ข้าวโพดสีม่วง" @@
ข้าวโพดสีม่วงมีเมล็ดสีม่วงทั้งฝัก มีรสชาติไม่หวานมากนัก เนื้อเหนียวนั้น ในเมล็ดของข้าวโพดแต่ละเมล็ดยังมีสารแอนโทไซยานิน ที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีวิตามิน B 3 วิตามิน E และกรดไขมันโอเมก้า 6 และ 9 มากกว่าข้าวโพดชนิดอื่น ๆ สารอาหารเหล่านี้ยังช่วยในการบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก และมีศักยภาพสูงสำหรับอาหารที่มีคุณค่าทางยา สามารถช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคมะเร็งชนิดเนื้องอก ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ช่วยในการเสริมสร้างให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรค และช่วยในการสมานแผล ส่งเสริมระบบการทำงานของเม็ดเลือดแดงภายในร่างกาย ช่วยในการชะลอการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และยับยั้งการเกิดลิ่มเลือดหรือเส้นเลือดแตกในสมอง บำรุงตับ บำรุงไต (ไตวาย ฟอกไต) และยังช่วยในการชะลอความแก่ที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ได้อีกด้วย
นอกเหนือจากการบริโภคเมล็ดข้าวโพดแล้ว ในส่วนอื่นๆ ของข้าวโพดสีม่วงยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์เป็นสรรพคุณทางยาได้เช่นกัน อย่างเช่น ส่วนของซัง เมื่อนำมาต้มน้ำแล้ว สามารถนำมาดื่มแก้บิด ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ส่วนของต้น ราก และไหมข้าวโพด นำมาต้มเอาน้ำมาดื่มเพื่อขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในคนโบราณยังนำเมล็ดของข้าวโพด มาบดเพื่อรักษาแผลได้อีกด้วย สำหรับการบริโภคข้าวโพดเหนียวสีม่วงที่กำลังเป็นที่นิยมกันมาก คือการนำมานึ่ง แต่การจะนึ่งให้อร่อย น่ารับประทาน และคงคุณค่าทางอาหาร มีขั้นตอนดังนี้ เริ่มจากนำข้าวโพดสีม่วงที่ซื้อมา ปอกเปลือกหุ้มฝักออก โดยให้เหลือเปลือกหุ้มฝักประมาณ 2-3 ชั้น เพื่อให้เปลือกช่วยรักษาแอนโทไซยานินและความเต่งตึงของเมล็ดข้าวโพดไว้ จากนั้นเตรียมหม้อนึ่งต้มน้ำให้เดือด นำฝักข้าวโพดที่เตรียมไว้ วางเรียงบนหม้อนึ่ง แล้วปิดฝาให้สนิท ปล่อยทิ้งไว้ในขณะที่น้ำเดือดประมาณ 25-30 นาที จากนั้นนำข้าวโพดขึ้นพักไว้ให้อุ่นก่อนนำไปรับประทาน หรืออาจจะปรุงด้วยเกลือเล็กน้อยก่อนนำไปรับประทานก็ได้
🌽Cr. Maeban
ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน...
เรื่องดีๆ ของมะนาวลดความอ้วน มี 3 สูตรให้เลือก
▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬
( ๑ ).....สูตรน้ำมะนาวลดความอ้วน.....
- ลดไขมันในเลือด สิ่งที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง เอวหาย น้ำหนักลด
1.เกลือนิดหน่อย ประมาณปลายช้อนชา
2.น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
3.น้ำอุ่น 200cc.
- ชงน้ำตาลทรายแดงกับเกลือในน้ำอุ่นจนละลายทิ้งไวสักครู่
พอน้ำไม่ค่อยร้อนบีบน้ำมะนาว 1 ลูก ต่อ 1 คน แล้วรีบทานได้เลย
จะใส่ใน น้ำแข็งทานก็ได้ ทานก่อนนอนสัก 15-20 นาที่ เวลานี้ดีที่สุด
- น้ำตาลทรายแดงจะทำให้ความหวานกำลังดี
ถ้าน้ำตาลทรายขาวจะหวานแหลมเลย
น้ำตาลทรายแดงจะอร่อยกลมกล่อม
- สิ่งที่ได้ วิตามิน C แคลเซียม ทานประจำทุกๆวัน 4 เดือนก็เห็นผล
เอวจะค่อยๆหายไป ถ้าทานได้ทุกๆวัน ร่างกายเราจะแข็งแรง
จะไม่เป็นหวัด กระดูกจะแข็งแรง สุขภาพจะดีขึ้น
ไขมันในเลือดจะหายไป กรดยูลิกก็จะลดลงไตรกรีเซอร์ไลก็จะปกติ
ไขมันเลวก็จะลดลงไขมันดีจะเพิ่มขึ้น มีแต่ประโยชน์
ทำทานได้ทุกๆวันก่อนนอน
- สูตรน้ำมะนาวนี้เป็น ของ คุณกิติพงษ์ ปังศรีวินิจ อาจารย์หมอกดจุดปรับสมดุลร่างกาย ประจำสำนักแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ช่วยกันนำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทาน
▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬
( ๒ ) คุณผู้หญิงหลายๆท่านในปัจจุบัน ต้องประสบปัญหาเรื่อง น้ำหนักตัวที่มากจนเกินไปหรืออวบระยะสุดท้ายนั่นเอง เพราะ ตามใจปาก รับประทานอาหารที่สุดแสนจะอร่อย แต่ลืมที่จะออกกำลังกาย ลืมที่จะดูแลตัวเองและควบคุมน้ำหนัก ยิ่งลืมมากเท่าไรน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น จนรู้สึกตัวอีกที ก็อ้วนเกินไปเสียแล้ว วันนี้ เรามีวิธีที่ง่ายแสนง่าย จะช่วยให้น้ำหนักตัวลดลง อย่างเห็นผลได้ชัดเจน
นั่นคือ การ ดีท๊อกซ์ด้วยมะนาวเพียง1ลูกเท่านั้นสาวๆที่ตื่นนอนตอนเช้า
ให้เตรียม มะนาวมา 1ลูก ขอแบบน้ำเยอะๆ คั้นน้ำมะนาวผสมกับน้ำอุ่นๆ
หรือน้ำที่อุณหภูมิที่เท่ากับอุณหภูมิห้อง (ง่ายใช่มั้ยคะ แค่ มะนาว 1 ลูก/น้ำสะอาด 1 แก้ว )
จากนั้น ดื่มเลยจ้า ดื่มก่อนที่เราจะอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ดื่มให้หมดภายในครั้งเดียว รวดเดียวหมดแก้ว อะไรประมาณนี้ สักพักค่อยอาบน้ำ ขับถ่ายตามปรกติค่ะ ระหว่างวัน เรื่องการรับประทานอาหารในช่วงที่เรา ดีท๊อกซ์อยู่นั้น
ควรงดรับประทานอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล ไขมัน เพราะถ้าคุณรับประทานเข้าไป เช้าตื่นนอน ก็ทำแบบวันแรกค่ะ กลับมาก่อนนอนก็ทำเหมือนเดิม ทำแบบนี้ 7 วันเท่านั้น (หรือจะมากกว่า 7 วันก็ได้ เพราะเป็นสูตรธรรมชาติ ไม่มีโทษกับร่างกาย)
คุณสาวๆจะรุ้สึกได้ว่า หลังจาก 7 วัน น้ำหนักตัวจะเริ่มลด รูปร่างจะดีขึ้น
ถ้าอยากรูปร่างดียิ่งขึ้นให้ออกกำลังกายควบคุ่ไปด้วยสักวันละ 15-20 นาที
เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้ร่างกายที่ไร้มลพิษ แถมยังได้รูปร่างที่สมส่วนอีกด้วย
▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬
( ๓ ) มะนาว เป็นสมุนไพรลดความอ้วนที่ดีที่สุด
มะนาว เป็นสมุนไพรลดความอ้วนได้จริงๆ ด้วย ตื่นเช้ามา ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำสะอาด หรือน้ำอุ่น ก่อนเริ่มกิจวัตรประจำวัน นอกจากระบายท้องได้ดีแล้ว ผ่านไป 2 อาทิตย์ เสื้อผ้าเริ่มหลวม ใส่สบาย แต่ยังปวดขาอยู่ ก็ไม่ได้นึกอะไร ไม่ได้กดดันตัวเอง ถึงผลที่จะได้จากการดื่มน้ำมะนาว ปรากฏว่า ผ่านไปครบ 1 เดือน เพื่อนบ้าน ลูกๆ เริ่มทักแล้วว่า ผอมลงนะ ขาเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด จากน่องทู่ๆ เริ่มเห็นข้อเท้าแล้วค่ะ
ลูกๆ ก็เริ่มหันมาดื่มน้ำมะนาวกัน แล้วเอาเปลือกมะนาวถูตามใบหน้า ปรากฏว่าสิวยุบ หน้าใสปิ๊งเลย นอกจากนั้นยังเอาเปลือกมานาวไปถูบริเวณหลังมือ ข้อศอก ส้นเท้า หรือบริเวณที่มีรอยแผลดำๆ ปรากฏว่า หน้าใสกิ๊ง ผิวพรรณเนียนสะอาดขึ้นเห็นได้ชัด ส่วนน้ำหนัก ตอนที่ดื่มน้ำมะนาวครบ 2 เดือน ปรากฏว่า ลดไปถึง 12 กิโล ไม่น่าเชื่อ!!!!
ตอนนี้ดื่มน้ำมะนาวมา 3 เดือนแล้ว ปรากฏว่า ขาแข้งที่เคยปวด หายไปเลย ทั้งต้นขา น่อง สะโพก ลดลง เสื้อสวยๆ ที่ไม่เคยใส่มานับสิบปี หยิบมาใส่ได้ แขนหลวม ใส่สบาย ส่วนลูกสาว กำลังจะรับปริญญาค่ะ
สวมชุดครุยได้สวยงามมาก หน้าตาสดใสมากๆ ใครอยากอ่านเรื่องมะนาว สมุนไพรลดความอ้วน คลิกที่นี่>>>>สมุนไพรลดความอ้วน
** สธ. ชู ดอกแค ขี้เหล็ก ยอดมะขาม ผักพื้นบ้านต้านหนาว (กรมอนามัย) **
กระทรวง สาธารณสุข แนะนำเมนูเด็ด แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก แกงยอดมะขาม อาหารรสเปรี้ยวอมขมจากผักพื้นบ้านตามฤดูกาล เพิ่มความอบอุ่นและวิตามินซี พร้อมแนะยึดหลักโภชนบัญญัติ 9 ประการ สร้างสุขภาพดีรับหน้าหนาว
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงการเลือกรับประทานอาหารในช่วงหน้าหนาว ว่า ปัญหาสุขภาพที่มากับหน้าหนาวมักมีผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย คือ ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และผิวหนัง ประชาชนจึงควรรับประทานอาหารที่ช่วยป้องกันโรคหวัด และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย ดังนี้
– เลือกทานอาหารที่เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย และเป็นอาหารที่ร้อนและปรุงสุกใหม่ ๆ
– หลีกเลี่ยงอาหารเปรี้ยวจัด มันจัด แต่ควรเลือกอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือเปรี้ยวอมขมเล็กน้อยที่เป็นผักพื้นบ้านตามฤดูกาลและหาได้ง่ายในช่วงหน้า หนาว เช่น กระเจี๊ยบ ดอกแค ขี้เหล็ก ยอดมะขาม เพราะมีวิตามินซีช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต้านโรคหวัด
– เน้นเมนูอาหารที่มีเครื่องเทศที่มีรสเผ็ดร้อน เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ เช่น แกงเลียง แกงส้มดอกแค แกงป่า แกงขี้เหล็ก แกงเผ็ด แกงคั่ว เป็นต้น
ทั้ง นี้การรับประทานอาหารควรคำนึงถึงสุขภาพเป็นหลัก รวมทั้งสารอาหารและปริมาณครบถ้วน เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมันจะให้พลังงานและกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย
นอกจากนี้ควรเลือกรับประทานไขมันให้หลากหลายชนิดในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก หมุนเวียนสลับกันไป ลดหรือหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวจากสัตว์ติดมัน หนังสัตว์ และเครื่องในสัตว์ หากจะรับประทานอาหารจำพวกอาหารทอดหรือกะทิ อาจทำได้โดยมีอาหารที่ใช้ไขมันในการประกอบอาหาร 1 รายการต่อมื้อ เช่น ไข่เจียวคู่กับแกงส้ม ปลาทอดคู่กับแกงเลียง และควรรับประทานอาหารร่วมกับผักสดอย่างน้อยมื้อละ 2 ทัพพี
ทาง ด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังวสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การรับประทานอาหารให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืนนั้นมีวิธีง่ายๆ โดยยึดตามหลักโภชนบัญญัติ 9 ประการ ได้แก่
1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และควบคุมน้ำหนักตัว
2. กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ
3. กินพืชผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจำ
4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ
5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย
6. กินอาหารที่มีแต่ไขมันพอควร
7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด
8. กินอาหารที่สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน
9. งดหรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำเปล่าอุ่น ๆ เป็นประจำ วันละ 8-10 แก้ว เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
“อากาศ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลจะทำให้ผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรงเกิดการเจ็บป่วย ได้ง่าย ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบการย่อยอาหาร ผิวหนังแห้งแตกและคัน ดังนั้น ประชาชนจึงควรเอาใจใส่ดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่าง ยั่งยืน รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ลดอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม และออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละ 5 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที ผ่อนคลายความเครียดคิดบวกอยู่เสมอรวมทั้งทำจิตใจให้แจ่มใส เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทุกฤดูกาล” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
Cr : สาระดีๆ เพื่อสุขภาพ