GCC Stories

#โอกาสทองสำหรับนักธุรกิจ

ธันวาคมปีนี้ ที่รียาด ซาอุดีอาระเบีย มีงานแสดงสินค้าไทยที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในปี ๒๐๒๓ นี้ มีผู้ประกอบการไทยหลายรายที่เดินทางเข้าไปเปิดประสบการณ์ควบคู่กับการรับโอกาสทองในตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอ่าวตะวันออกกลาง (GCC)
ทางสมาคมการค้านักธุรกิจไทยมุสลิม (TMTA) จึงได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่สนใจและมองหาพันธมิตรทางธุรกิจที่สนุกสนานกับตลาดอาหรับไปพร้อมเพรียงกัน ต่อด้วยทริปอุมเราะห์ ที่จัดเต็มให้ทั้งการท่องเที่ยวเมืองยอดนิยมอย่างเมืองอูลา เมื่อคราวเยือนมะดีนะห์ และเมืองตออิฟเมื่อคราวเยือนนครมักกะห์
ตั๋วเครื่องบิน วีซ่า โรงแรมสุดสบายทั้งในรียาด มะดีนะห์ และมักกะห์ใกล้มัสยิดอัลฮารอม และไกด์นักวิชาการศาสนา ทั้งหมดด้วยราคาสุดคุ้มทั้งสิ้นเพียง 79,000 บาทเท่านั้น
อยากให้ได้ไป เพราะนอกจากการไปอุมรอฮแล้ว ท่านจะได้สายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับบรรดานักธุรกิจที่มีศักยภาพในการทำตลาดต่างประเทศเป็นมิตรสนิทกันเลยทีเดียว (อินชาอัลลอฮ)
สนใจ รีบติดต่อทักแชทมาหาผมได้นะครับ โอกาสทองนี้อยู่ได้ไม่นาน ทางเราพร้อมบริการทุกท่านครับ !



14-11-2023

ฮาลาลไทยมาได้ยังไง ?

หลายคนคงคุ้นกับคำว่า -Halal- "ฮาลาล" อันเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญในการดำเนินชีวิตของชาวมุสลิมทั่วโลก และอีกหนึ่งข่าวดีสำหรับชาวไทยก็คือ ตราฮาลาลของเมืองไทย มีเทคโนโลยีและได้รับความเชื่อถือไปในระดับโลกแล้ว แม้ว่าประเทศไทยจะมีผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิมเป็นชนส่วนใหญ่ก็ตาม
เพราะหลักการ "ฮาลาล" นี้ มิจำกัดเฉพาะการใช้เฉพาะมุสลิมเท่านั้น หากแต่เป็นหลักการที่สามารถใช้ได้ทุกผู้คน ทุกเพศ ทุกช่วงอายุ ทุกเผ่าพันธ์ และทุกเชื้อชาติ จึงถือเป็นหลักการแห่งมนุษยชาติก็นับว่าไม่ผิดนัก
สำหรับที่มาของตรา"ฮาลาล"เมืองไทยนั้น เกี่ยวข้องกับภูมิภาค GCC อย่างจัง เพราะมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 75 ปีก่อน ในช่วงกลางพี่ของ พ.ศ.2491 ได้มีนักธุรกิจคูเวตเดินทางมาประเทศไทยเพื่อสรรหาเนื้อไก่ที่จะส่งไปยังประเทศคูเวต ในการนั้นนักธุรกิจท่านนี้ได้พบเจอกับผู้บริหารของบริษัทแหลมทองค้าสัตว์ จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการด้านเนื้อไก่อย่างมีความเจริญยิ่ง ทางผู้บริหารบริษัทแหลมทองค้าสัตว์ จำกัด จึงได้ตกลงในการทำธุรกิจส่งออกเนื้อไก่ไปยังประเทศคูเวต
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะมีการส่งนั้น ทางนักธุรกิจคูเวตได้แจ้งเงื่อนไขสำคัญว่า ไก่ที่ทางไทยจะส่งไปยังคูเวตนั้น ต้องผ่านการรับรองว่าเป็นไก่ฮาลาลทุกตัวเสียก่อน ทำเอาผู้บริหารบริษัทแหลมทองค้าสัตว์ จำกัด ต้องหารือและตกลงที่จะไปปรึกษากับทางท่าน "ต่วน สุวรรณศาสตร์" จุฬาราชมนตรีในขณะนั้น
ซึ่งท่านจุฬาราชมนตรีต่วนฯ ได้ให้ข้อมูลในการประกอบการเพื่อให้ได้มาซึ่งไก่ที่ฮาลาล สามารถส่งออกไปยังประเทศมุสลิมได้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการรับรองตราฮาลาลในประเทศไทย โดยท่านจุฬาราชมนตรี
หลังจากนั้นก็มีการรับรองตราฮาลาลจากจุฬาราชมนตรีไทย อีกหลายรายการ จนกลายเป็นช่องทางหนึ่งในการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยขึ้นเรือ่ยๆ
ต่อมาในสมัยของจุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัด ได้ออกระเบียบกำหนดให้มีการตรวจสอบฮาลาลอย่างเป็นระบบมากขึ้น จัดให้มีการออกตราเครื่องหมายฮาลาลเป็นกิจลักษณะ และมอบหมายภารกิจนี้ให้กับคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมทั้งจดทะเบียนเครื่องหมายฮาลาลที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้กับทางกระทรวงพาณิชย์ไทยเป็นผลสำเร็จในปี พ.ศ.2539 ที่ผ่านมา
ถือได้ว่าเป็นเกร็ดข้อมูลความรู้ที่ดีอีกอย่างหนึ่งที่เมื่อเราทราบแล้ว ก็สัมผัสให้เห็นถึงการเกิดขึ้นมาของตราฮาลาลไทย และยังทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ GCC ทางการค้าได้ชัดยิ่งขึ้น จนเกิดมูลค่าการค้าขายระหว่างกันอย่างมหาศาล สร้างเศรษฐีขึ้นมาทั้งใน GCC หรือประเทศไทยเองอีกมากมาย
ดังนั้นหากเรามีความฝันในการติดต่อค้าขายกับทาง GCC จำต้องมีความรู้ทางมาตรฐานฮาลาล และเรียนรู้ในกระบวนการของฮาลาล อย่างละเอียด ก็จะทำให้เราเจอช่องทาง โอกาส ในการสร้างสินค้าที่เป็นที่ยอมรับในประชากร GCC ที่มีกำลังซื้อสูงมากในโลกปัจจุบันครับ.

ใครๆก็รู้ว่าตึกที่สูงที่สุดในโลกที่ชื่อว่า
" "
นั้นอยู่ในรัฐดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
.
ตึกนี้ครองความสูงทั้งสิ้น 828 เมตร
สูงกว่าตึกแอมไพร์ สเตท (Empire State) สหรัฐอเมริกา
ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกถึง 2 เท่า
สูงกว่าหอไอเฟลในกรุงปารีสกว่า 3 เท่าเลยทีเดียวเชียวครับ
ตึกที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้เป็นกรรมสิทธิของบริษัทเอมาร์
บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่แห่งดูไบ
โดยได้ว่าจ้าง Adrian Smith สถาปนิกผู้อยู่เบื้องหลังตึก Burj Khalifa ซึ่งได้ออกแบบอาคารให้คล้ายกับ Spider Lily ซึ่งเป็นดอกไม้ทะเลทรายประจำภูมิภาคเป็นแนวคิด (Concept) หลักในการรังสรรค์ผลงาน
อาคารแห่งนี้ใช้ระยะเวลาก่อสร้างนานกว่า 7 ปี มีทั้งหมด 162 ชั้น
ครองสถิติอาคารที่มีปล่องลิฟต์ยาวสูงที่สุดในโลกที่ 514 เมตร ! ต่อด้วยความเร็วลิฟท์ที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดในโลกเช่นกัน
และสถิติอื่นๆที่เกี่ยวกับความสูงที่สุดในโลกหลายรายการ
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552 โดยใช้ชื่อว่า "Burj Dubai" (หอคอยดูไบ) และเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "Burj Khalifa" เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติให้แก่สมเด็จพระราชาธิบดีคอลีฟา บิน ซายิด อัล-นาห์ยาน ประมุขแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในขณะนั้น
โดยเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นสำคัญของการปรับเปลี่ยนนโยบายและภาพลักษณ์
ของดูไบ ที่มีอานิสงค์ไปยังประเทศต้นสังกัดอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้มีชื่อเสียงมากขึ้น อยู่ในโฟกัสของโลกยุคใหม่ได้ชัดเจนขึ้น
ใครที่มีโอกาสได้ไปนครดูไบ อย่าพลาดอย่างยิ่งในการเข้าชมสิ่งก่อสร้างที่นับว่ามหัศจรรย์มากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ โดยท่านสามารถเข้าและขึ้นไปลองขึ้นลิฟต์ที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลกก่อนจะออกมาชมวิวในตึกที่สูงในโลกได้ทุกวันในดูไบ "มหานครแห่งความเป็นไปได้"
สำหรับรายละเอียดรวมถึงค่าเข้าชม สามารถเช็คและจองได้ที่ https://tickets.atthetop.ae/atthetop/en-us?_ga=2.41773730.168097417.1690824193-451221175.1690824193.
หวังว่าทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ จะได้รับโอกาสชีวิตดีๆ ในการไปถึง
"จุดที่สูงที่สุดในโลก" ได้ในซักวันครับ ! อามีน.

หากมีคำถามว่าประเทศไทยมีความสัมพันธ์แนบชิดแน่นแฟ้นกับประเทศใดในบรรดาประเทศในภูมิภาค GCC แล้ว คำตอบนั้นเป็นเอกฉันท์ทางการทูตทั้งไทยและกลุ่มประเทศ GCC ว่าประเทศนั้นคือ
"ราชอาณาจักรบาห์เรน" (The Kingdom of Bahrain)
บาห์เรนมีความสัมพันธ์กับไทยที่ยอดเยี่ยมมากๆ ไม่เคยมีกรณีพิพาทหรือข้อขัดข้องใด ไม่ว่าไทยจะดำเนินนโยบายต่างประเทศในรูปแบบใด หัวข้อในตะวันออกกลางใดๆแล้ว ล้วนมีคำว่า "บาห์เรน" เป็นมิตรประเทศที่คอยอำนวยความสะดวกและส่งข่าวดีมาให้ไทยเสมอ
และหนึ่งในผลงานที่ประจักษ์ถึงการสนับสนุนและร่วมมือกันระหว่างไทยกับบาห์เรนที่ลึกซึ้ง นั้นคือ "การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรไทย" ขึ้นมาอีกคำรบหนึ่งนั้น ประเทศหลักที่อยู่ในกระบวนการนี้เสมอมานั้นคือ "บาห์เรน" นั้นเอง
บาห์เรนเป็นประเทศที่มีเนื้อที่ 786.5 ตารางกิโลเมตร มีเมืองหลวงชื่อ "กรุงมานามา" สภาพภูมิประเทศนั้นมีลักษณะเป็นหมู่เกาะ มีเกาะธรรมชาติ 50 เกาะ และเกาะที่รัฐบาลบาห์เรนถมทะเลอีก 33 เกาะ
บาห์เรนเป็นประเทศที่เล็กที่สุดอันดับ 3 ในทวีปเอเซีย รองจากมัลดีฟส์ และ สิงค์โปร์ ซึ่งนับเป็นประเทศที่เล็กเมื่อเทียบกับบรรดาประเทศในภูมิภาค GCC หรือเทียบกับประเทศไทยแล้ว ก็มีขนาดพอๆกับจังหวัดสิงห์บุรี เล็กกว่าประเทศไทย 652 เท่า มีประชากรโดยประมาณ 1.8 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มีชาวบาห์เรนประมาณร้อยละ 45 ส่วนที่เหลือเป็นประชากรที่เข้ามาทำงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแสวงหาโชคจากดินแดนอื่นๆ
อย่างไรก็ดี "บาห์เรน" เป็นอาณาจักรเก่าแก่ที่มีหลักฐานการปรากฏซึ่งอำนาจรัฐอยู่เป็นพันปี เป็นดินแดนที่ถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์สมัยศาสนทูตมูฮัมหมัด และเคยตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส ราชวงศ์ชาฟาวิคแห่งอิหร่าน มาจนถึงเป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษ เรื่อยมาจนการประกาศเอกราชโดยกลุ่มเผ่าอาหรับ ที่ปัจจุบันมีราชวงศ์อัล-คอลีฟะห์เป็นผู้ปกครอง
บาห์เรนถือเป็นอีกหนึ่งดินแดนที่มีความซับซ้อนทางอำนาจที่แปรผันไปตามยุคสมัย กล่าวคือใน พ.ศ.2514 นั้น "ชาห์ แห่งอิหร่าน" ได้เคยอ้างสิทธิในการครอบครองบาห์เรนในอำนาจของอิหร่าน อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงยอมรับในการจัดลงคะแนนประชามติของสหประชาชาติว่าด้วยเอกราชของบาห์เรน ซึ่งผลออกว่าบาห์เรนเป็นประเทศเอกราชที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจดินแดนใด และมีอำนาจอธิปไตยเต็มที่ในการปกครองประเทศด้วยตนเอง
อย่างไรก็ดีอิทธิพลของอิหร่านที่มีต่อบาห์เรนนั้นอยู่ในระดับที่สูงยิ่ง ทั้งในทางวัฒนธรรม ความเชื่อทางศาสนา ภาษา หรือเชื้อชาติ ทำให้เมื่อเราศึกษาภายในประชากรบาห์เรนนั้นจะพบว่ามีประชากรที่ศรัทธาในหลักการชีอะห์มากกว่าประชากรที่ศรัทธาในหลักการซุนนี อันถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ใน GCC
ในอดีตประเทศเลบานอนถือเป็นแหล่งชุมนุมของบรรดาธนาคารของโลกแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์สงครามกลางเมืองขึ้น ทำให้บรรดาธนาคารถูกกดดันให้ย้ายออกจากเลบานอน จึงถือเป็นอานิสงค์ที่ทำให้บรรดาธนาคารหลายแบรนด์ของโลกได้มองหาศูนย์กลางทางการเงินแห่งใหม่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และแน่นอนว่ารัฐบาลบาห์เรนได้อำนวยความสะดวกเพื่อตอบรับโอกาสนี้
ปัจจุบันบาห์เรนมีนโยบายหลักในเศรษฐกิจถึงการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การธนาคารในภูมิภาค GCC โดยแทบทุกธนาคารระดับโลก จะมีสำนักงานสาขาอยู่ในบาห์เรนแทบทั้งสิ้น
ดินแดนนี้มีคนไทยอยู่ไม่น้อยนะครับ ไม่เหงาแน่ๆ แถมยังมีผู้ประกอบการชาวไทยอีกมากมายคอยให้เราได้ไปเยี่ยม ไปชม คนไทยหลายคนมาเปิดธุรกิจ Supermarket ที่นี่ นำสินค้าไทยมาจำหน่ายอยู่ก็เยอะ หรือจะเป็นร้านอาหารที่มีมากกว่า 50 ร้านให้อาหรับได้ลิ้มรสกัน เช่นเดียวกับทางสปาไทย ที่ขึ้นชื่อก็มีบริการในบาห์เรนมากกว่า 20 ที่เข้าให้แล้ว
ปัจจุบันคนไทยสามารถเดินทางเข้าท่องเที่ยวบาห์เรนได้โดยใช้หนังสือเดินทางไทยและรับ Visa on Arrival ได้ทันที และสามารถพำนักได้ 14 วันในบาห์เรนเลยครับ
ก็ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งให้พวกเราในการเดินทางท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจ บาห์เรนนี่มีโอกาสและความสดใสอยู่ไม่น้อยให้เราได้คอยติดตามชมครับ.

O...Oman มันยอดมาก

จากหนึ่งในประเทศอาหรับ GCC ที่เมื่อ 60 ปีก่อน มีฐานะจนกว่าไทย
แต่ทุกวันนี้กลับมีรายได้ต่อหัวต่อปี (GDPต่อหัว)มากกว่าไทยถึง 2.5 เท่า !!!
เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีพัฒนาการก้าวกระโดดในการบริหารประเทศ จนมาถึงการเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้กับคนหลายชาติได้เข้ามาสร้างตัว ในปี พ.ศ.2565 โอมานมีรายได้ประชากร GDP per capita อยู่ที่ 641,133 บาทต่อปี สูงกว่าประเทศไทยที่ 248,677 บาทต่อคน ต่อปี
โอมานมีพื่้นที่ 309,500 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าประเทศไทยเกือบประมาณ 1 เท่า มี "กรุงมัสกัต" เป็นเมืองหลวง ประชากรทั้งประเทศมีอยู่ประมาณ 4.6 ล้านคน
โอมานนี้ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันมีสุลต่านเป็นผู้ปกครองสูงสุด ทรงใช้อำนาจการบริหารเป็นคณะรัฐมนตรีที่พระองค์ทรงแต่งตั้งเองทั้งหมด มีสภาโอมานที่สุลต่านแต่งตั้งวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และทรงใช้อำนาจตุลาการผ่านศาลฎีกา
และในเดือนธันวาคม พ.ศ.2540 สุลต่านกอบูส บิน ซาอิด สุลต่านพระองค์ก่อนได้ดำริให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร จำนวน 83 คนขึ้นครั้งแรกของประเทศ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในด้านนิติบัญญัติการออกกฏหมายเป็นครั้งแรก
ปัจจุบันมี "สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัยษัม บิน ฏอริก อัสซะอีด" เป็นสุลต่านแห่งรัฐโอมาน โดยครองราชย์เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมานี้เอง
โอมานมีความโดดเด่นในการดำเนินนโยบายสายกลาง โดยเฉพาะในกิจการต่างประเทศที่แม้จะเป็นชาติอาหรับหรือไม่ โอมานจะยืนหยัดในการรักษาสถานะของตนในการตัดสินใจดำเนินนโยบายของตนอย่างอิสระ ซึ่งปัจจุบันกำลังมุ่งการพัฒนาประเทศไปตามวิสัยทัศน์ในการพัฒนา " Vision :Oman 2040"
เดิมทีนั้นพื้นฐานของเศรษฐกิจโอมานจะเน้นในด้านการเกษตรและการประมง แต่หลังจากปี พ.ศ.2510 ที่ทางรัฐบาลได้พัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมัน ทำให้มีรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และได้รับการยอมรับในระดับโลกว่า "เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่รวดเร็วที่สุดในโลก" มาแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับโอมานมีความราบรื่นและแนบแน่น โดยมีการสถาปนาทางการทูตมากกว่า 41 ปี
ข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงมัสกัต ในปี พ.ศ.2564 มีมูลค่าการค้าระหว่างไทย-โอมานเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 99 รวมมูลค่ากว่า 58,361 ล้านบาทเลยทีเดียว
สินค้านำเข้าที่โอมานซื้อจากไทยมีหลายประเภท แต่ที่น่าสนใจและเติบโตในตลาดโอมานอย่างรวดเร็วจะเป็นเครื่องสำอางค์ ครีมบำรุงผิว ที่สุภาพสตรีโอมานนิยมมาก ผลไม้เช่น ทุเรียน ลิ้นจี้ เงาะ มังคุด มะม่วง น้อยหน่า ฝรั่ง สัปปะรด อาหารกระป๋องอื่นๆ เครื่องปรุงรส ตลอดจนภาชนะพลาสติกและสเตนเลส
นอกจากนี้จะมีชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักแห้ง แนวๆนี้
ส่วนไทยนำเข้าน้ำมันดิบ สินแร่โลหะ เศษโลหะ เคมีภัณฑ์ และประเทศไทยเราเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในการซื้อน้ำมันดิบของโอมาน ในปี พ.ศ.2541 เราเคยสั่งซื่้อผลผลิตทางน้ำมันของโอมานมากถึงร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของผลผลิตทั้งหมด และยังขอให้โอมานเพิ่มเพดานในการส่งออกน้ำมันดิบมายังไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการสั่งซื้อน้ำมันดิบจากโอมาน ยังคงมีมาเรื่อยจนถึงทุกวันนี้
โอมานเป็นมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ โดนมีกฏหมายอนุญาติให้บริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการได้ทั้งหมด เพื่อดึงดูดให้ชาวต่างชาติให้มาลงทุนในโอมาน มีนโยบายลดหย่อนภาษีให้กับบริษัทต่างชาติ และถือได้อีกว่าประเทศโอมานมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่เสรีมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศอาหรับด้วยกัน
ที่น่าสนใจคือ โอมานไม่มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไม่มีการเก็บภาษีสรรพสามิต ส่วนภาษีธุรกิจนั้นจะเก็บเพียงภาษีรายได้จากการดำเนินธุรกิจเท่านั้น
โอมานมีนโยบายส่งเสริมการศึกษา และได้ให้ทุนการศึกษาโดยไม่มีข้อผูกมัดแก่หลายประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มีนักเรียน นักศึกษาไทยหลายสิบคนกำลังศึกษาอยู่ในโอมาน และมีอีกไม่น้อยที่สำเร็จการศึกษามาแล้ว นักเรียนและอดีตศิษย์เก่าจากโอมานนี้มีส่วนสำคัญในการเชื่อมความสัมพันธ์และผลักดันความร่วมมือ ขยายพื้นที่ทางการค้าให้กับประเทศไทยและโอมานให้กว้างขึ้นกว่าเดิม
สำหรับใครสนใจในทุนการศึกษาต่อในประเทศโอมาน สามารถติดต่อกระทรวงการศึกษาไทย สถานเอกอัครราชทูตโอมานประจำประเทศไทย ได้ ซึ่งทุนการศึกษานี้ มีให้ทุกปี ทั้งระดับมัธยมศึกษา และระดับมหาวิทยาลัย
เช่นเดียวกันกับทางไทยที่ให้ทุนฝึกอบรมประจำปีสาขาต่างๆ โดยเฉพาะสาขาการเกษตร การสาธารณสุข การสื่อสาร ให้แก่รัฐบาลโอมาน ซึ่งนำมาถึงผลการร่วมมือที่เพิ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนซึ่งกันและกันในเวทีระหว่างประเทศ
โอมานยังเป็นจุดหมายปลายทางของแรงงานไทย ในด้านภาคธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และยังมีความต้องการแรงงานฝึมือจากไทย โดยเฉพาะช่างเทคนิค แรงงานในอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซ ปิโตรเคมี และบุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด้านการสปา
การเดินทางไปยังโอมานสำหรับคนไทยนี้ นับว่าไม่ได้ลำบาก และสามารถเดินทางไปกรุงมัสกัตของโอมานได้ทุกวัน โดยสามารถบินตรงด้วยสายการบิน Oman Air และ Salam Air
ซึ่งส่วนตัวแล้ว ผมชอบใช้บริการของ Oman Air เพราะคุ้มค่า บริการดี บินโอเค และถือว่าเป็นสายการบินที่เป็นมิตรกับผู้โดยสารที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดสายหนึ่งที่เคยใช้บริการ
ก็เชียร์นะครับ สำหรับเพื่อนๆท่านใดที่วางแผนเดินทางไปยังต่างประเทศ โอมานเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ควรไป มีเมืองท่องเที่ยวทั้งมัสกัต ซาลาลาฮ์ รวมถึงอยากให้ไปเจอกับชายหาดสวยๆของโอมาน ซึ่งมีอยู่หลายที่มาก เพราะที่ตั้งของโอมานนี้ กินยาวไปทั้งทะเลอาหรับ อ่าวโอมาน อ่าวอาหรับ เรียกได้ว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลทั้งนั้นเลย
ใครยังไม่อิ่มกับโอมานอ คลิ๊กที่รูปแต่ละรูป เป็นของแถมได้เลยจ้าาาา.

กาเอ่ย กาตาร์ !

นี่คือรัฐที่เรียกได้เต็มปากว่ารวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และถือเป็นประเทศที่รวยที่สุดในทวีปเอเซีย ทวีปที่ใหญ่ที่สุดของโลก
กาตาร์ Qatar ตั้งอยู่ในภูมิภาค GCC มีลักษณะเป็นดินแดนคล้ายเกาะที่ติดกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย มีพื้นที่ทั้งประเทศ 11,581 ตารางกิโลเมตร หรือเทียบได้กับจังหวัด อุดรธานี โดยกาตาร์มีขนาดเล็กกว่าประเทศไทย 44 เท่า
แต่เมื่อเทียบกับความมั่งคั่งต่อประชากรแล้ว รายได้ของชาวกาตาร์ต่อปีจะอยู่ที่ 2,168,588 บาท ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 248,677 บาทต่อปี เรียกได้ว่ารายได้ต่อคนต่อปีของชาวกาตาร์มั่งคั่งกว่าชาวไทย 8.7 เท่าเลยทีเดียว !
ประชากรในกาตาร์มีประมาณ 3 ล้านคนโดยประมาณ ซึ่งมีกำลังซื้อสูงมากเมื่อเทียบกับประชากรอื่นๆในโลก และโชคดีที่ประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายที่ชาวกาตาร์ชื่นชอบในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว รักษาพยาบาล และการลงทุนอื่นๆ
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 รัฐกาตาร์ได้กลายเป็นหนึ่งในดินแดนที่ทรงอิทธิพลในด้านต่างๆของโลก แน่นอนที่สุดว่าการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 ที่ผ่านมา ได้กลายให้กาตาร์เป็นประเทศคนทั้งโลกรู้จัก และประทับใจในการจัดการแข่งขันที่ดูดีเลิศ สมกับความเป็นอาหรับต้อนรับแขกอย่างยิ่ง
ทั้งยังสำนักข่าวอัลญาซีร่า สายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ที่ครองตำแหน่งสายการบินที่ดีที่สุดของโลก หรือเป็นมหาอำนาจด้านพลังงาน
ทั้งนี้ถือว่ากาตาร์เป็นชาติที่เป็นมหาอำนาจระดับกลางของโลก ที่มักมีส่วนร่วมในความเป็นไปของโลกในด้านต่างเสมอมา
ประเทศไทยและกาตาร์สร้างสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2523 โดยเริ่มต้นจากความร่วมมือด้านพลังงานและการท่องเที่ยวเป็นลำดับแรก
กาตาร์ถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญในด้านเศรษฐกิจอย่างสำคัญต่อไทย โดยข้อมูลระบุว่ากาตาร์เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญลำดับที่ 3 ของไทย
โดยมากแล้วกาตาร์จะเป็นผู้นำเข้าแรงงานจากไทย และสินค้าจากไทย ในปี พ.ศ.2564 กาตาร์นำเข้าสินค้าจากไทยรวมนับ 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าที่กาตาร์นำเข้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่รถยนต์+อุปกรณ์ยานยนต์ , เครื่องจักร หม้อไอน้ำ , ไข่มุก เพชรพลอย โลหะ
ส่วนไทยนำเข้าแก๊สธรรมชาติเหลวจากกาตาร์เป็นหลัก รวมถึงผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ และปุ๋ย
นอกจากนี้รัฐบาลกาตาร์ได้มอบทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาชาวไทยได้ไปศึกษาต่อในกาตาร์แทบทุกปี ผู้สนใจสามารถขอรายละเอียดทุนการศึกษานี้ได้ที่กระทรวงศึกษาธิการของไทย สถานเอกอัครราชทูตไทยในโดฮา หรือทางเว็บไซต์ของทางมหาวิทยาลัยได้โดยตรง
กาตาร์เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยอย่างราบรื่นตลอดมา ล่าสุดเปิดให้นักท่องเที่ยวไทยสามารถเข้าเที่ยวในกาตาร์ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าอย่างที่เป็นมา สามารถพำนักและท่องเที่ยวในกาตาร์ได้คราวละ 30 วัน
ก็ถือเป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าไปสัมผัส และแสวงหาโอกาสทางธุรกิจได้เป็นเลิศอีกประเทศหนึ่งใน GCC นี้ครับ.

Al Bait Clock Towers.
หอนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก !!!
มันไม่ใช่ Big Ben ของกรุงลอนดอนอีกต่อไป เพราะในปฐพีนี้มี “หอนาฬิกา Abraj Al Bait” ณ นครมักกะห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ตั้งตระหง่านด้วยความสูงสุดกว่า 601 เมตร มี 120 ชั้นให้ได้เดินชมกันจนเบื่อ
หอนาฬิกาแห่งนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารที่ใช้ทุนก่อสร้างมากที่สุดในโลก ด้วยทุนกว่า 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ
อยากรู้ว่าเป็นเงินบาทไทยเท่าไร เอา 34 คูณกันดู
เช่นเดียวกันที่หน้าปัดนาฬิกาแห่งนี้ก็นับเป็นหน้าปัดนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกตำแหน่งหนึ่ง
มีคนเคยวัดขนาดเพื่อวัดสภาพการมองเห็นในระยะใกล้ ซึ่งหอนาฬิกาแห่งนี้สามารถมองเห็นในที่ไกลกว่า 25 กิโลเมตร
หอนาฬิกาที่ใหญ่มหึมานี้ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกของกลุ่ม Saudi Binladin Group ซึ่งถือเป็นบริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
ใครที่ต้องการเดินทางไปชมหอนาฬิกานี้กับตาตนเอง ต้องขอบอกว่ามีเงื่อนไขสำคัญ เพราะมันตั้งอยู่บนแผ่นดินมักกะห์อันศักดิ์สิทธิ์ที่มีกฏสำคัญว่า “แผ่นดินนี้อนุญาตในการเข้าเมืองให้กับมุสลิมเท่านั้น”
อย่างไรก็ดี หากท่านไม่มีเข้าเงื่อนไขที่จะเข้าชมด้วยตาตนเอง ท่านก็สามารถขอชมรูป วิดิโอ จากเพื่อนมุสลิมหรือจะดูผ่านทาง internet ก็ย่อมหาได้ไม่ยากครับ !
ใครสนใจอยากจะได้รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกดูแต่ละรูป อ่านต่อได้เลยจ้าา .

คูอะไร คูเวตตตตต


ถือเป็นการแนะนำประเทศในกลุ่มอ่าวอาหรับ หรือ GCC จึงหยิบประเทศ "คูเวต" เป็นประเทศแรกเลยล่ะกัน เพราะผมเองก็อาศัยอยู่ในประเทศนี้จนสามารถกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ยากจะลืม และเป็นต้นตอหัวเชื้อในการเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศอาหรับของผมมาจนถึงทุกวันนี้
ประเทศคูเวตถือว่าเป็นประเทศที่มีเนื้อที่น้อยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีเนื้อที่อยู่ที่ 17,818 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น หรือหากจะเทียบกับประเทศไทย ทั้งประเทศคูเวตมีเนื้อที่เทียบได้โดยประมาณกับจังหวัดกาญจนบุรีทั้งจังหวัด มีขนาดเล็กกว่าประเทศไทยถึง 28 เท่าด้วยกัน
อย่างไรก็ดี แม้จะมีขนาดเนื้อที่เล็ก แต่โลกนี้รู้แจ้งเห็นจริงว่าประเทศคูเวตนี้ถือครองทรัพยากรน้ำมันสำรองอยู่ที่ 1.02 แสนล้านบาร์เรล เป็นอันดับ 7 ของโลก มากกว่าประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่เรามักรู้สึกว่าร่ำรวยอาบูดาบี มั่งคั่งดูไบเสียอีก !
ด้วยทรัพยากรน้ำมันที่มหาศาลนี้ ทำให้คูเวตเป็นประเทศที่มีรายได้มั่งคั่ง โดย GDP per capita ของประชากรคูเวตในปี 2565 ที่ผ่านมานี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 26,787 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี (910,758 บาทต่อปี) ซึ่งมากกว่าประเทศไทยถึง 4 เท่าด้วยกัน (ประเทศไทยเฉลี่ย 213,452 บาทต่อคน ต่อปี ) !
จะเห็นได้ว่าสัดส่วนรายได้ต่อประชากรคูเวตนั้นถือว่าติดอันดับร่ำรวยมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของประเทศก็ยึดติดกับทรัพยากรน้ำมันเป็นหลัก และรัฐบาลคูเวตก็มีความพยายามอย่างมากในการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ แต่ด้วยเนื้อที่ที่จำกัด จึงทำให้เงินทุนของรัฐบาลกระจายไปในการลงทุนในพื้นที่ต่างๆทั่วโลก
คูเวตเป็นรัฐที่อุดหนุนเงินทุนต่อภารกิจเพื่อมนุษธรรมมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก โดยเงินทุนเพื่อการกุศลเหล่านี้ขับเคลื่อนด้วยนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเชื่อมความสัมพันธ์กับหลายประเทศทั่วโลก และคูเวตยังมีองค์กรการกุศลอีกนับพันแห่ง ที่สานต่อภารกิจเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทั่วทุกทวีป
สำหรับมุมมองคูเวตต่อประเทศไทยแล้ว เป็นไปในทางบวกมาก ความสัมพันธ์ราบรื่นเสมอมา โดยทั้งไทยและคูเวตต่างจัดตั้งสถานเอกอัครราชทูตระหว่างกัน มีเที่ยวบินตรงให้บริการ มีอัตราการค้าที่สามารถพัฒนาให้เติบโตในอีกหลายด้าน ทั้งนี้คูเวตมีความชื่นชมต่อแรงงานฝีมือไทยเป็นอย่างมาก สินค้าไทยที่คูเวตนำเข้ามีตั้งแต่ ปลากระป๋อง น้ำตาลทราย เครื่องอัญมณี และมีแนวโน้มในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไทยที่เพิ่มขึ้นแทบทุกปี
ชาวคูเวตชอบประเทศไทย และมักเดินทางมาซ้ำๆ โดยในปี 2565 มีนักท่องเทียวคูเวตเข้าไทยอยู่ที่ 44,566 visit (ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) เป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังในการจ่ายสูง และใช้บริการทั้งทางการแพทย์ สันทนาการ และการค้าธุรกิจเป็นสัดส่วนใหญ่ในกลุ่มที่เดินทางมาเที่ยวไทย
รัฐบาลคูเวตจัดสรรให้ประเทศไทยถึงทุนการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา และระดับมหาวิทยาลัยในทุกๆปี ซึ่งปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการไทย เป็นเจ้าภาพจัดสอบคัดเลือก โดยมีนักเรียนนักศึกษาไทยไปศึกษาต่อในประเทศคูเวตในทุกปีอีกด้วย
ก็ถือเป็นการเล่าเรื่องให้ข้อมูลคร่าวๆ กับคูเวต ให้พี่น้องผู้อ่านทุกท่านได้รู้จักกัน หากจะคลิกดูรูปพร้อมคำอธิบายประกอบที่ทางเพจได้จัดสรรให้ ก็จะได้รู้จักคูเวตได้ดียิ่งขึ้นครับ เชิญคลิกดูรูปกันได้ .

#เปิดประตูต้อนรับ

หลายท่านคงรู้สึกถึงความร่ำรวยขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำว่า "อาหรับ"
แต่หากถามว่า ประเทศใดในโลกนี้บ้างล่ะ ที่เป็นชาติอาหรับ ?
เกณฑ์ที่วัดผลถึงความเป็นชาติอาหรับนี้ มีไม่มาก ซึ่งแต่ละเกณฑ์สามารถบ่งชี้ถึงความเป็น "อาหรับ" ได้ อาทิเช่น ชนส่วนใหญ่พูดอาหรับได้ตั้งแต่นานมา สามารถพิสูจน์ถึงความเป็นมาของชนส่วนใหญ่ในชาติได้ว่าเป็นสายเลือดเดียวกับบรรพชนอาหรับ มีประวัติศาสตร์ร่วมกันกับอารยธรรมอาหรับที่เคยแผ่ขยายไปในหลายดินแดน
และเมื่อเราใช้เกณฑ์ที่ว่านี่แล้ว บนโลกนี้มีเราสามารถเรียก "ชาติอาหรับ" ทั้งหมดทั้งสิ้น 22 ประเทศ โดยมีชาติอาหรับทั้ง 22 ประเทศนี้อยู่ใน 2 ทวีปใหญ่คือ เอเซีย และ แอฟริกา
อย่างไรก็ดี บนพื้นฐานของชาติอาหรับทั้ง 22 ประเทศดังกล่าวนี้ ต่างก็มีความแตกต่างกันอยู่ในหลายรายละเอียด ทั้งนี้ในความโดดเด่นของความเป็นอาหรับในโลกปัจจุบัน ย่อมสัมผัสความเป็นอาหรับได้ง่ายและแพร่หลายจากชาติอาหรับที่อยู่ในทวีปเอเซีย อย่าง "กลุ่มประเทศ GCC"
กลุ่มประเทศ GCC คือกลุ่มสมาชิกชาติอาหรับ 6 ประเทศ ได้แก่โอมาน ซาอุดีอาระเบีย คูเวต บาห์เรน กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีที่ตั้งอยู่บนทวีปเอเซีย โดยมีพรมแดนติดต่อเชื่อมกันทั้ง 6 ประเทศ มีทรัพยากรหลักคือน้ำมันอันเป็นแหล่งรายได้หลักอันมหาศาลของแต่ละประเทศ และทุกประเทศในกลุ่มนี้ต่างปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ อามีรเจ้าผู้ครองนคร สุลต่าน เป็นผู้ปกครอง แล้วแต่รัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศเป็นผู้กำหนดนิยาม
และความโดดเด่นอีกอย่างที่เราต่างรับรู้คือ ทุกประเทศดังกล่าวนั้น ต่างนับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งกลายเป็นแก่นหลักของจารีตประเพณี กฏหมาย และวัฒธรรมการใช้ชีวิตของชาว GCC ในแทบทุกมิติ
ในเพจนี้ ผมตั้งใจมาเล่าประสบการณ์ เรื่องราวน่ารู้ ตลอดจนข่าวสารที่พัดผ่านหรือเกี่ยวข้องกับดินแดนกลุ่มประเทศ GCC ซึ่งโพสนี้เป็นโพสทักทาย ข้อมูลรายละเอียดจะเบาๆ เหมือนได้เล่าสู่กันฟัง ได้อ่านได้เปิดบทสนทนา แลกเปลี่ยนกัน
ผมจะยินดีมากหากท่านผู้อ่านได้มาแลกเปลี่ยน มาเสวนา มาตั้งคำถามกัน เพื่อความเข้าใจและรับรู้ความเป็นไปของชาติ GCC ที่มีแนวโน้มเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเทศไทย สังคมไทย และตัวเรา ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมกันครับ
ยินดีต้อนรับทุกๆท่าน นะครับ.



24-07-2023