เส้นทางสู่ล้านแรก - First Million

เป้าหมายของเรา คือ ทำให้คุณมี "ล้านแ

สังคมของผู้ที่อยากจะมี “ล้านแรก” ให้ได้สักครั้งในชีวิต และมีเงินล้านต่อๆไปอย่างมั่นคง
.
เราเชื่อว่าทุกคนสามารถมี “ล้านแรก” ได้ ถ้าคุณมีการพัฒนาตัวเอง ด้วย 3 สิ่งนี้ อยู่ตลอดเวลา
.
1.ความรู้ เป็นจุดเริ่มของการสร้างรายได้ ยิ่งมีความรู้มาก ยิ่งเก่งมาก ยิ่งสร้างรายได้มาก
.
2.ทักษะทางการเงิน เป็นตัวสนับสนุนรายได้ เพิ่มคุณค่าเงินและรักษาเงินให้แก่คุณ
.
3.การจดบันทึก เป็นตัวชี้นำทางให้แก่คุณ ทำให้เราเห็น

23/07/2022

แชร์ลูกโซ่และการตั้งใจโกงของ Zipmex (ต่อ)
กับ วิธีได้เงินคืนที่เร็วที่สุด
ในเมื่อวานนี้ผมได้โพสบทความถึง Zipmex และ Luna เป็นแชร์ลูกโซ่ และ มีความตั้งใจโกงเงินจากประชาชนอย่างตั้งใจอยู่แล้ว ด้วยเหตุมีการนำผลตอบแทนของการฝากเงินกับทั้ง Zipmex และ Luna ที่สูงเกินจริง แล้วสุดท้ายเขาก็เชิดเงินหนีไป โดยบริษัทให้เหตุผลของการลงทุนผิดพลาดและอัลกอริทึม แต่สำหรับผมนั้น ผมมองว่าเป็นการตั้งใจโกงมาตั้งแต่ต้นและเป็นแชร์ลูกโซ่อย่าแท้จริง
ก่อนอื่นผมขอจะมาเล่าว่า แชร์ลูกโซ่ คืออะไร ? และ เราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือแชร์ลูกโซ่ ?
คำตอบคือ เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ธุรกิจที่เราฝากเงินไป คือ แชร์ลูกโซ่ จนกว่า ธุรกิจนั้น จะเชิดเงินหนีไป
ธุรกิจที่ตั้งใจโกง หรือ แชร์ลูกโซ่ เขาจะมี model ธุรกิจที่ดึงดูดใจ และ หลอกล่อด้วย 2 ประการ คือ 1.ให้ผลตอบแทนสูงๆ หรือ 2.หลอกให้ซื้อของในราคาถูกมากๆ
ถ้าจะให้เห็นในปัจจุบัน คือ Daruma Sushi ที่ขายของถูกเกินจริง หลอกเงินคนได้ไปหลายสิบล้านบาท .. หรือ แชร์ลูกโซ่ OD Capital ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ที่หลอกเงินประชาชนให้ลงทุน และ มีการให้ชักชวนคนอื่นมาลงทุน แล้วจะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก .. หรือ การโกงทางการเงินทั่วไป หรือ การ Rug pull ของ เหรียญ Squid Game .. และมีกลโกงทางการเงินอื่นๆอีกมากมาย เช่น แก็งคอลเซ็นเตอร์ ทัวร์โชกุน เป็นต้น
กลโกงทางการเงิน เราจะไม่สามารถกล่าวหาเขาได้ก่อนเลยว่า “เฮ้ย เปิดแบบนี้ ตั้งใจมาโกงแน่ๆ” เราจะต้องพิจารณาเอาเอง ว่า จะลงเงินกับเขาหรือไม่ เท่านั้นเอง และ เราจะไม่สามารถกล่าวหาได้จนกว่าเขาจะโกงจริงๆ
ไม่มีธุรกิจที่ตั้งใจมาโกง หรือ แชร์ลูกโซ่ มาบอกกับประชาชนว่า “เฮ้ยเราจะคือแชร์ลูกโซ่นะ” “เราจะมาโกงคุณนะ” .. เขาจะบอกถึงความน่าเชื่อถือและแสดงให้เห็นว่าธุรกิจของเขาทำได้จริง และ ให้ผลตอบแทนตรงนั้นได้จริงๆ
ใครที่ตกเป็นเหยื่อในช่วงแรกๆของแชร์ลูกโซ่ เขาจะได้รับเงินจริงๆ และ เชื่อหมดใจว่าธุรกิจที่ตัวเองไปฝากเงินหรือลงทุน คือ ช่วยให้เขาได้เงินจนหมดใจ จนบางครั้งนำไปบอกต่อคนอื่นด้วย
ผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่เคยลงทุนกับ OD Capital ซึ่งปัจจุบันเจ้าของแชร์โดนจับเรียบร้อยแล้ว .. เขาได้ชักชวนเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มเดียวกันให้ลงทุนกับ OD Capital ด้วย ซึ่งเพื่อนคนที่ถูกชวนนั้น ได้นำชื่อไปเสริทใน Google ว่า OD Capital คืออะไร สรุปคือ เขาไปค้นเจอว่า มันคือแชร์ลูกโซ่ เขาก็ไปบอกกับ เพื่อนคนที่ชวนว่า “มันคือแชร์ลูกโซ่นะ มันจะดีหรอ” เพื่อนคนชวนบอกว่า “ถ้าไปเสริทในเน็ต ก็จะบอกว่าแชร์ลูกโซ่ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่”
เขาก็อธิบายหลักการของเขา และ เส้นทางที่เขาได้ผลตอบแทนมา สุดท้าย เพื่อนคนถูกชวนลงไป 20000 บาท และสุดท้าย เงิน 20000 บาท นี้ก็ไม่ได้เงินคืนอีกเลย
จะยิ่งตอกย้ำว่า คนที่เป็นเหยื่อจะเชื่อหมดใจ และ ไม่มีทางรู้ได้จนกว่าจะเชิดเงินไปจริงๆ
แต่หลักการสังเกตที่ง่ายๆว่า ธุรกิจนี้ดำเนินการแปลกๆ จนเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ ? .. การที่ธุรกิจให้ผลตอบแทนที่สูงเกินจริง หลัก 10-20% มันเป็นเรื่องแปลกอย่างมาก
ถ้ามองหลักตามความจริง เขาจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้จากประชาชน หลัก 15% แสดงว่าหลักการของธุรกิจ เขาน่าจะต้องทำธุรกิจให้ได้ผลตอบแทนมากกว่า 30% (มากกว่าที่เขาจ่ายดอกเบี้ยของเจ้าของเงินประมาณ 2 เท่า) ธุรกิจนี้จะรอด .. ซึ่งมันค่อนข้างยาก และ ต้นทุนที่จ่ายผลตอบแทนที่สูงมาก
ธุรกิจเหล่านี้ ที่มีความน่าเชื่อถือ เขาสามารถเลือกกู้เงินจากธนาคารได้ ซึ่งถ้าเครดิตดี จะจ่ายหลักเพียง ไม่เงิน 7% ต่อปีแน่ๆ ซึ่งถูกกว่า แต่เขากลับไม่เลือก แต่ มาเลือกระดมทุนจากประชาชนแทนเอง ที่จะต้องจ่ายผลตอบแทนให้หลักหลายสิบเปอร์เซ็น ซึ่งมันเหมือนผิดหลักการในทางธุรกิจ
เมื่อธุรกิจเหล่านี้ ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้ เขาจะเลือกปิดหนี และ เชิดเงินหนีไป โดยจะให้เหตุผลต่างๆกัน เช่น ลงทุนผิดพลาด เศรษฐกิจล้มเหลว หุ้นส่วนที่ไปลงทุนโกงเราไปอีกทีหนึ่ง หรือ หาสินค้าไม่ได้ .. ซึ่งกรณีตรงกับ Luna และ Zipmex เลย ที่เขาอาจจะตั้งใจล้มละลาย หรือ ปิดโปรเจคอยู่แล้ว และมีโอกาสที่เจ้าของโปรเจครับทรัพย์ไปแล้วเต็มๆ
เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัทใหญ่ ดัง หรือมีเชื่อเสียงแค่ไหน เพราะ อย่าง DarumaSushi ก็ดังประมาณหนึ่ง หรือ บริษัท Theranos ที่โกงเงินไปหลักหลายหมื่นล้านเหรียญ บางครั้งพวกคนโกงก็มาในรูปของคนมีชื่อเสียง และ ยิ่งมีเชื่อเสียง ยิ่งโกงได้ง่าย
ดังนั้น วิธีแก้ไขและอยากได้เงินคืนที่เร็วที่สุด คือ
1.รวบรวมสมาชิกผู้เสียหาย ไปปรึกษาหาทนายทันที อาจจะติดต่อ ทนายตั้ม ทนายคู่ใจ ช่วยปรึกษาหน่อย ให้รับเป็นเคสแชร์ลูกโซ่ หรือ ช้อโกงประชาชน ได้หรือไม่ ?
2.นำสมาชิกทุกคน เรียบเรียงข้อมูล ไปแจ้งความ ลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน
3.นำประจำวันและบันทึกการแจ้งความ ไปยื่นเรื่องต่อ กลต. เพื่อขอให้ตัวแทนกลุ่มได้พูดคุยกับ Zipmex ด้วย
4.อย่าปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ โดยเชื่อคำพูดของคนโกงเป็นสำคัญ .. เราจะต้องกดดัน ทำตามทางกฎหมายทันที ถ้าเขาบอกว่า เรากดยอมรับเองด้วยเงื่อนไขต่างๆ เขามีสิทธิ์ที่ไม่รับผิดชอบคุณ แปลว่า เขาตั้งใจมาโกงตั้งแต่แรกแล้ว และ นำสิ่งเหล่านี้ ไปสู้คดี
อย่าเชื่อคำแก้ตัวใดๆของคนที่เชิดเงินเราไป โดยรอเวลา อันนี้สำคัญที่สุด เพราะ เขาจะอ้างอะไรก็ได้ ติดนู่นติดนี่ มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ .. ประเด็นสำคัญถ้ามีโอกาสได้คุยกับ Zipmex ให้บอกว่าเลยว่า จะคืนที่ฝากมาได้ยังไง เมื่อไหร่ ผ่อนยังไง มันไม่ใช่ว่า คุณลงทุนผิดพลาดแล้วจะมาเป็นข้ออ้างในการเชิดเงินเรา
ถ้าผมยืมเงินคุณ 1 ล้านบาท แล้วผมบอก เงินที่ยืมไปบอกลงทุนเจ๊งหมดแล้ว ไม่ขอคืนนะ รอฟ้องได้ก่อนค่อยคืน คุณจะเชื่อไหม คุณจะยอมไหม ถ้าไม่เชื่อและไม่ยอม ทำตามคำแนะนำครับ น่าจะได้ผลที่ดีกว่า

22/07/2022

การตั้งใจล้มละลายในโลกคริปโตเคอเรนซี่
และ แชร์ลูกโซ่ดิจิตอล
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนสำหรับการที่ zipmex จะเป็นรายต่อไปที่จะล้มละลาย หรือ การเชิดเงินครั้งใหญ่ในโลกคริปโตเคอเรนซี่
ถ้าผมเชิญชวนทุกคนให้นำเงินมาลงทุนกับผม โดยผมจะการันตรีให้ผลตอบแทน 10-20% ทุกปี และ จ่ายให้ทุกๆ 3 เดือน คุณจะเชื่อผมหรือไม่ ? และ คุณมองสิ่งนี้ว่าอะไร ?
ใครที่อยู่ในแวดวงการเงินและการโกงของโลกการเงิน คงจะง่ายมากเลย มันก็คือ “แชร์ลูกโซ่” ยังไงหละ !! .. มันง่ายมากเลย ที่จะตัดสินแบบนี้ถูกไหม เพราะ ผลตอบแทนที่ให้เกินจริง มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำธุรกิจอะไรที่จะให้ผลตอบแทนได้ง่ายขนาดนี้ นอกจากการโกง และ เป็นแชร์ลูกโซ่ ที่เอาเงินของคนเข้ามาทีหลังมาจ่ายคนก่อน
แชร์ลูกโซ่ คือ การตั้งใจจัดตั้งการระดมทุนอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ของการทำธุรกิจนั้น โดยล่อด้วยการให้ผลตอบแทนที่สูง แต่หลักการหาเงินมาจากผลตอบแทนก็คือ นำเงินของคนที่เข้ามาใหม่มาจ่ายให้คนก่อนหน้า
นั้นก็เหมือนในกรณีของ Zipmex และ Luna ที่มีระบบให้ผลตอบแทนในหลัก 10-20% โดย Zipmex จะมีกระเป๋า ZipUp+ ให้ฝากกินดอกเบี้ย ส่วน Luna ก็มีธนาคารของตัวเองที่จ่ายดอกเบี้ยเป็น USDT
กระบวนการแชร์ลูกโซ่จะ “ล่มลง” ก็ต่อเมื่อ หาคนใหม่เข้ามาเติมไม่ได้
เมื่อต้นปี 2565 นี้ ตลาดคริปโต ได้เข้าสู่ตลาดหมี มีคนเข้ามาเทรดใหม่น้อยลงเรื่อย บวกกับโปรเจคต่างๆที่เกี่ยวกันกับคริปโตเริ่มตาย ทุกอย่างที่ไม่ดีเลยเริ่มผุดออกมา
คำแก้ตัวของทั้ง Zipmex และ Luna เหมือนจะเป็นการผิดพลาดในการบริหารงานและอัลกอริทึม แต่ส่วนตัวของผม มันคือ การตั้งใจล้มละลายอยู่แล้ว ในวันใดวันหนึ่ง .. รูปแบบการจ่ายผลตอบแทนที่สูงเกินจริง มีแต่ในแชร์ลูกโซ่เท่านั้น ไม่ว่าเขาจะแก้ตัวอย่างไรก็ตาม ผลสุดท้าย มันก็คือ การเชิดเงินไป
เขาตั้งใจล่อด้วยผลตอบแทนที่สูง และ คริปโต คือเรื่องใหม่ ที่ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนสูงได้ ทำให้เกิดช่องว่างของการหลอกลวงครั้งใหญ่ และทำให้เกิดการเชิดเงินไปทั้งหมด
กระบวนการทั้งหมด ในคราวนี้ และ จะมีอีกหลายๆเจ้า ที่จะทยอยล้มลงอย่างแน่นอน Zipmex จะไม่ใช่รายสุดท้าย ฝากให้นักลงทุนทุกคน ต้องตรวจสอบสินทรัพย์ตัวเองให้ดี
ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่ คงจะยังไม่สิ้นสุด และ ในโลกคริปโตเคอเรนซี่ ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ไปทั้งหมด .. เราสามารถหาผลประโยชน์และผลตอบแทนในโลกคริปโตเคอเรนซี่ได้ แต่จะต้องอยู่ในบนหลักของการลงทุนที่ถูกต้อง
หลักของคริปโตเคอเรนซี่ คือ การเก็งกำไร ถ้าจะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็ เก็งกำไร และ ให้ได้ผลตอบแทนกลับมา ในทุกๆครั้ง รักษาวินัยในการเก็งกำไรให้ดี ก็จะได้ผลตอบแทนกลับมา ในตลาดนี้จะต้องมีคนได้และมีคนเสีย ไม่ต่างอะไรกับการพนัน
อย่าเชื่อเรื่องเล่าในโลกคริปโต เพราะ มันจะไม่เป็นจริงตามนั้น ถ้าอยากจะสร้างรายได้ คือ การเก็งกำไร เท่านั้น ใครที่เชื่อเรื่องเล่าใดๆในโลกคริปโตในเหรียญใดเหรียญหนึ่ง หรือ platfrom ใด platfrom หนึ่งจนหมดใจ จงระวัง สุดท้ายถ้าลุกช้า ก็จะต้องจ่ายรอบวงอีกครั้งหนึ่ง
การล้มละลายในโลกคริปโต ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และ โลกนี้ ไม่ใช่โลกแห่งความสดใสและสวยงาม เราจะต้องแข็งแกร่ง เป็นนักเก็งกำไรที่เก่ง จึงจะเป็นผู้รอดเท่านั้น

05/07/2022

การออม การลงทุน การเก็งกำไร และ การพนัน
แตกต่างกันอย่างไร ?
การออม การลงทุน การเก็งกำไร และ การพนัน จะถูกเรียกรวมกันว่า การบริหารเงินและสินทรัพย์
ถ้าจะให้เรียกง่ายๆ ว่า คือ การนำเงินออมของเราไปต่อยอดหรือเพิ่มมูลค่าของตัวมันเอง
เราควรทำให้เงินออมของตัวเอง เติบโตขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจใดก็ตาม แต่การบริหารเงินและสินทรัพย์นั้น จะต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์อย่างมากเพื่อให้เงินนั้นเติบโตได้อย่างมั่นคง ซึ่งมีเครื่องมือในการบริหารการเงิน เช่น หุ้น คริปโต กองทุนรวม การออม ทองคำ ที่ดิน สลากออมสิน และ อื่นๆ เป็นต้น
เราจะต้องศึกษาเครื่องมือในการบริหารเงินและสินทรัพย์ให้ดีก่อนที่จะลงทุน ไม่ต้องกังวลว่า เงินออมจะถูกเงินเฟ้อจะกัดกิน สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ เรามีความรู้หรือยัง ? และ เครื่องมือใดเหมาะกับเราที่สุดที่จะทำให้เรารักษาเงินออมนั้นได้
เครื่องมือบริหารเงินและสินทรัพย์บางอย่างมีโอกาสสูญเงินต้น ไม่ใช่มีแต่ได้อย่างเดียว ดังนั้นจะต้องพึ่งระวังให้ดี ถ้าไม่รู้ สิ่งที่เราทำให้ได้ดีที่สุด ก็คือ การออม
เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องก่อน เนื่องจาก ถ้าเราคิดว่า เรานำเงินไปต่อยอด คือ การลงทุน หรือ การซื้อคริปโต คือ การลงทุน หรือ การเล่นป๊อกเด้ง คือ การลงทุน ด้วยนั้น จะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนและผิดพลาด ย่อมส่งผลให้เรามีโอกาสสูญเสียเงินไปตั้งแต่ทีแรก เพราะมันจะทำให้กลยุทธิ์ในการบริหารเงินและสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน
การออม คือ การนำเงินของเราให้เติบโต แทบจะไร้ความเสี่ยงใดๆ มีผลตอบที่เป็นบวกสำหรับเราอย่างแน่นอน เช่น ฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาล กองทุนบางกองทุน หุ้นบางตัว การปล่อยเงินกู้ให้กับคนที่น่าเชื่อถือมีสินทรัพย์ค้ำ
การลงทุน คือ การนำเงินออมไปซื้อสินทรัพย์บางอย่าง หรือ กิจการบางอย่าง ที่หวังว่า สินทรัพย์นั้นหรือกิจการนั้น ให้ผลตอบแทนมาในรูปของผลประโยชน์ของสินทรัพย์นั้น เช่น ถ้าซื้อกิจการก็หวังกำไร หรือ ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาปล่อยเช่า ก็หวังค่าเช่า เป็นต้น
การเก็งกำไร คือ การนำเงินออมไปซื้อสินทรัพย์บางอย่าง เพื่อหวังผลกำไรของส่วนต่างราคาที่จะขายในอนาคต
การพนัน คือ การนำเงินออมเข้าไปเดิมพันกับผลแพ้ชนะบางอย่าง เมื่อเราชนะ เราจะได้เงินตรงนั้น แต่หากแพ้เราจะเสียเงินตรงนั้นไปเลย
ความเสี่ยงของเครื่องมือแต่ละตัวมีไม่เท่ากัน และ เราจะต้องพิจารณาให้ดี แต่โดยปกติแล้ว สิ่งใดความเสี่ยงสูง ย่อมได้รับผลตอบแทนสูง แต่มีข้อที่สำคัญที่สุด ก็คือ ความรู้ จะเป็นสิ่งเดียวที่จะลดความเสี่ยงลดลงได้ ดังนั้น ทุกคนจะเข้าใจว่า ในการซื้อสินทรัพย์ตัวเดียวกัน เช่น หุ้นบางตัว อีกคนหนึ่งสามารถทำกำไรได้ แต่อีกคนขาดทุน
การบริหารเงินและสินทรัพย์ เราจำเป็นต้องกระจายเงินออมของเราไป สู่ 4 แหล่ง ของการเติบโตของการเงิน โดย วิธีที่ควรจะเป็นมากที่สุด คือ การออม
เราจำเป็นจะต้องเลือก สินทรัพย์ให้เราออมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ให้เป็นที่มั่นก่อน จะนำไปเงินออมไปกระจายสู่ การลงทุน การเก็งกำไร หรือ การพนัน
เหตุต้องทำแบบนี้เพราะ การลงทุน การเก็งกำไร และการพนัน จะมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินของเราได้ และ ไม่ว่าจะได้หรือสูญเสียเงิน เราจะเกิดภาวะความไม่มั่นคงในจิตใจในเรื่องของเงิน ซึ่ง จะทำให้เราประมาทและมีโอกาสเสียเงินก้อนทั้งหมดได้ โดยเฉพาะการพนัน .. และเมื่อหมดเงินออมทั้งหมด เราจะไม่มีเงินไปบริหารให้งอกเงยออกมาได้เลย
การกระจายความเสี่ยง เราจำเป็นจะต้องกระจาย เงินออม ตั้งแต่แรก ว่า จะนำไปสู่ การออม หรือ การลงทุน หรือ การเก็งกำไร หรือ การพนัน
โดยหลักการที่สำคัญ ควรจะ การออม ให้เยอะที่สุด การลงทุน เยอะรองลงมา การเก็งกำไร รองลงมา และ การพนัน น้อยที่สุด
การออม 50% การลงทุน 30% การเก็งกำไร 20% และการพนัน 10% หรือ เราจะเน้นเพียงแต่แค่การออม กับ การลงทุนเท่านั้นก็ได้ เป็นพีรมิดดังนี้
……………………..….............../\
การพนัน……….……….…../10%\
การเก็งกำไร......………../.. 20%.. \
การลงทุน…....………../….. 30%......\
การออม.……………../…….50%...........\

ถ้าเราทุ่มไปทั้งหมดกับการเก็งกำไร และ การพนัน .. ซึ่งในสนามนี้จะมี “ผู้ที่ได้”และ“ผู้ที่เสีย” ซึ่งแต่ละคน ต่างจ้องจะเป็นผู้ชนะด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งถ้าหากเราไม่เชี่ยวชาญและไม่มีวิธีการรักษาเงินออมที่ดีพอ .. โอกาสที่จะเป็นผู้แพ้ในสนามนี้ย่อมมีสูงมาก
ดังนั้น การแบ่งเงินออม ควรจะมี 4 บัญชี หรือ แยกบัญชีให้ขาดจากกันไปเลย ทั้ง เงินส่วนไหนเราไว้ออม เงินส่วนไหนจะโยกนำมาลงทุน เงินส่วนไหนเก็งกำไร เมื่อเราแบ่งแบบนี้แล้ว เราจะต้องรักษาวินัย และพิจารณาให้ดีอยู่เสมอๆ ถ้าหากเราเกิดติดลบจากการลงทุน เก็งกำไร หรือ การพนันก็ตาม เราจะไม่นำเงินออม มายุ่งจนหมดเนื้อหมดตัว
ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าการทำให้เงินเติบโต มี 4 วิธี ดังนั้น เราต่อไปเราจะต้องรู้ว่า สินทรัพย์ใดเหมาะกับการออม สินทรัพย์ใดเหมาะกับการลงทุน และ สินทรัพย์ใดเหมาะกับการเก็งกำไร และ เราจะชนะการพนันได้อย่างไร ติดตามในบทความหน้าครับ

30/06/2022

สาเหตุและวิธีการแก้ไขของ “เงินเฟ้อ”
กับ ความสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน ?
ทุกคนคงทราบกันดีแล้วว่า สถานการณ์ปัจจุบันทั่วทุกมุมโลก เกิดปัญหา “เงินเฟ้อ”
ซึ่ง เงินเฟ้อ นั้น ก็คือ ระดับราคาสินค้าแพงขึ้น ซึ่ง สาเหตุของเงินเฟ้อ มีได้ 2 สาเหตุ
1.ต้นทุนสินค้าและบริการพุ่งสูงขึ้น .. อาจเกิดจากการขาดแคลนวัตถุดิบบางประเภท วัตถุดิบนั้นหายากขึ้น เกิดภัยพิบัติ สงคราม ทำให้สินค้าต่างๆ มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ
2.ปริมาณเงินในระบบมีมากเกินไป .. เกิดจากการมีเงินในระบบมีมากเกินไปกว่าผลผลิตที่จะผลิตได้
กล่าวถึงในกรณีที่ 2 ก่อนว่า สาเหตุเงินเฟ้อ เกิดจากปริมาณเงินในระบบมากเกินไป .. ทางธนาคารกลาง จะใช้วิธีดูดเงินออกจากระบบ ได้ ด้วยการ “ขึ้นอัตราดอกเบี้ย” ซึ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และ จะมีนโยบายการเงินอื่นๆตามมาด้วย จะเป็นการที่ธนาคารกลางต้องการดูดเงินออกจากระบบ เพื่อไม่ให้คนใช้เงินมากเกินไป เพราะ เนื่องจากยิ่งใช้เงินมากๆ ก็จะยิ่งเกิดเงินเฟ้อตามมามาก
เหตุทำไม การใช้เงินมากๆ เงินเฟ้อก็จะมากขึ้นตาม .. รายจ่ายของอีกคนหนึ่ง คือ รายได้ของอีกคนหนึ่ง .. เมื่อทุกคนใช้จ่ายมากๆ แปลว่า ทุกคนก็มี “รายได้มาก” เมื่อมี “รายได้มาก” กำลังการซื้อก็มีมากขึ้น ก็จะยอมจ่ายราคาสินค้าที่แพงขึ้น เมื่อ ยอมจ่าย ราคาสินค้าแพงขึ้น ก็จะทำให้ราคาของสินค้ากระทบทั่วไปหมด ทำให้เกิดเงินเฟ้อ
การขึ้นดอกเบี้ย เป็นการชะลอการใช้จ่าย ของภาคประชาชน ให้ ภาคประชาชน มีความสนใจนำเงินไปฝาก หรือ ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้นในอนาคต ทำให้ การชะลอการใช้จ่ายนี้ เพื่อนำเงินไปลงทุน นี้ ก็จะหมายความว่า การลงทุน ก็คือการสร้างผลผลิต เมื่อ ผลผลิตออกมามากขึ้น ระดับราคาสินค้าก็จะไม่สูงขึ้นเกินไป
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่กว่าจะได้ผลผลิตออกมามากขึ้น เราจะต้องแลกด้วยการ “เศรษฐกิจถดถอย” .. การขึ้นดอกเบี้ยนั้น เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับทางธุรกิจ และ ให้ประชาชนชะลอ การใช้จ่าย เมื่อ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันคงไม่ดีแน่ๆ
เมื่อประชาชนชะลอการใช้จ่าย ทำให้ สินค้าในระบบเศรษฐกิจเหลือมากขึ้น ทำให้ ธุรกิจมีรายรับลดลง และ ดอกเบี้ย ทำให้ธุรกิจ มีต้นทุนสูงขึ้น และ จะส่งผลโดยรวมต่อธุรกิจว่า ธุรกิจ มีโอกาสเจ๊ง มากขึ้น
เห็นไหมว่า การขึ้นดอกเบี้ย ไม่ได้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ และ ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเลย .. แต่การขึ้นดอกเบี้ยจำเป็นมาก ถ้าเกิดสาเหตุเงินเฟ้อในสถานการณ์ที่ 2 เพราะ เมื่อมีปริมาณเงินมาก แปลว่า คนรวยมากขึ้น แปลว่า เศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไปก็คงไม่ดี เพราะ ผลผลิต ผลิตตามไม่ทัน จึงต้องให้ชะลอไว้ก่อนบ้าง จึงเป็นการดีและเป็นการรักษาสเถียรภาพทางเศรษฐกิจ .. ( ใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ย ตอนเศรษฐกิจดี จะเป็นการดี )
แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า สถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบัน ไม่มาจากสาเหตุที่ 2 นะสิ ! .. มันเกิดจากสาเหตุต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น คือ “น้ำมัน”
สถานการณ์ปัจจุบัน คนไม่มีรายได้มากขึ้นเลย และ ไม่ได้มีปริมาณเงินในเศรษฐกิจมากเกินไปด้วย แต่ สาเหตุของเงินเฟ้อ มาจาก ต้นทุนของราคาน้ำมัน เป็นสำคัญ
ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ย ของธนาคารกลางที่เห็นว่าจะต้องขึ้นนั้น ผมไม่เห็นด้วย อย่างมาก .. เนื่องจาก จะยิ่งซ้ำเติมให้เศรษฐกิจพังลงอีก ทั้งๆที่ตอนนี้ก็พังมากพออยู่แล้ว
การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ จากสาเหตุที่ 1 ไม่ใช่ แก้ที่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ต้องแก้ที่ “การสร้างรายได้”
เราจะต้องดูที่สาเหตุเป็นสำคัญว่าจะใช้เครื่องมืออะไรแก้ปัญหาเศรษฐกิจ .. เมื่อเกิดจากต้นทุนแพง ก็ต้องไปจัดการที่ต้นทุน ไม่ใช่ นโยบายทางการเงิน ซึ่งตรงนี้ ถ้าจะให้ตรงจุดจริงๆ ผู้ว่าแบงค์ชาติ ควรจะไปบอก นายก ด้วยความจริงว่า สถานการณ์เงินเฟ้อเป็นอย่างไร ? และ การขึ้นดอกเบี้ยจะมีผลกระทบที่แย่ลงไปอีก .. และสถานการณ์นี้ ควรจะแก้ปัญหาด้วยการ สร้างรายได้ ให้แก่ประชาชน เพื่อสู้ปัญหาเงินเฟ้อ ไม่ใช่ การขึ้นดอกเบี้ย
การสร้างรายได้ ที่มากขึ้น จะเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันคลี่คลายลงได้
เงินเฟ้อ 7.1% ที่ไทยประกาศออกมา จะไม่กระทบกระเทือนมากเท่าไหร่ ถ้าเรามีรายได้ เติบโต 10-20%
ดังนั้น การแก้ปัญหาของเงินเฟ้อ ของเราได้ดีที่สุด ในสถานการณ์แบบนี้ ก็คือ การสร้างรายได้ ให้กับตัวเราเองให้มากที่สุด ผู้นั้นก็คงจะอยู่ได้ในเศรษฐกิจ แต่ถ้าหากใครมีรายได้เท่าเดิม นั้นจะหมายถึงว่า จะมีคนบาง บางกลุ่ม ที่มีรายได้ ไม่เพียงพอที่จะอยู่ต่อในเศรษฐกิจของประเทศไทยแล้ว
ไทย ยังมีช่องว่างในการหารายได้อีกมากมาย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ซึ่งขนาดวิกฤติทางการเงินปี 40 ยังมี จัดแคมป์เปน Amazing Thailand ได้เลย ซึ่งทุกวันนี้ นักท่องเที่ยว ก็เริ่มเที่ยวแล้ว เริ่มมีการออกเดินทางบางแล้ว เหตุใด ยังไม่เห็นมีแคมป์เปน อะไรที่ดึงดูดที่น่าสนใจได้เลย
ถ้าทุกอย่างปล่อยเป็นไปตามมีตามเกิด .. ประชาชน ทุกคนก็คงจะเดือดร้อนกันไปทุกย่อมหญ้า เพราะ ไม่มีทางจะมีรายได้เพิ่มขึ้นได้เลย ถ้าเราไม่มีคนเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของเราได้มากขึ้น
รายได้จะเพิ่มขึ้นจากเดิมได้ มีแค่ 2 ทางเท่านั้น คือ 1.มีผลผลิตเพิ่มขึ้น คือ การส่งออกดีขึ้น ค้าขายดีขึ้น 2.มีคนเข้ามาใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น
การกระจายรายได้ ได้ดีที่สุด คงมีแต่การท่องเที่ยวเท่านั้น ที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศไทยได้ และ ฟื้นฟูภาคประชาชนได้
ดังนั้น ที่ธนาคารกลางของไทยกำลังจะขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์และไม่ตรงประเด็นที่สุด เพราะคนละสาเหตุกัน .. และการสิ้นสุดของเงินเฟ้อได้นั้น คือ การเพิ่มรายได้ของเราเอง นั่นเอง

29/06/2022

แท้จริงแล้ว การพิมพ์เงิน ไม่ต้องมีอะไรมาค้ำ
กับคำตอบของวิกฤตในลาวและศรีลังกา
กับคำตอบของอเมริกาพิมพ์เงินได้อย่างไม่จำกัด
บทความนี้เป็นความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ที่จะอธิบายเกี่ยวกับการเงินระดับประเทศ ที่จะทำให้คุณเข้าใจในวิกฤติจากประเทศเล็กๆ ได้เป็นอย่างดี
ก่อนอื่นผมจะขออธิบายเรื่องของการพิมพ์เงินก่อน ว่าเป็นอย่างไร ? และ การพิมพ์เงินนี้ ผมขอกำหนดขอบเขตเศรษฐกิจที่มีผลภายในประเทศอย่างเดียว ยังไม่มีการนำเข้า ส่งออก หรือ ปัจจัยจากต่างเศรษฐกิจ
เงิน หรือ ปริมาณเงิน แท้จริงแล้ว เราไม่ต้องมีอะไรมาค้ำเลยก็ได้ จะพิมพ์มาเท่าไหร่ก็ได้ ในเศรษฐกิจตรงนั้น ยกตัวอย่างเช่น ไทย ก็พิมพ์เงินมาได้เลย หรือ ญี่ปุ่น ก็พิมพ์เงินมาได้เลย หรือ เวเนซูเอล่า ก็พิมพ์เงินเข้ามาได้เลย โดยการพิมพ์เงินนั้น จะมีความสัมพันธ์กับ ระดับราคาของสินค้า
คุณเคยเห็นความแตกต่างไหมว่าทำไม บะหมี่ ของญี่ปุ่น มีราคา 1000 เยน ส่วน ไทย 50 บาท ทำไมตัวเลขข้างหน้าญี่ปุ่นถึงใช้เยอะกว่า ตัวเลขของไทย
ก็เป็นเพราะ "ปริมาณเงิน" ที่ใช้ กำหนดเศรษฐกิจของญี่ปุ่น มี "มากกว่า" ของ ไทย ยังไงหละ
สมมติอย่างให้ ไทย มีบะหมี่ มูลค่า 1000 บาท ให้ตัวเลขเท่ากับ ญี่ปุ่น 1000 บาท .. ก็ง่ายมากเลย ก็แค่ รัฐบาลไทย สั่งพิมพ์เงิน โอนเข้าบัญชีทุกคน คนละ 1 ล้านบาท ผลจะปรากฏว่า เมื่อคนรวยขึ้น มีเงิน 1 ล้านบาทในกระเป๋า

1.คนก็ไม่อยากจะทำงาน เพราะ เรามีเงินเหลือมากพอที่อยู่ในเศรษฐกิจ
2.เมื่อคนไม่อยากทำงาน ร้านค้าก็จะต้องจ้างลูกจ้างแพงขึ้นเพื่อให้คนมาทำงาน
3.เมื่อร้านค้าจ้างงานแพงขึ้น ก็จะทำให้ ต้นทุนสินค้าสินค้าสูงขึ้น และ ทำให้ ขายสินค้า แพงขึ้น
4.เมื่อราคาสินค้า สูงขึ้น บะหมี่ ก็จากชามละ 50 บาท เป็น ชามละ 1000 บาท เท่าญี่ปุ่นแล้ว
เห็นไหมว่า การพิมพ์เงิน ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจล่ม มันก็จะเกิดเงินเฟ้อไปเรื่อยๆ แต่เงินเฟ้อแบบนี้ ไม่ได้มีผลกระทบอะไร เพราะ เรามีรายได้เพิ่มขึ้น และ เงินเฟ้อสูงขึ้น และไม่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมด้วย เพราะ สุดท้าย เราก็จะมีกำลังซื้อสินค้าน้อยลง จากภาวะเงินเฟ้อ ซ้ำยังจะกระทบเงินออมในอดีต ด้วย ถ้าเราเก็บเป็นรูปของเงินสด กำลังซื้อจะหายไปมาก
ดังนั้น ธนาคารกลาง จะไม่พิมพ์เงินเข้ามามั่วซั่ว อย่างแน่นอน ที่เขาพิมพ์เงินเข้ามาก็จะต้องมีเหตุผล ในการรักษาระดับสเถียรภาพของราคาและสเถียรภาพของเศรษฐกิจ เพราะ การพิมพ์เงินมาแจกแบบมั่วๆไม่ได้แก้ปัญหาอย่างใดๆ ซึ่งธนาคารกลาง ก็สามารถดูดเงินออกจากระบบได้เช่นเดียวกัน ในกรณีที่พิมพ์เงินมาเกิน
การพิมพ์เงินเข้ามานั้น จะต้องสร้างให้เกิดผลผลิตภายในเศรษฐกิจ ไม่อย่างงั้น ไม่ต้องพิมพ์เข้ามา เพราะ มันไม่มีประโยชน์ มันจะเกิดแต่เงินเฟ้อ
การพิมพ์เงินเข้ามา ส่วนมากธนาคารกลางจะทำผ่านธนาคารพานิชย์ เป็นสำคัญ ซึ่งจะลงรายละเอียดอีกทีหนึ่ง แต่ ระบบธนาคารพานิชย์ จะเป็นเครื่องมือหลักของธนาคารกลางในการกระจายเงิน ซึ่งจะมาในรูปของการกู้ยืม เพื่อให้ ประชาชน ไปสร้างผลผลิต
ดังนั้น คุณจะเห็นว่า ลาว และ ศรีลังกา ไม่พิมพ์เงินเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้น เงินเฟ้อ ที่สูงขึ้นในลาวและศรีลังกา เป็นผลมาจากด้านต้นทุน ไม่ใช่ด้านการพิมพ์เงิน เหตุผลที่ลาวและศรีลังกา ไม่พิมพ์เงิน เพราะ มันไม่มีประโยชน์ใดๆ ของการพิมพ์เงิน เพราะมันไม่ได้ทำให้ผลผลิตของประเทศเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งเขาได้ตัดสินใจถูกต้องแล้ว แต่ถ้าหาก 2 ประเทศนี้ พิมพ์เงินเข้ามาแก้ปัญหา จะไม่ต่างจากประเทศเวเนซูเอล่า ที่พิมพ์เงินเข้ามา และเงินเฟ้อมหาศาล ก็เพราะเหตุนี้ ที่พิมพ์แต่เงิน ไม่มีผลผลิต เงินเลยไม่มีค่าใดๆ
ดังนั้น เงิน มีความสำคัญมาก ในเวลาที่เศรษฐกิจปกติ .. เศรษฐกิจจะปกติได้ ก็ต้องมีผลผลิตและคนทำงาน .. ดังนั้น ประเทศใด ไม่มีผลผลิต ประเทศนั้นเศรษฐกิจก็จะใกล้ล่มสลาย และ จะนำมาสู่เงินที่ล่มสลาย
อันนี้คือสถานการณ์การพิมพ์เงินที่ไม่มีปัจจัยภายนอก แต่ในโลกของความเป็นจริงเรามีการค้าขายกับต่างประเทศอยู่เสมอๆ บางประเทศผลิตน้ำมันได้ บางประเทศผลิตข้าวได้ บางประเทศผลิตเทคโนโลยี ได้ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เราจะแลกเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้กันได้อย่างไร ?
เงิน หรือ สกุลเงิน ในแต่ละประเทศ จะมีค่าเฉพาะในเขตเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ เช่น บาทไทย ก็จะมีค่าแค่ในเศรษฐกิจไทยเท่านั้น ไม่มีค่าที่ประเทศอื่นๆเลย .. เรามีเงินบาท ไปที่ญี่ปุ่น เงินบาทตรงนั้นเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไปเลย
ดังนั้น เวลาแลกเปลี่ยนของข้ามเศรษฐกิจกัน เราจะต้องนำสิ่งที่มีค่ามาแลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกัน .. เหมือน ของแลกของ
เช่น ไทยมีข้าว ส่งข้าวไปดูไบ และ ดูไบ เอาน้ำมันมาให้ไทย
แต่เราสามารถชำระเป็นเงินซึ่งกันและกันได้ ถ้าหากต่างฝ่ายต่างเชื่อใจกัน เช่น ไทย ส่งข้าวไปให้ ดูไบ .. ดูไบ ก็ให้เงิน ดูไบ มาที่ไทยก่อน และ วันหลัง เราเอาเงิน ดูไบ ที่ได้มา ไปซื้อ น้ำมันจากดูไบ ก็ได้
ตอนนี้ทุกคนเริ่มเห็นแล้วว่า ถ้าเราเชื่อใจในเงินแต่ละประเทศกัน ประเทศมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เงินก็จะมีความน่าเชื่อถือ สามารถชำระแลกเปลี่ยนข้ามเศรษฐกิจได้
ยกตัวอย่างเช่น เราส่งข้าวไปให้ดูไบ และ ดูไบ ให้ดอลลาร์สหรัฐมา ถามว่า ไทย จะเอาไหม คำตอบคือ เอาสิ เพราะ ไทย ติดต่อค้าขายกับสหรัฐอยู่แล้ว ก็เอาเงิน ดอลลาร์ ที่ได้มา ไปซื้อจากสหรัฐก็ได้
เห็นไหมว่า เงิน จะมีค่าเมื่ออยู่ในเศรษฐกิจนั้น ถ้าเราต้องการสกุลเงินของประเทศไทย แปลว่า เราจะต้องเอาไปซื้อของที่เศรษฐกิจประเทศไทย จึงจะได้รับการยอมรับ
ดังนั้น ประเทศมหาอำนาจ อย่าง อเมริกา จีน ยุโรป อังกฤษ จะเป็นประเทศที่แข็งแกร่งมาก มีสินค้าทุกอย่างที่เราต้องการอยู่บนประเทศเหล่านี้ ดังนั้น การที่เรามีเงินของประเทศเหล่านี้ เราสามารถนำมาซื้อสินค้าของประเทศเหล่านี้ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะ ดอลลาร์สหรัฐ ที่เอาไว้ซื้อน้ำมันได้ทั่วทั้งโลก
ดังงั้น เงิน ทุกสกุล ไม่ใช่เป็นที่ต้องการ อย่าง กีบลาว และ รูปีศรีลังกา เพราะ ถ้าเอาเราถือเงิน กีบ ไว้ หรือ รูปีศรีลังกา ไว้ เราจะเอาอะไรไปซื้อของจากประเทศเหล่านี้
คำตอบ คือ ถ้าเราไม่ติดต่อค้าขายกับประเทศเหล่านี้ และ ประเทศเหล่านี้ ไม่มีผลผลิตส่งออกจากต่างประเทศอยู่แล้ว ก็ไม่มีใครอยากได้เงินตรงนี้ไว้ เพราะมันไม่มีค่า ใดๆจากข้ามเขตเศรษฐกิจ ดังนั้น ลาว และ ศรีลังกา จะต้องหาผลผลิตไปขาย หรือ ของมีค่าอย่าง ทองคำ ไปซื้อของจากต่างประเทศ
ซึ่ง ทั้ง 2 ประเทศนี้ แทบไม่มีผลผลิตส่งออก หรือเงินทุนไหลเข้าจากการลงทุน หรือ การท่องเที่ยว ทำให้ ไม่มีสกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่มีค่าเข้ามาเพื่อซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ และ เมื่อประเทศไม่มีน้ำมัน นั้นจะทำให้กระบวนการผลิต กระบวนการขนส่ง แทบจะต้องหยุด ชะงัก ซึ่ง เมื่อเครื่องจักรเหล่านี้ หยุดชะงั้น คนก็ทำงานไม่ได้ ก็นั้นจะเป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจยิ่งล่มสลายเร็วขึ้นไปอีก
นี่คือคำตอบของการ มีแต่เงิน แต่ไม่มีผลผลิต .. ดังนั้น ตามทฤษฏีการพิมพ์เงิน ไม่จำเป็นจะต้องมีสินทรัพย์มาค้ำก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติ เราจะต้องมีสินทรัพย์มาค้ำ ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ ส่วนใหญ่เงินตราต่างประเทศมหาอำนาจ กับ ทองคำ เนื่องจาก เวลาที่เราติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ บอกว่า เอาเงินบาทฉันไปเถอะ เธอเอามาเงินบาทมาซื้อของในเศรษฐกิจฉันได้ ฉันมีข้าว หรือ ถ้าเธอจะไม่ซื้อของๆฉัน ฉันก็มีเงินดอลลาร์ หรือ ทองคำ ซึ่งก็เอาไว้ใช้ต่อได้
ดังนั้น สินทรัพย์ที่ค้ำประกันไว้กับเงินที่พิมพ์ของแต่ละประเทศ จึงมีความสำคัญมากกับประเทศที่ไม่มีความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจ เป็นตัวประกันว่า เงินของตัวเองมีค่าในสายตาต่างชาติ ไม่ใช่เฉพาะสายตาในเศรษฐกิจของตัวเอง
ทุกคนคงจะเห็นข่าวว่าถ้าประเทศใดทุนสำรองระหว่างประเทศใกล้หมด นั้นจะทำให้เกิดวิกฤติ เพราะ ประเทศส่วนใหญ่ที่ทุนสำรองระหว่างประเทศหมดนั้น ประเทศนั้น เงินของตัวเองจะไม่มีค่า และ ไม่มีสินทรัพย์มีค่าใดๆ ที่จะไม่มีเงินไปซื้อสินค้าจากต่างประเทศมาเพื่อดำเนินกิจการภายในประเทศ เช่น น้ำมัน เป็นสำคัญ เมื่อไม่มีวัตถุดิบหลักจากต่างประเทศนำเข้ามาได้แล้ว ประเทศก็จะต้องกลับมาดำเนินกิจการแบบตามมีตามเกิดตามแต่ทรัพยากรภายในประเทศเท่านั้น
และเป็นข้อสรุปสำคัญที่ว่าประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา พิมพ์เงิน ไม่จำกัด และไม่ต้องมีสินทรัพย์มาค้ำใดๆ เพราะ เงินดอลลาร์ มีค่าเสมอ เป็นที่ต้องการ และ สามารถนำเงินดอลลาร์มาซื้อน้ำมันได้เสมอๆ และตามจริงไม่เพียงแต่ อเมริกา เท่านั้น กลุ่มยุโรป ญี่ปุ่น และ จีน ก็พิมพ์เงินเข้ามาเสมอๆ เพื่อรักษาสเถียรภาพทางเศรษฐกิจของเขาเช่นเดียวกัน

28/06/2022

เหตุใดทองคำ จึงมีมูลค่าสูงขึ้นผ่านกาลเวลา
ปัจจุบัน ทองคำ ถือเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่เอาไว้สำหรับเก็งกำไร และ มีแนวโน้มราคาขึ้นอย่างต่อเนื่องตามภาวะของเศรษฐกิจ
ดังนั้น จึงมีคนจำนวนมากว่า ทองคำ คือ หนึ่งในสินทรัพย์เอาไว้เป็นทางเลือกที่ไว้ใช้ออม เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เวลาที่ทองคำขึ้นจึงจะขายออกเพื่อทำกำไรจากราคาที่ซื้อไว้ในอดีต
เราแบ่งได้ 2 สาเหตุหลัก ที่ทำให้ทองคำมีราคาสูงขึ้นตามภาวะของเศรษฐกิจและมีแนวโน้มเติบโตที่ดีพอจะชนะเงินเฟ้อได้
1.ปัจจัยส่วนบุคคล .. เกิดจาก ประวัติศาสตร์อันยาวนานของทองคำที่เคยใช้เป็นวัสดุทำเงิน
ซึ่งในสมัยก่อนนั้นทองคำ เคยถูกนำมาใช้เป็นวัสดุทำเงิน และ เป็นตัวกำหนดปริมาณเงิน ซึ่ง ทองคำ ไม่เคยเป็น “เงิน”
ในสมัยเมื่อประมาณต้น ปี 1900 ถือเป็นยุคการเงินที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับทองคำ ซึ่งการที่เราจะผลิตเงินออกมาได้ในสมัยนั้น จะต้องใช้ทองคำ เป็นวัสดุทำเงินขึ้นมาเป็นเหรียญ และต่อมามีกระบวนการที่ผลิตออกมาเป็นเหรียญไม่ทัน จึงได้มีการนำกระดาษ ออกมาใช้แทนทองคำไว้ก่อน ที่เป็นตั๋วแลกเงิน และนำมาสู่การพัฒนาเป็น ธนบัตร ที่ใช้ในปัจจุบัน
ในสมัยเมื่อทองเป็นวัสดุทำเงิน ในตอนนั้น ทองคำ จะไม่มีมูลค่าในตัวของมันเอง ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันนี้ .. ทองคำ ในสมัยนั้น ถ้าเราได้ทองคำมา 1ก้อนแล้ว ทองคำก้อนนั้น สามารถทำเป็นเงินได้ 10ดอลลาร์ เท่ากับว่า ทองคำก้อนนั้น มีมูลค่า 10 ดอลลาร์ .. แตกต่างจากปัจจุบัน ที่ ทองคำ มีราคาขึ้นหรือลงตามต้องการของตลาดและภาวะเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้นๆ
ด้วยประวัติศาสตร์ที่ทองคำ ถูกนำมาใช้เป็นวัสดุทำเงิน นั้นทำให้ทองคำมีค่า เหมือนกับเงินจริงๆ ด้วย “ความเชื่อ” นี้ ทำให้ ทองคำ กับ เงิน มีค่าเช่นเดียวกัน
แต่เมื่อปี1972 โลกได้มีการยกเลิกการผูก “ปริมาณเงิน” กับ “ทองคำ” อย่างสิ้นเชิง ซึ่งนั่นจะทำให้ ทองคำ มีมูลค่าในตัวของมันเอง และ เป็นสินทรัพย์หนึ่งของโลกใบนี้
ทองคำ เป็น สินทรัพย์ที่มีค่า .. แท้จริงแล้วทองคำ ก็คือ โลหะชนิดหนึ่ง ที่มีการนำกระแสไฟฟ้าได้ดี ได้มีการถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะใช้ทองคำเพื่อแสดงถึงความมั่งคั่ง และ มีค่า สถานะเช่นเดียวกับ เพชร พลอย ซึ่งจะแตกต่างจาก ที่ดิน หรือ สินทรัพย์อื่นๆ เช่น รถยนต์ แก้วน้ำ เสื้อผ้า ที่ เราสามารถใช้ประโยชน์จากวัตถุประสงค์ของสินทรัพย์นั้นๆ
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่มีค่า คือการถูกปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นจากผู้ใหญ่รุ่น baby boomer ว่า “เมื่อรวย จงซื้อทองเก็บไว้” และ ทองคำ คือ “สิ่งที่มีค่า” .. การปลูกฝังดังนี้ นั้นจะทำให้มี demand ในการซื้อทองคำ เข้ามาใหม่เสมอ เมื่อมี demand ในการซื้อทองคำเรื่อยๆ นั่นจะทำให้ ทองคำ มีราคาที่สูงขึ้นไปผ่านรุ่นสู่รุ่น .. ทองคำ มีปริมาณที่จำกัดอยู่บนโลกนี้ การค้นหาทองคำในแต่ละปีเติมเข้ามาในระบบเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด ที่ต้องใช้เวลาสำรวจ ขุด เจาะ ถลุง นั่นทำให้ ถ้ามีดีมานด์เติมเข้ามาในระบบทองคำเยอะ ทองคำจะมีราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
มีข้อสังเกตุที่น่าสนใจ ถ้าหากคนรุ่นใหม่เลิกปลูกฝัง ว่าทองคำ คือ สิ่งที่มีค่า และ ไม่ได้สนใจในประวัติศาสตร์ของทองคำ ก็จะทำให้ดีมานด์ในการซื้อทองคำลดลงได้ ซึ่งบางครั้งคนรุ่นใหม่ อาจจะหันไปหา แบรนด์เนม หรือ สิ่งของอื่นแทน ที่แต่ละคนสนใจและเชี่ยวชาญมากกว่า เพราะ ราคาแบรนด์เนม อย่างกระเป๋า Channel ก็มีราคาขึ้นทุกปี
2.ปัจจัยระดับประเทศ .. ทั่วโลกให้การยอมรับว่า ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่มีค่า เป็นสินทรัพย์ที่มีค่าจากความเชื่อมั่นในสินทรัพย์นั้น .. ไม่ใช่จากประโยชน์ของทองคำ .. ถ้าจะพูดง่ายๆ คือ ประเทศเราเชื่อว่าทองคำมีค่า เราอยากได้ทองคำ ถือเป็นสินทรัพย์ที่เราต้องการเก็บเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์นั่น เราก็ต้องการมัน
ธนาคารกลางทั่วโลก ให้การยอมรับและซื้อทองคำเก็บไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และ ยังสามารถนำทองคำมาค้ำประกันในการพิมพ์เงินของแต่ละประเทศได้
นี่คือจุดยึดที่สำคัญเลยก็ได้ว่า ทองคำ ที่มีมูลค่ามาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะ ธนาคารกลางของทั่วโลก ให้การยอมรับว่า ทองคำ มีค่าจริงๆ และ ใช้ในการเพิ่มปริมาณเงินออกมา นั่นทำให้ดีมานด์ในทองคำมีสูงขึ้นอยู่เสมอๆ และแรงซื้อจากธนาคารกลางของแต่ละประเทศนั้น มีสูง และ เป็นตัวนำให้ประชาชนทั่วไป ได้ซื้อตามๆกันด้วย ซึ่งในทุกๆปีของประเทศไทย ก็จะมีการซื้อทองคำเก็บไว้ ที่ไทยซื้อทองคำเพิ่มอีก 90 ตัน ทำให้ประเทศไทยมีทองคำสะสมในปัจจุบันกว่า 244.4 ตัน
ดังนั้น ด้วยเหตุผล 2 สิ่งนี้ จะทำให้ ทองคำ มีมูลค่าผ่านกาลเวลา โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวสินทรัพย์ ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่อย่างไร แต่ สินทรัพย์ทองคำ ถูกจัดให้มีค่า ถ้าเป็นฝั่งระดับประเทศก็จะมองถึงการใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศและการค้ำประกัน ส่วนภาคประชาชน นั้นก็แสดงถึงความมั่งคั่ง ร่ำรวย เป็นของแสดงฐานะทางสังคมได้อีกทางหนึ่งด้วย
ทองคำ ไม่สามารถล่มได้ หรือ มีมูลค่าเป็น 0 ได้ เนื่องจาก ความเชื่อของธนาคารกลางแต่ละประเทศ ยังมั่นคง และ จะต้องมั่นคงต่อไปเรื่อยๆ เพราะ ถ้า ราคาทองคำ เป็น 0 เมื่อใด คนที่เสียหายที่สุด ก็คือ ธนาคารกลางแต่ละประเทศนั้นเอง ซึ่ง สหรัฐอเมริกา มีทองคำมากที่สุดในโลกประมาณ 8133.5 ตัน หรือ คิดเป็นมูลค่ากว่า 3.78 แสนล้านดอลลาร์ .. อเมริกาจะต้องทำทุกวิถีทางให้ทองคำมีมูลค่าต่อไปเรื่อยๆ อาจจะต้องการปลูกฝัง หรือ ให้ค่าทางการเงิน เพื่อนำดีมานด์เข้ามาสู่ตลาดทองคำให้ได้
สำหรับความเห็นส่วนตัวของทองคำ .. ผมมีความเชื่อมั่นในทองคำพอสมควร ที่จะมีมูลค่าเสมอและมีมูลค่าผ่านกาลเวลา .. เพราะ แรงซื้อมาจากทั้งส่วนบุคคลที่เชื่อมันในความมีค่าของทองคำ และ ธนาคารกลาง ในการเข้าซื้อเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเสมอๆ .. ทองคำ จึงจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นสู้กับเงินเฟ้อได้ แต่จะต้องอาศัยระยะเวลาอยู่พอสมควรเป็น หลัก 5-10 ปี เป็นอย่างน้อย .. เหตุที่เพราะ สู้กับเงินเฟ้อได้ ก็ตรงคำว่า เมื่อเรารวยก็ซื้อทองเก็บไว้ .. เมื่อเศรษฐกิจดี ธนาคารกลาง ก็ซื้อทองเก็บไว้ .. นี่แหละครับ เมื่อคนรวยขึ้น ซื้อทองเก็บไว้ ก็จะดันราคาขึ้น เมื่อคนรวยคนก่อน ซื้อเก็บไว้ พอสร้างเศรษฐกิจให้ดี ให้แข็งแกร่งแล้วบอกคนรุ่นถัดไปให้ซื้อทองเก็บไว้ ก็จะดันราคาขึ้น เมื่อคนรุ่นเก่าขาย คนรุ่นใหม่ก็มารับช่วงต่อ ดันแบบนี้กันเป็นทอดๆทั้งคนและธนาคารกลาง นั่นก็จะทำให้ ราคาทองคำไม่ล่มและมีมูลค่าผ่านกาลเวลา ดังเช่นนี้แล
บทความหน้าจะมาขอเล่าต่อถึง เราจำเป็นแค่ไหน ที่ต้องมีสินทรัพย์ ถึงจำเป็นจะต้องพิมพ์เงินออกมาได้ หรือแท้จริงแล้ว เราพิมพ์เงินออกมาโดยไม่จำเป็นต้องมีสินทรัพย์ใดๆ มาค้ำประกันไว้เลยก็ได้ .. และจะทำให้เข้าใจว่า ที่ประเทศลาว ศรีลังกา ที่ เศรษฐกิจกำลังจะล่มสลาย เป็นเพราะอะไร .. ไว้บทความหน้ามาหาคำตอบกันครับ
อ้างอิง : https://www.moneybuffalo.in.th/economy/which-country-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-collects-the-most-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3

24/06/2022

เรื่องเล่าที่แสนจะเรียบง่าย ที่เราเคยมองข้ามไป
คำสอนของผู้ใหญ่ในบ้านของผม ทั้งพ่อ แม่ ป้าทั้ง 2 คน ที่สอนเกี่ยวกับการเงินมาตลอดคือ “การออม”
ในสมัยเมื่อ 20 ปีกว่าก่อน ผมได้เข้าโรงเรียนแถวบ้านแห่งขึ้น ในทุกๆวันผมได้เงินไปวันละ 22 บาท ซึ่ง 20 บาทแรกเอาไว้สำหรับการซื้อขนมในตอนพักกลางวัน ส่วน 2 บาทนั้น เป็นค่าโทรศัพท์ตู้เอาไว้ใช้โทรบอกที่บ้านว่า “เลิกเรียนแล้วนะ ให้ป๊ามารับกลับมาหน่อย” และที่จำเป็นจะต้อง 2 บาท นั้น เพราะว่าโทรศัพท์มันชอบเสีย หยอดลงไปแล้วโทรไม่ได้ และ กินเงิน ไม่ได้คืน ก็จะต้องใช้ อีกบาท ในการโทรครั้งใหม่
ในทุกๆวัน ตอนก่อนเข้านอน แม่ของผมจะคอยชอบถามว่า
แม่ : “บิ๊ก เหลือเงินมาเท่าไหร่วันนี้”
ผม : “11 บาท ครับ” ตอบด้วยเสียงเรียบง่ายเป็นแบบปกติๆในทุกๆวัน
แม่ : “ดีแล้ว หยอดกระปุกซะนะ ครบปี แม่จะพาไปฝากธนาคาร”
เมื่อผมโตขึ้น โตขึ้น เข้าสู่วัยรุ่นและวัยเรียนมหาลัย ชีวิตของผมนั้นในช่วงวัยเรียนมัธยม ผมก็ได้เงินมากขึ้นจากแต่ก่อนวันละ 20 เป็นวันละ 100 บาท และช่วงเวลามหาวิทยาลัย ได้เป็นอาทิตย์ละ 1000 บาท
ผมก็ฝากธนาคาร เป็นการออมปกติเรื่อยมา โดยไม่ได้สนใจใดๆเลย ในความรู้ทางการเงินใดๆเลย และเงินที่ผมเก็บมานั้นได้ ก็รวบรวม และเข้าไปสมัครโครงการ work and travel ที่ทำงานชั่วคราวที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อจบโครงการ ผมก็มีเงินมาก้อนหนึ่งประมาณหลักแสน ก็มาทำโปรเจค startup และ การลงทุนต่างๆ โดยอาศัยความรู้จากที่เรียนและศึกษาความรู้เพิ่มเติม
มุมมองของผมที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนที่ถูกสอนให้ “ออมเงิน” กลายเป็น “หาเงิน” และ “หาวิธีที่ทำตัวเองรวยอย่างรวดเร็วได้มากสุด”
มุมมองตรงนี้ ทำให้ผมลงไอเดียต่างๆ และ การลงทุน ผิดพลาดไปเกือบทั้งหมด .. อาจจะเป็นเพราะความมั่นใจในตัวเอง และ มั่นใจในความคิดของตัวเอง ว่า การชนะไม่ใช่เรื่องยาก ยังไงก็ต้องต้องสำเร็จ ต้องสำเร็จ ต้องสำเร็จ
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผมล้มเหลว ก็เป็นช่วงเวลาเดียวที่ธุรกิจของทางบ้านใกล้จะล้มละลาย จากการบริหารทางการเงินผิดพลาดของพ่อของผมเอง ซึ่งธุรกิจนี้เป็นธุรกิจปล่อยเช่ารถแท็กซี่
ผมจึงได้กลับมาที่ช่วยธุรกิจที่บ้านอีกครั้ง โดยมีโจทย์ใหญ่ที่ว่า ในอีก 9 เดือนข้างหน้านี้ ถ้าเราไม่สามารถพาธุรกิจกลับมาจุดที่ยืนขึ้นได้อีกครั้ง ธุรกิจของเราจะล้มละลาย แท็กซี่ทุกคันจะถูกบังคับขาย และ เราจะเป็นหนี้อย่างมหาศาล รวมถึงอาจจะต้องโดนยึดทรัพย์สินต่างๆด้วย
แต่ในความโชคร้ายทั้งหมดนี้ ผมถือเป็นจุดเปลี่ยนและเป็นความโชคดีอย่างหาที่สุดมิได้ .. ผมได้จัดการบริหารธุรกิจแท็กซี่ต่อจากพ่อของผม ผมจัดการเจรจาต่อรองเจ้าหนี้ จัดการกระแสเงินสด และจัดการตลาดในการปล่อยเช่าใหม่ทั้งหมด ทำให้ 2 เดือนแรกมียอดกลับมาเป็นบวก และ ภายใน 6 เดือน ผมจัดการให้ธุรกิจแท็กซี่ยืนได้ด้วยตนเอง นั้นทำให้ธุรกิจกลับฟื้นคืนมาได้ในปัจจุบัน
ผมมานั่งนึกและย้อนคิดว่า เหตุใดพ่อผมถึงพลาด และ เหตุใดเราถึงทำผ่านมาได้ ?
ตามจริงแล้ว มันคือ หลักของการบริหารเงิน นั้นแหละที่ผิดพลาด ซึ่งตรงนี้ผมไม่ขอลงรายละเอียด แต่ มันเป็นเพราะ ภาวะความไม่มั่นคงของจิตใจอย่างที่ผมอธิบายไปแล้วในครั้งบทความก่อน และ หลักการบริหารการเงินทั่วไปเลย
เมื่อเรามีธุรกิจใหญ่ เราจะมักพลาดอะไรที่ไม่ควรจะพลาด เราเกิดข้อจำกัด และ นำไปสู่หนทางของความประมาท เราคิดว่าเราจะสามารถทำสำเร็จและเราจะเป็นผู้ชนะได้ แต่สุดท้ายเมื่อพลาดแล้ว ปัญหาใหญ่ก็จะตามมาเสมอ
ในวันที่ผมเข้าไป ผมยอมรับตรงๆว่า ผมไม่ได้ใช้อภินิหารใดๆ ในการฟื้นฟูธุรกิจ เพียงแต่ใช้หลักคิด ที่ทำยังไงก็ได้ให้มีเงินสดเหลือเพียงพอที่จะให้ธุรกิจเดินต่อ และ ชำระหนี้ ได้บ้าง
มันเป็นหลักคิดที่ผมได้นำมาอธิบายใน 2 บทความก่อนหน้าคือ “การรักษาเงินออม” ที่เราจะทำยังไงให้มีเงินออมให้ได้ก่อน เป็นสำคัญ
และจุดการที่เรารักษาเงินออมได้นั้น มันจะนำมาสู่ความแตกแขนงของความคิดทางการเงินอื่นๆ เช่น หลักในการเจรจาต่อรองเจ้าหนี้ งบประมาณในการทำการตลาด หลักการหมุนเงินที่เราจะทำยังไง
ซึ่งผมบอกได้ตามตรงเลยว่า ในความคิดของผมขณะทำงาน 1 เดือนแรก ผมก็มีความคิดที่ว่า มันยากนะ ที่เหลือเวลาแค่ 9 เดือนจริงๆ ที่เราจะต้องพลิกธุรกิจให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะนอนที่ไหน .. ผมคิดทางเลือกไว้อีกทางหนึ่งแล้วว่า ถ้า 3 เดือนแรกดูทรงแล้วไม่รอด .. อีก 6 เดือนต่อมา ผมจะไม่จ่ายหนี้ใดๆเลย จะเก็บเงินไว้ สำหรับใช้ต่อไปในอนาคต คือ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย .. แล้ววันหลังรอดค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง
ความสำคัญของแนวคิดของ “การรักษาเงินออม” มันสำคัญมากจนผมยกย่องได้เลยว่า ผู้รักษาเงินออมได้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าผู้ชนะในทางการเงิน .. และ จะไม่มีใครเป็นผู้ชนะในทางการเงินได้ ถ้าผู้นั้น ไม่มีแนวคิดใน “การรักษาเงินออม”
เมื่อเรามีสติกับการรักษาเงินออมเป็นที่มั่น จะส่งผลในหลายๆด้านของเรา และ เป็นหลักกการในการดำเนินชีวิตของเราอย่างแท้จริง
ในโลกปัจจุบัน เขาจะใช้คำว่า “รวย” เป็นตัวล่อ ซึ่งผมก็เคยติดกับมาแล้ว ทั้งการลงทุน และ การทำธุรกิจใดๆ ซึ่งผมคิดที่จะชนะมากเกินไป จนไม่รู้จักตัวเองดีพอ ไม่รู้จักการเงินของตัวเองได้ดีพอ และไม่รู้จักสภาพแวดล้อมตรงนั้นดีพอ
แต่ถ้าผมมีสติในวันนั้น มีแนวคิด “การรักษาเงินออม” อยู่กับตัวตลอดเวลา .. เราจะรู้ทันทีว่า เราลงทุน เราจะลงทุนแบบไหน ควรศึกษาเรื่องใดก่อนการลงทุน เราจะทำยังไงถ้าหากเกิดความผิดพลาด และ จะทำยังไงเพื่อลดความผิดพลาด ถ้าเราคิดได้ดังนี้ โอกาสที่จะล้มเหลวจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
มันมีความแตกต่างชัดเจนระหว่าง ทำยังไงให้ชนะในเกมการเงิน กับ การรักษาเงินออม ซึ่งบุคคลที่มีสติอยู่กับ “การรักษาเงินออม” ดีแล้ว จะแยกออกว่า เรากำลังทำอะไรอยู่กับเงินของเรา
บุคคลที่ชนะในเกมการเงิน จะไม่ชนะในเกมการเงินได้เลย เพราะ สุดท้ายเขาจะเกิดความประมาท และ ตัวเขาจะต้องเริ่มต้นใหม่เสมอ ส่วนบุคคลที่รักษาเงินออมนั้น จะเป็นบุคคลที่ไม่ประมาทและทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดขึ้นมาเกี่ยวกับการบริหารเงินของเขา เขาคิดมาอย่างดีแล้วเสมอๆ ที่จะทำให้ชีวิตของเขาก้าวไปข้างหน้าไปอย่างมั่นคง
ความประมาทของบุคคลที่มุ่งจะชนะในเกมการเงิน เช่น การใช้จ่ายที่เกินตัว การลงทุนที่ขาดความรู้ความเข้าใจ จนกระทั่งทำให้เราเกิด ภาวะความไม่มั่นคงของจิตใจในเรื่องของเงิน ซึ่ง เมื่อเราเกิดภาวะนี้ จะทำให้เราเสียเงินอย่างไม่ยั้งอีกมหาศาล ซึ่ง ภาวะความไม่มั่นคงของจิตใจในเรื่องของเงิน จะไม่เกิดขึ้นได้เลย หากเราฝึกฝนและเข้าในในแนวคิดของ “การรักษาเงินออม”
ผมยังคงนึกถึงในวัยเด็กของผมเสมอ ที่คำสอนตรงนั้นที่แม่ให้หยอดกระปุกวันละบาทสองบาท ในบางครั้ง ผมยังรู้สึกได้ว่า นั้นแหละ คำสอนตรงนั้นเป็นความจริงเสมอ .. เร่งได้เท่าที่เรามี เก็บได้ที่เราเก็บ ลงทุนได้เท่าที่เรารู้ แค่นี้แหละชีวิตของเรา

Want your business to be the top-listed Finance Company in Alawwa?
Click here to claim your Sponsored Listing.

Videos (show all)

การพิมพ์เงิน และ เงินเฟ้อ ตอบด้วยหลักเศรษฐศาสตร์
Bitcoin กับความจริงที่เป็นไปไม่ได้ ตอบด้วยหลักเศรษฐศาสตร์

Telephone

Address


Alawwa

Other Financial Consultants in Alawwa (show all)
Qloan Qloan
Alawwa
Alawwa, 60280

The best way to get a loan. Faithful and friendly service.