PISEK Investment Consultant

เมื่อการลงทุนเป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคน
ถ้ามีทุนที่น้อย ความรู้ที่มากจึงสำคัญที่สุด!!

โดย ภิเษก ทัศนะนาคะจิตต์
ผู้เเนะนำการลงทุน

29/08/2024

จากชายที่เคยล้มเหลวจากการเล่นตามเกมของวอลล์สตรีท Guy Spier ได้มาพบกับศาสตร์ของ Value Investing ที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแนวทางการลงทุน แต่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง หนังสือ The Education of a Value Investor ของเขาเล่าถึงเส้นทางที่เขาผ่านมา

ผมอ่านแล้วได้ขอคิดหลายอย่าง เลยอยากมาสรุปให้ฟังครับ

Guy เริ่มจากการเป็นนักวิเคราะห์ที่มีดีกรี แต่กลับถูกยัดให้ช่วยขายหุ้นขยะ สไตล์ Wolf of Wall Street สุดท้ายอยู่ไม่ไหวออกมาหาหนทางด้วยตัวเอง

ต่อมาเขาได้พบกับ Mohnish Pabrai เพื่อนสนิท ซึ่งได้ชวนกันไปประมูลทานข้าวกับ Warren Buffett และในที่สุด (ผมว่าสำคัญที่สุด) คือเจอแนวทางการลงทุน และการใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ปัจจุบันเขาบริหารกองทุนของตัวเอง ขนาดหลักร้อยล้านดอลลาร์

แนวคิด 3 ข้อที่หยิบมา จริงๆ มีอีกเยอะ แนะนำให้อ่านเอง อ่านเพลินอยู่ครับ

1. สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ

เพจนี้เคยไล่กฎ 8 ข้อของ Guy ไปปีก่อน (เช่น ไม่ซื้อหุ้นตอนตลาดเปิด) เขาใช้กฎนี้เพื่อให้เขาไม่เป็นเหยื่อของอารมณ์ตลาด

https://www.facebook.com/share/p/QLhgN2rqYosuHJ7S/

แต่พออ่านหนังสือแล้วผมพบว่าเขาไปไกลกว่าแค่สร้างกฎ เขาปรับสภาพแวดล้อมในชีวิตในอีกหลายแง่มุมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคนที่จะคบ การจัดห้อง การมีคอหุ้นที่ไว้ใจกัน หรือแม้กระทั่งการเลือกประเทศที่จะอยู่ โดยในหนังสือ Guy อธิบายกระบวนความคิดของการสร้าง process ให้ฟังแบบชัดเจน ซึ่งคงไม่เหมาะกับทุกคน

สำคัญคือพวกเราทุกคนควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของตัวเองด้วย อย่ามั่วแต่สนใจแต่ข้อมูลหุ้น

2. Checklist มีไว้ปิด Blind Spot

Guy มองว่า Checklist ไม่ได้มีไว้กรองหุ้น เช่น หุ้นต้อง P/E ไม่เกินเท่านี้ หรือ ROE ไม่เกินเท่านี้

แต่เขาบอกว่า Checklist นั้นมีหน้าที่ไว้ป้องกันความผิดพลาดในการลงทุนมากกว่า โดยเป็นเครื่องเตือนสติเราขั้นหลังๆ ให้เรามองใค้ครบ ก่อนลงทุนจริงๆ

นักลงทุนแต่ละคนจะมีช่องโหว่ไม่เหมือนกัน บางคนชอบลืมดูอุตสาหกรรม บางคนลืมดูเรื่องหนี้ บางคนลืมผู้บริหาร เพราะฉะนั้น Checklist แต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน

ตอนเราทำ Checklist ของตัวเอง Guy บอกให้เราย้อนกลับไปดูความผิดพลาดของเรา โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นบ่อย และนำมันมาใส่ใน Checklist Guy มีให้ตัวอย่างมา 4-5 เคสในหนังสือ

อย่างข้อนึงที่ Guy มักพลาดคือการขุดหุ้นยากๆ แล้วยอมจ่ายแพงเพราะว่าคิดว่าคนอื่นคงไม่เข้าใจธุรกิจนั้นหรอก เป็นต้น

3. The more you give, without any agenda, the more you get

ธีมหลักของหนังสือเล่มนี้เลยคือการให้ การให้แบบที่ไม่ได้หวังอะไร ให้เพราะอยากช่วยจริงๆ

ถ้าให้แบบต้องการอะไรกลับ เช่นอยากขายของ หรือเพื่อแค่ดูฉลาด คนส่วนใหญ่จะจับฟีลได้

หนึ่งในผู้ให้ที่เป็นแรงบันดาลใจต่อ Guy ก็คือปู่ Warren Buffett เขาบอกว่าปู่ไม่ใช่แค่บริจาคเงิน แต่ยังสละเวลามาทำงานการกุศล พูดตามมหาลัย หรือทานข้าวกับเขาซึ่งไม่ได้จำเป็นเลย ที่จริงปู่จะแค่บริจาคเงินก็ได้

เห็นมั้ยว่าการให้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน แค่ช่วยคิดแก้ปัญหา หรือแม้กระทั่งให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับทุกคนเวลาเจอหน้ากัน ก็ถือว่าเป็นการให้แล้ว

พวกเราในทุกสายอาชีพ ไม่ใช่แค่นักลงทุน ควรมี mindset ว่า “เราควรช่วยคนนี้อย่างไรดี”

ข้อสำคัญคือ Guy พบว่าเวลาเขายิ่งให้ เขายิ่งได้บางอย่างกลับคืนมา อย่างน้อยๆ เลยคือความสุขเบิกบานใจ

ในสังคมนักลงทุนไทย ก็มีอาจารย์ เพื่อนน้องพี่หลายคนที่ผมยกย่องว่าเป็นผู้ให้ ถือว่าพวกเราโชคดีอยู่

ส่วนตัวผมก็พยายามจะให้สาระเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยได้โพสต์เท่าไหร่ 5555 แต่รู้สึกจริงๆ ว่าพอทำช่องอะไรพวกนี้ก็ทำให้เจอโอกาสใหม่ๆ กลับมาจริงๆ

อันนี้คือสามข้อที่คัดมา จะว่าไปหนังสือเล่มนี้เหมือนเป็น “วิถี VI” เวอร์ชั่น Guy Spier ก็ว่าได้ ในหนังสือมีบทเรียนกอีกเยอะ ข้อดีคือพออ่านแล้ว หลายๆ อย่าง เราเอาไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้เลย ผมรู้สึกว่าอ่านไม่ยาก เพลินๆ ด้วย ลองดูนะครับ
รีวิวหนังสือ The Education of A Value Investor โดย Guy Spier

25/08/2024

เล่มนี้สุดจริง ขอเเนะนำ!

🎯“The Most Important Thing : นักลงทุนเหนือชั้น”..
✴️เมื่อสิ่งที่คุณเชื่อมั่น อาจไร้ประโยชน์ ตลอดกาล..
สำหรับผมแล้วนั้น หนังสือการลงทุนของ ‘Howard Marks’ อ่านยากพอสมควร ความยาก ณ ที่นี้หมายถึงเราอาจไม่สามารถตกตะกอนแก่นสารได้อย่างลึกซึ้งด้วยวิธีการอ่านหนังสือของเขาแบบผ่านๆ ไม่สามารถอ่านข้ามบางช่วงบางตอน หรืออ่านแบบเอาสนุกผ่อนคลายใจลอยได้เลย ในทุกบรรทัด ทุกย่อหน้า ล้วนเรียกร้องการตีความ เรียกร้องให้หยุดอ่านแล้วครุ่นคิด เรียกร้องให้เรามีสมาธิจดจ่อกับทุกตัวอักษรอยู่เสมอ..
ผมใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับมันนานพอสมควร เหนื่อยก็พักเพื่อตกตะกอน และถึงแม้ว่าผมจะก้าวข้ามผ่านหนังสือเล่มนี้มาจนถึงหน้ากระดาษสุดท้าย หากแต่ภายในจิตใจยังคงเสมือนค้างคาอะไรบางอย่าง และอีกไม่นานผมคงจะได้หยิบมันออกมาจากชั้นหนังสืออีกครั้ง เพื่อประกอบร่างสร้างตัวตนที่ปัจจุบันยังคงไม่เข้ารูปเข้ารอย และคาดหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผมและคุณสถาปนาตนเองเป็น “นักลงทุนเหนือชั้น” เข้าสักวัน ไม่ช้าก็เร็ว.....................................................

🖋️ข้อความด้านล่างนับจากนี้ไป จะเรียกว่าเป็นบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ก็ไม่เชิงนัก คงพูดได้ไม่เต็มปาก ในเมื่อผมก็ยังคงไม่ได้ตกตะกอนอย่างลึกซึ้งขนาดนั้น แต่หวังว่ามันจะมีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนผู้มุ่งมั่น ซึ่งบังเอิญผ่านเข้ามาเห็นบทความนี้ ไม่มากก็น้อย.....................................................

🟢การลงทุนเป็นศิลปะ พอๆกับที่มันเป็นวิทยาศาสตร์ กระบวนการลงทุนควรเข้าใจง่ายในระดับสัญชาตญาณ และสามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอ มองหาสิ่งที่คุณทำได้ดีมากกว่าคนส่วนใหญ่ คิดในสิ่งที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึง ลงมือทำในแบบที่แตกต่างออกไป “การคิดถูกต้อง” คือปัจจัยสำคัญในโลกแห่งการลงทุน แต่เท่านั้นมันไม่เพียงพอ คุณต้องคิดถูกให้มากกว่าคนอื่น.....................................................

🟢คนที่คิดชั้นเดียว มักเฝ้ามองหาสูตรสำเร็จที่ดูเรียบง่าย ก่อนที่จะคิดพยายามเข้ามาแข่งขันในโลกการลงทุน คุณต้องถามตัวเองก่อนว่า “คุณมีเหตุผลที่ดีพอ สำหรับการคาดหวังว่าตนเองจะยืนอยู่เหนือค่าเฉลี่ยหรือเปล่า?” มีเพียงการทำตนเองให้แตกต่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “คิดให้ถูกต้องตรงประเด็นมากกว่าคนส่วนใหญ่ นี่คือการคิดให้เหนือขึ้นไปอีกขั้น”.....................................................

🟢ความรวดเร็วในการนำข้อมูลใดๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการตีราคา ไม่ได้หมายความว่ามันจะ “ตีราคาได้ถูกต้อง” ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครก็ตามที่เอาข้อมูลชนิดเดียวกันกับคนอื่นๆมาวิเคราะห์ แล้วจะสามารถทำตัวเองให้แตกต่าง พร้อมกับความถูกต้องแม่นยำ แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่คุณจะเป็นผู้ชนะ แม้ว่าตลาดจะไม่ได้ตีราคาถูกต้องเสมอไปก็ตาม.....................................................

🟢คงเถียงไม่ได้หรอกว่าราคาตลาดนั้นถูกต้องอยู่ตลอดเวลา (ตลาดมีประสิทธิภาพ) แต่มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรคำนวณตามตรรกะ คนส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนด้วยความโลภ ความกลัว ความอิจฉา และอารมณ์อื่นๆอีกมากมาย ซึ่งทำให้เป้าหมายทางการลงทุนที่พวกเขาตั้งไว้แทบจะเป็นไปไม่ได้ และเปิดประตูให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ “ปล่อยให้คนอื่นๆเชื่อว่าไม่สามารถเอาชนะตลาดได้จะดีกว่า เพราะบางสิ่งที่หลายคนเลือกจะไม่ข้องเกี่ยวด้วย ก็ได้สร้างโอกาสอันงดงามให้กับคนที่เต็มใจจะทำมัน”.....................................................

🟢สินทรัพย์ที่คุณลงทุนเป็นสิ่งจับต้องได้ซึ่งมีมูลค่าที่แท้จริง สามารถหามูลค่านั้นได้ และหากสามารถเข้าซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงได้ก็ควรตัดสินใจซื้อมัน การลงทุนอันชาญฉลาดต้องอยู่บนฐานของมูลค่าที่แท้จริง การประเมินมูลค่าต้องกระทำอย่างเข้มงวดจากข้อมูลใดๆก็ตามที่สามารถสืบหาเอามาได้.....................................................

🟢นักลงทุนทั้งหลายที่ไร้ซึ่งความรู้หรือไม่ใส่ใจเกี่ยวกับกำไร เงินปันผล การประเมินมูลค่า หรือการดำเนินธุรกิจ จะไม่มีชุดความคิดการตัดสินใจอันจำเป็น ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสม การสกัดเอามูลค่าที่แท้จริงจากพื้นฐานออกมาให้ได้ การประเมินมูลค่าได้อย่างเที่ยงตรง มีศักยภาพ ปราศจากการใช้อารมณ์ คือแก่นสารที่จำเป็นสำหรับการทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ คุณต้องยึดมั่นในมุมมองของมูลค่าอย่างแรงกล้ามากพอที่จะรอ ซื้อเพิ่มในขณะที่ราคาลดลง และสุดท้ายคุณต้องคิดให้ถูกต้องจริงๆ.....................................................

🟢ไม่มีสินทรัพย์ใดเลยที่ดีเสียจนไม่สามารถกลายเป็นการลงทุนที่แย่ได้ หากซื้อมาในราคาที่สูงลิ่ว และมันก็มีสินทรัพย์แย่ๆจนกระทั่งซื้อมาในราคาถูกเหลือเชื่อก็ไม่สามารถกลายเป็นการลงทุนที่ดีได้ การสืบเสาะค้นหามูลค่านั้นอยู่ที่ทักษะการวิเคราะห์ด้านการเงิน แต่การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างราคากับมูลค่า และเรื่องราวในอนาคตอยู่ที่ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้านจิตวิทยาของนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงของราคาในอนาคตเกิดขึ้นจากการวัดว่าผู้คนจะชอบมันมากขึ้น หรือชอบมันน้อยลงในช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึง การพยายามเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ราคาอยู่ในระดับต่ำกว่ามูลค่าอาจเกิดความผิดพลาดได้บ้าง แต่มันก็เป็นโอกาสดีที่สุดที่พวกเรามี.....................................................

🟢ถ้าการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงๆสามารถมอบผลตอบแทนระดับสูงให้ได้อย่างแน่นอนแล้วล่ะก็ นั่นไม่ได้แปลว่ามันเสี่ยงสูงขึ้นเลย นิยามของ “ความเสี่ยง” คือความเป็นไปได้ที่จะเสียเงินไป ความเป็นไปได้ที่จะขาดทุนอย่างถาวร ไม่ใช่ความผันผวนอย่างที่พวกนักวิชาการนิยามแบบเอาสะดวกเข้าว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนและความเสี่ยงมีมากมายไม่สิ้นสุด มีตัวแปรมากเกินไปจนไม่สามารถใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ที่ได้เรื่องเลยสักสูตร.....................................................

🟢นักลงทุนที่มีทักษะจะทำการตัดสินใจจากพื้นฐาน ความมั่นคงและมูลค่าที่พอเชื่อถือได้ บนโลกอันซับซ้อนใบนี้นั้นการแปลงทุกอย่างเป็นตัวเลขมักให้สิทธิมากเกินไปกับสิ่งที่ควรจะเคลือบแคลงสงสัยมากที่สุด ซึ่งมันเป็นตัวก่อปัญหาชั้นยอดเลยทีเดียว ความเสี่ยงเป็นเรื่องของความคิดเห็นเสียเป็นส่วนใหญ่ มันยากมากที่จะให้คำนิยามสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ความเสี่ยงมีตัวตนแค่เฉพาะในอนาคตเท่านั้น และมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมั่นใจว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความเสี่ยงกับผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ได้สัมพันธ์กันเสมอไป ไม่อย่างนั้นการลงทุนที่มีความเสี่ยงก็คงไม่ได้เสี่ยงจริงๆหรอก.....................................................

🟢ปัจจัยหลักที่ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น คือความเชื่อที่ว่าความเสี่ยงปัจจุบันยังต่ำอยู่ ระดับความเสี่ยงของตลาดเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของผู้ที่เข้าไปมีส่วนร่วมและกลยุทธ์ที่ใช้ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวตราสารเอง ความเสี่ยงจะลดลงได้ก็ต่อเมื่อนักลงทุนทั้งหลายทำตัวระมัดระวังเท่านั้น และความเสี่ยงไม่สามารถกำจัดให้หมดสิ้นไปได้ มันทำได้เพียงแค่โยกย้ายไปที่อื่นและกระจายออกไป ความเสี่ยงจากการลงทุนหลักๆแล้วมาจากราคาสินทรัพย์ที่สูงมากจนเกินไป และราคาที่สูงมากเกินไปมักมาจากการมองโลกในแง่ดีมากเกินไปนั่นเอง มันขึ้นอยู่กับว่า “คุณจ่ายมันไปในราคาเท่าไหร่?” การตามกระแสคนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นที่มาของผลตอบแทนที่ต่ำลงเท่านั้น แต่ยังเป็นที่มาของความเสี่ยงที่สูงขึ้นอีกด้วย.....................................................

🟢ตระหนักว่าความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นและตั้งอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนที่ยอดเยี่ยมอาจเป็นคนที่ทำผลตอบแทนได้พอๆกับคนอื่น แต่มีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก เรามักหาสิ่งรองรับการตัดสินใจจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต แต่เราควรรู้อยู่แก่ใจว่าบางครั้งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจเผยออกมาแปลกกว่าที่เกิดเป็นปกติ ความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวพาดผ่านการควบคุมความเสี่ยงมากกว่าความดุดันในการลงทุน ผลลัพธ์ของนักลงทุนส่วนมากจะถูกตัดสินจากจำนวนครั้งที่พวกเขาแพ้ และระดับความสูญเสียว่าย่ำแย่ขนาดไหน.....................................................

🟢แทบทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรและมักต้องจบรอบในท้ายที่สุด ไม่มีสิ่งใดดำเนินไปในทิศทางเดียวตลอดไป แนวคิดอันตรายที่สุดคือการอนุมานว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะต่อเนื่องไปในอนาคตตลอดไปด้วย ความเป็นวัฏจักรที่เกิดขึ้นในโลกของเรานั้นก็คือการเข้ามามีส่วนร่วมของมนุษย์นั่นเอง ผู้คนทั้งหลายต่างมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่คงที่ ครั้งถัดไปที่คุณได้รับข้อเสนอที่อยู่บนฐานของการคาดการณ์ว่าความเป็นวัฏจักรนั้นคงสิ้นสุดลงแล้ว ให้จำไว้เลยว่าหากคุณลงพนันข้างเดียวกับเขา คุณต้องแพ้อย่างแน่นอน.....................................................

🟢ตลาดการลงทุนต่างเคลื่อนที่แบบเดียวกับลูกตุ้มเพนดูลัมกันทั้งนั้น ลิงโลด : หดหู่, เฉลิมฉลอง : อมทุกข์, ราคาสูงเกินเหตุ : ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แกว่งตัวไปตามความโลภและความกลัว ตลาดก็มีจิตใจของมันและการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักๆแล้วเกิดจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยเชิงจิตวิทยาของนักลงทุน “สิ่งที่คนฉลาดทำในตอนเริ่มต้น จะเป็นสิ่งที่คนโง่เขลาเข้ามามีส่วนร่วมตอนจบ” ผู้คนต่างพอใจที่จะจ่ายเงินไม่ว่าเท่าไหร่ก็ตาม โดยมีสมมติฐานว่าช่วงเวลาดีๆเช่นนี้จะดำเนินไปตลอดกาล มันคือส่วนประกอบในรูปแบบที่เกิดวนซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งเราสามารถทำความเข้าใจและทำกำไรจากมันได้ มีไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เราสามารถมั่นใจได้ว่าจะเกิดขึ้นแน่ พฤติกรรมสุดโต่งของตลาดในที่สุดแล้วจะต้องเกิดการกลับตัว.....................................................

🟢ความโลภ (greed), ความกลัว (fear), ความอิจฉา (envy), ความทะนงตน (ego) และ การยอมจำนน (capitulation) สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นเสมอภายในจิตใจของนักลงทุน สิ่งที่เราต้องทำก็คือยึดมั่นอย่างแรงกล้าในมูลค่าที่แท้จริง ศึกษาวัฏจักรในอดีต เข้าใจผลกระทบของจิตวิทยาที่มีต่อกระบวนการลงทุน เต็มใจที่จะถูกคนอื่นมองว่าเป็นพวกคิดผิด มีเพื่อนที่คิดแบบเดียวกันเพื่อสนับสนุนกันและกัน สิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จ แต่ทุกอย่างที่กล่าวมาสามารถทำให้คุณมีโอกาสในการต่อสู้ได้มากขึ้น.....................................................

🟢การตัดสินใจเห็นตรงกันของผู้คนส่วนมาก ไม่ใช่ทางเดินสู่ความสำเร็จ กุญแจสู่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับการทำตรงกันข้าม มันต้องใช้ทักษะที่หาได้ยาก ความรู้เชิงลึก และวินัยอันเคร่งครัด ใครก็ตามที่สามารถมองเห็นความผิดพลาดของคนอื่นๆ ก็จะสามารถทำกำไรได้มากมายผ่านการเป็นนักแทงสวนอย่างไตร่ตรองพร้อมเหตุผลอันหนักแน่น คุณต้องรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมพวกเขาถึงคิดผิดจริงๆ ด้วยความระมัดระวังบวกทักษะที่มี ซึ่งแนวคิดเรื่องมูลค่าที่แท้จริงนับเป็นเรื่องสำคัญต่อประเด็นนี้.....................................................

🟢กระบวนการสร้างพอร์ตโฟลิโอประกอบด้วยการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ดีที่สุด จัดสรรมันด้วยการขายสินทรัพย์ที่ดีน้อยที่สุด อยู่ให้ห่างจากการลงทุนที่แย่ที่สุดเอาไว้ กระบวนการนี้ประกอบด้วย..
🔸รายชื่อสินทรัพย์ต่างๆที่ดูมีศักยภาพ (Watchlist) และเหมาะสมกับมาตราฐานส่วนตัวของคุณ..
🔸การประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์เหล่านั้น (Valuation)..
🔸ประเมินว่าราคาสินทรัพย์เป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง อย่างเข้มงวดและมีวินัย..
🔸ความเข้าใจเรื่องความเสี่ยงที่ประกอบอยู่ในสินทรัพย์เหล่านั้น และผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น..
🔸ตัดทิ้งสินทรัพย์อื่นๆและเลือกการลงทุนที่มีส่วนลดมากที่สุด ดีที่สุดจากที่มีอยู่ในตอนนี้..
🔸เป้าหมายของเราคือการมองหาสินทรัพย์ราคาต่ำ คนส่วนใหญ่มีมุมมองว่าแย่กว่าความเป็นจริง พวกเราเป็นนักลงทุนเชิงรุกก็เพราะเราเชื่อว่า “เราสามารถเอาชนะตลาดได้ด้วยการมองหาโอกาสอันเหนือกว่าคนทั่วไป”.....................................................

🟢ไม่บ่อยครั้งนักที่โอกาสดีๆจะเข้ามาให้ลงมือ บางครั้งเราจำเป็นต้องอยู่เฉยๆแบบไม่ต้องทำอะไร เคลื่อนไหวให้น้อยกว่าคนอื่นๆ รอคอยโอกาสอย่างอดทนเพื่อมองหาส่วนลด โดยปกติแล้วนี่คือกลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุด ยอมรับสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เช่นการขึ้นลงของวัฏจักร สิ่งต่างๆเข้ามาและจากไป ตระหนักรู้ให้ได้ ยอมรับมัน รับมือให้ดี ตอบโต้อย่างเหมาะสม นี่คือแก่นแท้ของการลงทุน นักลงทุนต้องตระหนักถึงเรื่องมูลค่าอย่างจริงจัง มีเงินทุนสำรองระยะยาว มีความอดทน เป็นนักรอคอยโอกาส ยืนหยัดในทัศนคติแห่งการเป็นนักแทงสวน สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณทำกำไรได้อย่างงดงามในช่วงที่เกิดการพังทลายของตลาด.....................................................

🟢รู้ในสิ่งที่สามารถรู้ได้ (know the knowable) พยายามมองให้ออกว่ากำลังยืนอยู่จุดใดของวัฏจักร ยิ่งเรามุ่งเน้นภาพเล็กมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะพบความได้เปรียบในความรู้ของเรามากเท่านั้น ด้วยการทำงานหนักและทักษะ เราสามารถรู้มากกว่าคนอื่นๆเกี่ยวกับบริษัทและบริบทเล็กๆที่เกี่ยวข้องกับมัน คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องอนาคต สิ่งสำคัญคือการทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนโดยอิงกับความรู้เกี่ยวกับอนาคตที่มั่นใจมากเกินไป การลงทุนในอนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ได้แต่กลับทำเป็นรั้น นับว่าน่ากลัวมาก “มันไม่ใช่สิ่งที่คุณไม่รู้หรอกที่จะทำให้คุณพบเจอกับปัญหา มันคือสิ่งที่คุณรู้แน่ๆแต่ไม่กลายเป็นความจริงต่างหาก”.....................................................

🟢สิ่งเดียวที่เราสามารถคาดการณ์ได้เกี่ยวกับวัฏจักรก็คือ “มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” ตื่นตัวสำหรับโอกาสที่อาจเกิดขึ้น ปรับพฤติกรรมของเราให้เข้ากับมัน และปฏิเสธไม่ให้ตัวเองเข้าไปติดกับพฤติกรรมหมู่ คิดและทำความเข้าใจว่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันบอกเราเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยาของผู้มีส่วนร่วมในตลาดอย่างไรบ้าง สภาพแวดล้อมทางการลงทุนเป็นอย่างไร เราควรมีปฏิกิริยากับเรื่องเหล่านั้นอย่างไร ทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้ได้มากที่สุด และใช้มันนำทางการปฏิบัติตัวของเรา.....................................................

🟢การลงทุนส่วนใหญ่นั้นถูกครอบเอาไว้ด้วยเรื่องของโชค บางคนเรียกว่าโอกาส หรือความสุ่ม ความสุ่มนั้นมีส่วนอย่างมากต่อผลลัพธ์ในเรื่องต่างๆของชีวิต ในระยะสั้นนั้นความสำเร็จของการลงทุนส่วนมากอาจเกิดจากการมายืนอยู่ถูกที่ถูกเวลาเท่านั้นเอง ในระยะยาวแล้วมันไม่มีทางเลือกอื่นที่สมเหตุสมผลที่จะไม่เชื่อว่าการตัดสินใจที่ดีจะนำไปสู่ผลสำเร็จต่อการลงทุน ส่วนระยะสั้นเราก็คงต้องปลงเสียบ้างหากมันไม่เป็นดั่งใจหวัง นอบน้อมต่อความเสี่ยง ตระหนักรู้ว่าเราไม่รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มองอนาคตแบบแจกแจงความน่าจะเป็น เน้นย้ำตัวเองให้หลีกเลี่ยงการขาดทุนครั้งใหญ่.....................................................

🟢การพยายามแสวงหาหุ้นผู้ชนะในตลาด ส่วนใหญ่แล้วมักไม่เกิดผลดีต่อตัวนักลงทุนเอง คุณควรพยายามหลีกเลี่ยงการลงทุนในผู้แพ้จะดีกว่า ผลลัพธ์จากการลงทุนมีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่อยู่ในการควบคุมของเรา การลงทุนเชิงรับคือการเน้นย้ำให้เราคอยระมัดระวังจากการทำผิดพลาด มันคือส่วนสำคัญสำหรับนักลงทุนชั้นยอดทุกคน หากเราสามารถทำผลตอบแทนได้ดีพอๆกับคนอื่นในช่วงเวลาที่ดี และทำได้เหนือกว่าคนอื่นในช่วงเวลาที่แย่ เราจะได้ผลลัพธ์เหนือกว่าค่าเฉลี่ยแน่นอน แถมผันผวนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยอีกต่างหาก “หากเราสามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้ การลงทุนผู้ชนะก็จะดูแลตัวมันเอง” ขณะที่การลงทุนเชิงรุกอาจรวมไปถึงการต้องเฝ้าใฝ่ฝัน ซึ่งหลายๆครั้งก็ไม่เป็นความจริง.....................................................

🟢วิธีการปกป้องไม่ให้เกิดการขาดทุนที่ดีที่สุดนั้นคือการวิเคราะห์อย่างละเอียด ลึกซึ้ง และหนักแน่น การสร้างมูลค่าและทำลายมัน ต่างก็ถูกขับเคลื่อนด้วยเรื่องพื้นฐานทั้งนั้น ทำตัวเองให้อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามคือสิ่งจำเป็น อาจโดดเดี่ยวบ้าง และอาจรู้สึกว่าทำผิดพลาดอยู่เป็นเวลานานเลยทีเดียว การทำผลตอบแทนได้ดีกว่าเมื่ออยู่ในตลาดขาขึ้น และขาดทุนน้อยกว่าในตลาดขาลงเมื่อเทียบกับสไตล์การลงทุนของคุณ ควรเป็นเป้าหมายของนักลงทุนทุกคน.....................................................

หากบทความนี้จุดประกายความคิดบางอย่างของคุณ ผมแนะนำให้ลองหามาครอบครองสักเล่มครับ คุ้มค่าแน่นอน ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊..
🙏ขอขอบคุณบางส่วนจากหนังสือ..
📖“The Most Important Thing : นักลงทุนเหนือชั้น”..
ผู้เขียน : โฮเวิร์ด มาร์กส์ (Howard Marks)
ผู้แปล : ศักดิ์สิทธิ์ แสงอรุณ
สำนักพิมพ์ : INVESTING Fidelity

Photos from Liberator Securities's post 19/08/2024
Photos from ชีพจรลงทุน's post 17/08/2024
17/08/2024

MECE Principle’ หลักการจัดระเบียบไอเดียแบบ McKinsey ให้นำเสนอข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในโลกของข้อมูลและการสื่อสารที่ซับซ้อนในปัจจุบัน การนำเสนอความคิดและไอเดียอย่างเป็นระบบ ชัดเจน และครอบคลุม ถือเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็นมากโดยเฉพาะกับคนที่ต้องทำงานกับข้อมูล
MECE Principle คืออะไร ❓
MECE ย่อมาจาก Mutually Exclusive และ Collectively Exhaustive เป็นหลักการในการจัดกลุ่มไอเดียและหมวดหมู่ความคิดให้เป็นระบบ ซึ่งเป็นเทคนิคที่คิดขึ้นโดยบริษัท McKinsey และเป็นที่นิยมใช้กันในบริษัท Consulting
โดยหลักการของ MECE ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่
🔸 Mutually Exclusive (ME)
เป็นการจัดกลุ่มความคิดหรือไอเดียออกเป็นส่วนที่แยกจากกันอย่างชัดเจน ไม่ทับซ้อนกัน(Non-Overlapping) แต่ละกลุ่มจะมีความเป็นอิสระต่อกัน โฟกัสไปที่ประเด็นใดประเด็นหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย ไม่สับสน
ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการวิเคราะห์ปัญหาของธุรกิจ อาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ปัญหาด้านการเงิน, ปัญหาด้านการตลาด และปัญหาด้านการผลิต แต่ละกลุ่มจะมีความชัดเจนในตัวเอง ไม่มีความทับซ้อนกัน
🔸 Collectively Exhaustive (CE)
หมายถึง เมื่อนำทุกกลุ่มย่อย ๆ มารวมกัน จะต้องครอบคลุมทุกแง่มุมของหัวข้อหลักที่เรากำลังพูดถึงอย่างครบถ้วน ไม่มีส่วนใดตกหล่นหรือขาดหายไป
หรือเรียกได้ว่ากลุ่มย่อยทุกอันที่เราแบ่งออกมา จะต้อง support ไอเดียหลักนั่นเอง ซึ่งการจัดกลุ่มแบบ CE จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า เราได้วิเคราะห์ปัญหาหรือไอเดียอย่างรอบด้าน ไม่มีจุดบอดหรือข้อมูลสำคัญใดหลุดรอดไป
ข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นเมื่อไม่ได้ใช้ MECE Principle ❌
1. Not Mutually Exclusive
เกิดขึ้นเมื่อเรามีกลุ่มย่อยที่ทับซ้อนกัน คาบเกี่ยวกัน ทำให้เกิดความสับสน ผู้ฟังต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจมากขึ้น และอาจเกิดการตีความที่ผิดพลาดได้
ตัวอย่างเช่น หากเราพูดถึงปัญหาในองค์กร โดยแบ่งเป็น "ปัญหาพนักงานไม่มีแรงจูงใจ" และ "ปัญหา productivity ต่ำ" จะเห็นว่า 2 หัวข้อนี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน เพราะหากพนักงานขาดแรงจูงใจ ก็มักส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงด้วย

2. Not Collectively Exhaustive
เกิดขึ้นเมื่อเรามองภาพรวมไม่ครบถ้วน มีบางประเด็นสำคัญที่ถูกมองข้ามไป ทำให้การวิเคราะห์ปัญหาหรือตัดสินใจเลือกทางออกอาจผิดพลาด ไม่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราวิเคราะห์สาเหตุของยอดขายที่ต่ำลง เราอาจมองถึงแค่ปัจจัยด้านราคาสินค้า และคุณภาพสินค้า โดยลืมพิจารณาถึงการบริการหลังการขาย หรือกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่ง ซึ่งก็เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อเช่นกัน
ดังนั้น การใช้ MECE Principle จะช่วยให้สื่อสารและอธิบายความคิดเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นระบบ ช่วยจัดระเบียบความคิด ไม่ให้ตกหล่นประเด็นสำคัญ ๆ และโน้มน้าวใจผู้ฟังได้ดียิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวันเลยทีเดียว

#สคูลดิโอ



#พรีเซนต์งาน

#โน้มน้าวใจ

06/08/2024

เป็นวันจันทร์ที่เดือดจริงๆ
Or we almost reach the time to buy the dip?

Ref pic. https://www.instagram.com/p/C-S_ZwOS7DC/?igsh=MXNvZ3U3a2FiZ2Nv

05/08/2024

การใช้ Elliott Wave ในตลาด Sideways 😊📈

ปัญหาที่เทรดเดอร์มักเจอในตลาด Sideways

เทรดเดอร์หลายคนพบว่าการเทรดในตลาด Sideways (โดยเฉพาะ SET ช่วงนี้) หรือช่วงที่ราคามักจะเคลื่อนที่ในกรอบแคบ ๆ เป็นเรื่องที่ท้าทายสายรันเทรน เนื่องจากปัจจัยต่อไปนี้:

- ความไม่แน่นอน: ราคามีการเคลื่อนไหวที่ไม่ชัดเจน ทำให้ยากที่จะคาดการณ์แนวโน้ม 😕

- ความผันผวนต่ำ: ช่วงราคาที่เคลื่อนที่น้อย ทำให้โอกาสในการทำกำไรลดลง 📉

- สัญญาณหลอก: เกิดสัญญาณซื้อขายที่ผิดพลาดบ่อยครั้ง เนื่องจากไม่มีทิศทางที่ชัดเจน 🚫

ทำไม Elliott Wave ถึงช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้? 🤔

การใช้ Elliott Wave สามารถช่วยเทรดเดอร์ในการระบุโครงสร้างคลื่นและแนวโน้มของตลาด Sideways ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย:

- ระบุโครงสร้างคลื่น: Elliott Wave ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นรูปแบบคลื่น Corrective ที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น Zigzag (ABC), Flat หรือ Triangle 📉📈

- หาจุดเข้าและออก: ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาจุดสนับสนุนและแนวต้านที่มีนัยสำคัญ ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถหาจุดเข้าและออกที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น 🔍

- ลดสัญญาณหลอก: การระบุแนวโน้มคลื่นช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสัญญาณหลอก ✅

การใช้ Elliott Wave ในตลาด Sideways

- ก่อนอื่นให้ระบุโครงสร้างคลื่นให้ได้ก่อน โดยในช่วงตลาด Sideways มักจะเกิดรูปแบบคลื่นที่อยู่ในตระกูล Corrective เช่น Zigzag (ABC), Flat หรือ Triangle

- ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาโซนแนวรับและแนวต้านที่มีนัยสำคัญ ซึ่งโดยปกติแล้วคลื่น C มักจะจบที่ 61.8% หรือ 100% ของคลื่น A

จุดเข้าและออก

ซื้อ: ที่แนวรับของคลื่น A หรือจุดจบ C (หากเป็น Flat มักเป็นโซนแนวรับที่ใกล้เคียงกัน หรือเกิด Confluence Zone) 💰

ขาย: ใช้เป้า 100% ของคลื่น A วัดที่จุดจบ B หรือเล่นถึงแนวต้านที่เป็นจุดเริ่มต้นของคลื่น A 💸

--

เริ่มต้นกับ Elliott Wave 🚀

ถ้าคุณยังใหม่กับการวิเคราะห์ Elliott Wave ทางเพจขอแนะนำสัมมนา Elliott Wave on the Gold เรียนรู้คลื่นทองคำ โดย คุณมุกมิก มุกมิริณ ศรีณิณวรรณ, CFTe เจ้าของเพจ Mukmirin, CFTe (พึ่งผ่าน CMT level 3 ด้วยนะ)

🎓 เรียนรู้การเทรดทองคำโดยใช้ทฤษฎี Elliott Wave จากคนเทรดทองคำตัวจริง
💺 รับจำนวนจำกัดเพียง 50 ที่นั่งเท่านั้น เพียงเปิดบัญชีกับ บล. ทรีนีตี้ จำกัด ก่อนเข้าร่วมสัมมนา (ค่าคอมถูกมาก บอกเลย)
📅 วัน: เสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2567
🕘 เวลา: 9.00-12.00 น.
📍 สถานที่: บล. ทรีนีตี้ จำกัด อาคารปาร์ค สีลม ชั้น 22 (เข้าทางเชื่อมรถไฟฟ้าสถานีศาลาแดง)

มาเรียนรู้และเตรียมพร้อมไปด้วยกันครับ! 😊📈

04/08/2024

Peter Lynch คือนักลงทุนที่ผมชอบมากๆ ผมว่ากฏการลงทุนของเขาใช้ได้จริง เข้าใจง่าย และใช้ได้ดีไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมือเก๋า

ผมชอบอ่านบ่อยๆซั้าๆเป็นประจำเพื่อเอาไว้เตือนตัวเองเสมอว่า อย่าไปยุ่งกับธูรกิจแย่ๆ
ในบทความอันนี้ผมขยายความกฏบางข้อให้เพื่อให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นครับ

กฏข้อที่ 1
การลงทุนสนุกและตื่นเต้นเสมอ แต่ก็อันตรายในเวลาเดียวกันถ้าคุณไม่ใส่ใจมันเท่าที่ควร

กฏข้อที่ 2
ความได้เปรียบของนักลงทุนของคุณไม่ใช่สิ่งที่คุณได้รับจากผู้เชี่ยวชาญด้านวอลล์สตรีท มันเป็นสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วในสมองของคุณ คุณสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้หากคุณใช้ความได้เปรียบของคุณโดยการลงทุนในบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่คุณเข้าใจอยู่แล้ว

กฏข้อที่ 3
นักลงทุนรายย่อยชนะตลาดได้ด้วยการ ไม่ตามความเชื่อของคนส่วนใหญ่ ซึ่งการเป็นนักลงทุนรายย่อยสามารถทำได้ง่ายกว่านักลงทุนสถาบันที่ต้องอิงกับ Performance กลุ่ม สิ่งนี้ทำให้รายย่อยมีความได้เปรียบ

กฏข้อที่ 4
เบื้องหลังหุ้นทุกตัวคือบริษัท ค้นหาและทำความเข้าใจว่าธูรกิจของเขาคืออะไร

กฏข้อที่ 5
ในระยะสั้น การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ กับธุรกิจที่ดีแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ในระยะยาว การลงทุนที่ประสบความสำเร็จและธุรกิจที่ดีแทบจะเกี่ยวข้องกัน 100%

กฏข้อที่ 6
ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า หุ้นตัวนั้นทำอะไร และทำไมคุณต้องมีหุ้นตัวนั้นใน Port ด้วย? ตัวทำไมนี่สำคัญมากๆนะครับ คนส่วนใหญ่ซื้อหุ้นแค่ต้องการกำไร แต่การลงทุนที่ดูมัน Beyond กำไร มันเป็นการลงทุนที่ตรงกับหลักการ ตรงกับความเชื่อ ตรงกับจริตของคนนั้นๆ ทำให้สามารถลงทุนได้ยาวๆ

กฏข้อที่ 7
อย่าพยายามคาดหวังผลตอบแทนที่สูงเกินไป เพราะมันจะทำให้คุณพลาดเป้าจากการที่มุ่งเน้นอยู่กับผลตอบแทน มากกว่าการหาธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หุ้นดีๆรายได้โต 10% ค่อเนื่องยาวเป็น 10-20 ปีได้ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีได้แล้วครับ

กฏข้อที่ 8
การลงทุนก็คล้ายๆกับการเลี้ยงลูก อย่าไปยุ่งกับเขามากเกินไป

กฏข้อที่ 9
ถ้าตอนนี้หาหุ้นที่น่าสนใจไม่เจอ อย่าฝืน เอาเงินไปฝากธนาคารแล้วรอเจอหุ้นที่ชอบค่อยมาซื้อก็ไม่สาย

กฏข้อที่ 10
จงลงทุนในหุ้นที่คุณเข้าใจโครงสร้างทางการเงินของบริษัทเท่านั้น รู้ว่ารายได้มาจากไหน กำไรมายังไง การเติบโตทำให้กำไรเยอะขึ้นแค่ไหน?

กฏข้อที่ 11
หลีกเลี่ยงหุ้นร้อนแรง ในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง ในสภาวะตลาดที่ร้อนแรง จากปสก. 80% จบไม่ค่อยสวย

กฏข้อที่ 12
สำหรับบริษัทขนาดเล็ก ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือตอนที่บริษัทเหล่านั้นเริ่มมีกำไร

กฏข้อที่ 13
ระวังการลงทุนในอุตสาหกรรมตะวันตกดิน โดยเฉพาะกับบริษัทที่ไม่มี Competitive Advantage ใดๆ ไม่ใช่หุ้นทุกตัวจะ Turnaround กลับมาได้ (ลองนึกถึงรถม้าอ่ะครับ พอมีรถสันดาปปุํปก็ไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีกเลย)

กฏข้อที่ 14
ถ้าเราลงทุนในหุ้น 1000 บาท เราอาจเสีย 1000 บาทไปทั้งหมด แต่ก็ต้องอย่าลืมด้วยว่าเราก็สามารถสร้างกำไร 1000, 10000, 100000 หรือแม้แต่ 1000000 จากหุ้นได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือต้องให้เวลากับมัน และใจเย็นๆ เน้นกับหุ้นดีๆไม่กี่บริษัท

กฏข้อที่ 15
ในทุกๆอุตสาหกรรม ทุกๆประเทศ นักลงทุนรายย่อยหาหุ้นเติบโตดีๆได้ก่อนนักลงทุนสถาบันเสมอ

กฏข้อที่ 16
การลงทุนของตลาดหุ้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าคุณเตรียมตัวมาดีคุณจะเอาตัวรอดได้และสรา้งโอกาสในการลงทุนที่ดีได้เสมอ

กฏข้อที่ 17
ทุกคนฉลาดพอที่จะหาเงินจากการลงทุนได้ แต่จะมีไม่กี่คนที่กล้าเดิมพันมากพอที่จะเปลี่ยนชีวิต

กฏข้อที่ 18
ในตลาดหุ้นมีเรื่องให้กังวลตลอดเวลาเสมอ คุณควรขายหุ้นเมื่อพื้นฐานบริษัทเปลี่ยน ไม่ใช่เพราะตลาดไม่ดี

กฏข้อที่ 19
ไม่มีใครคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยหรือสภาวะเศรษฐกิจได้ แต่เราสามารถประเมินศักยภาพของบริษัทที่เราลงทุนได้

กฏข้อที่ 20
ถ้าเราศึกษาหุ้น 50 ตัวเราจะเจอหุ้นดีๆ 2-3 ตัว ถ้าเราศึกษา 100 ตัวอาจจะเจอหุ้นดีๆ 3-4 ตัว ตลาดหุ้นมีหุ้นดีๆที่คนส่วนใหญ่มองข้ามเสมอ

กฏข้อที่ 21
การซื้อหุ้นแบบไม่รู้ว่าบริษัททำอะไร ก็ไม่ต่างกับการเล่น Poker โดยไม่ดูว่าในมือคุณมีไพ่อะไรบ้าง

กฏข้อที่ 22
เวลาจะเป็นเพื่อนของคุณเสมอถ้าคุณลงทุนในบริษัทที่ดี ในขณะที่เวลาจะเป็นศัตรูของคุณทันทีหากคุณเปลี่ยนไปเล่น Option แทน คือ Option เนี่ยเขาจะมีช่วงเวลาของมันครับ ถ้าหมดเวลาตามสัญญากลายเป็น 0 ทันที

กฏข้อที่ 23
การเดิมพันในหุ้นอย่างหนักโดยไม่ทำการบ้านมาก่อน คุณควรกระจายความเสี่ยง หรือลงทุนในกองทุนรวมแทน และควรจะต้องกระจายความเสี่ยงอย่างถูกต้องด้วยการถือสินทรัพย์ที่แตกต่างกันจริงๆ ผมชอบยกตัวอย่างว่ามีคนกระจายความเสี่ยงด้วยการซื้อหุ้น PTT TOP IRPC ESSO .... สุดท้ายกลับกลายเป็นไม่ได้กระจายความเสี่ยงอะไรเลย

กฏข้อที่ 24
ถ้าประเทศของคุณมีการเติบโตที่ไม่ดี ก็ควรหาโอกาสลงทุนในประเทศหรืออุตสาหกรรมที่เติบโตดี

กฏข้อที่ 25
ในระยะยาวพอร์ตหุ้นดีๆ จะสร้างผลตอบแทนมากกว่าพอร์ตตราสารหนี้เสมอ ในขณะที่พอร์ตหุ้นแย่ๆ แค่ผลตอบแทนของเงินที่ฝังตุ่มไว้ยังสู้ไม่ได้เลย .... 555

02/08/2024

สรุป!! ความสัมพันธ์ของ 3 งบการเงิน
งบการเงินจะมีอยู่ 3 งบการเงินใหญ่ คือ งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด การมองงบดุลจะเป็นการมอง ณ จุดเวลา นั้นๆ ส่วนงบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด บอกการเปลี่ยนแปลงระหว่างงวด และทั้ง 3 งบสัมพันธ์กัน
งบดุล คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
ส่วนงบกำไรขาดทุนคือ รายได้ - รายจ่าย = กำไรหรือขาดทุน
สินทรัพย์ที่มีจะมีค่าเสื่อมราคาเกิดขึ้น ทำให้สินทรัพย์มีค่าลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งค่าเสื่อมราคาจะเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน ซึ่งจะซ่อนอยู่ในต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้
และเมื่อบริษัทดำเนินธุรกิจไป มีกำไรสุทธิ หลังจากหักเงินปันผล ก็จะเข้าไปอยู่ในกำไรสะสม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถือหุ้น ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นค่อยๆ เติบโตขึ้นจากกำไรสะสมที่เข้ามา แต่ถ้าบริษัทขาดทุน ก็จะกลายเป็นขาดทุนสะสม ซึ่งก็จะทำให้ส่วนผู้หุ้นลดลงได้
งบกระแสเงินสด บอกสภาพคล่องของกิจการ ซึ่งงบกระแสเงินสดจะแบ่งเป็น 3 กิจกรรม แบบนี้
- เงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน ก็จะดูเฉพาะเงินสดที่เข้าหรือออกเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของธุรกิจ เงินสดในส่วนนี้จะนำกำไรในงบกำไรขาดทุนมาเป็นตัวตั้ง และปรับปรุงค่าต่างๆ เพื่อแสดงถึงเงินสดจากการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจตามปกติ ซึ่งค่าหนึ่งที่จะบวกกลับเข้าไป คือ ค่าเสื่อมราคา
ถ้าจะให้ดี เงินสดส่วนนี้ควรเป็น “บวก” แสดงถึงดำเนินกิจการแล้วมีเงินสดเข้ามาในบริษัท
- เงินสดจากกิจกรรมการลงทุน ดูส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเท่านั้น เช่น ลงทุนสร้างโรงงาน ขยายกิจการ ลงทุนในหลักทรัพย์ เมื่อบริษัทนำเงินไปลงทุน จะทำให้เงินสดลดลงและได้สินทรัพย์อื่นเข้ามา
- เงินสดจากกิจกรรมการจัดหาเงิน ดูการไปมาของเงินสดเฉพาะที่เกี่ยวกับการจัดหาเงิน เช่น ไปกู้เงิน เพิ่มทุน ใช้หนี้เงินกู้ จ่ายเงินปันผล
สุดท้ายเมื่อรวมเงินสดในทั้ง 3 กิจกรรม จะเป็น “เงินสดสุทธิ” ในแต่งวด ซึ่งตรงนี้จะไปกระทบ “เงินสดต้นงวด” ที่อยู่ในส่วนของ สินทรัพย์ ของงบดุล และออกมาเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น/ ลดลงของเงินสดปลายงวด
ดังนั้นงบการเงินทั้ง 3 งบการเงินนั้นมีความสัมพันธ์กันนะ
…………………
หนังสือเล่มใหม่ “ผ่าหุ้นด้วยงบการเงิน” ของทางเพจหมอยุ่งอยากมีเวลา ร่วมกับ สำนักพิมพ์ เช็ก
หนังสือการอ่านงบการเงิน พร้อมตัวอย่างงบจากหุ้นจริง ที่จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า งบการเงินไม่ได้ยากอย่างที่คิด
สามารถสั่งซื้อได้ทั้งจาก Shoppe, Lazada และ TikTok Shop
ลดราคา 15% เหลือ ฿234 เท่านั้น! ซื้อได้ในแอป Shopee ตอนนี้เลย! https://th.shp.ee/nD7qmb9
หรือ ช้อปเลยที่ลาซาด้า https://s.lazada.co.th/s.p0FFo
หรือ TikTok Shop ก็ได้ https://vt.tiktok.com/ZSYwPWHFD/
ส่วนร้านหนังสือชั้นนำอย่าง SE-ED ตอนนี้เข้าคลังที่ SE-ED แล้ว น่าจะวางจำหน่ายอีก 2-3 วันนี้นะ ตอนนี้ช้อปออนไลน์ด้วยราคาพิเศษกันก่อนได้เลยนะคะ

#งบดุล #งบกำไรขาดทุน #งบกระแสเงินสด #หมอยุ่งอยากมีเวลา #งบการเงิน #หุ้น #ลงทุนหุ้น #ผ่าหุ้นด้วงบการเงิน

20/07/2024

การเตรียมหัวข้อ คุยกับพี่มี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ ไม่ว่าจะหัวข้ออะไร พี่มี่ เคยพูดมาเกือบหมดแล้ว ทางเรา เลยคุยกับพี่มี่ว่า อย่างงั้น ช่วยเล่า เรื่องวิวัฒนาการของพี่มี่ ว่า ระหว่างทางที่ผ่าน เขาเห็นอะไร และ ปรับตัวอย่างไรบ้าง สิ่ง หนึ่ง ที่ ทึ่งไประหว่างคุยคือ พี่มี่ พูดในฐานะของ นักลงทุน คนหนึ่ง ที่ มีการบาดเจ็บ มีความเจ็บปวด ไม่ใช่ ฐานะเซียน ที่ไร้พ่ายแต่อย่างใด เรื่องราวระหว่างบรรทัด ที่พาพี่มี่ มา ตรง นี้ได้ ไม่ใช่เรื่องราวที่สวย แต่ เป็นเรื่องที่น่าจดจำ เพราะ มันคือเครื่องเตือนใจว่า เส้นทางของการลงทุน ไม่มีคำว่า ง่าย


ใครจะไปรู้ว่า เบื้องหลังของอารมณ์ขันของพี่มี่มันมีอะไรอยู่บ้าง ลองมาติดตามพี่มี่ ใน เวอร์ชั่น หุ้นหมีบอก ดูครับ

20/07/2024

สรุปหนังสือ “ONE UP ON WALL STREET" โดย John Rothchild และ Peter Lynch พ่อมดแห่งการบริหารกองทุน

Photos from ลิงเล่นหุ้น's post 19/07/2024

เพจวิเคราะห์ได้ดีมากเลยครับ

18/07/2024

หนังสือ "The essential Buffetts แก่นแท้ของบัพเฟตต์"

อ่าน "กฎเหล็ก 12 ข้อที่เป็นแนวทางในการซื้อธุรกิจของบัพเฟตต์" ด้วยกันนะคะ

Playbook ที่บัฟเฟตต์นำมาใช้ในการลงทุนตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษของเขา และเคล็ดลับทางจิตวิทยาทางด้านอารมณ์ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม

🔺หนังสือที่พูดถึง

— รูปแบบการลงทุนของบัฟเฟตต์ตลอดระยะเวลา 45 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆที่สภาพแวดล้อมสภาวะของตลาด มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีรูปแบบการลงทุนแบบต่างๆจำนวนมากเกิดขึ้นและเลิกใช้ ทั้ง บริษัทขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ การเติบโตเร็ว เน้นคุณค่า โมเมนตัม เล่นแบบมีธีม แต่กลยุทธ์ของบัฟเฟตต์กลับมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก อีกทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมั่งคั่ง เขาทำได้อย่างไร ?

ในส่วนถัดมา มีการเล่าถึงประวัติ ของ BERKSHIRE HATHAWAY INC. ในช่วงที่บัฟเฟตต์ลงทุนในหจก. เริ่มลงทุนซื้อบริษัทประกันภัย และมุมมองที่ทำให้ธุรกิจประกันภัยของเขาสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า ค่าเฉลี่ยของตลาด รวมไปถึงการเข้าซื้อหุ้น GEICO จากมุมมองที่เรียนรู้และเข้าใจธุรกิจอย่างดีแบบโฟกัส การบริหารจิตใจ และมุมมองโอกาสเข้าซื้อช่วงที่ธุรกิจตกต่ำ

– หนังสือบอกเล่าเรื่องราว เหตุผลการเข้าซื้อธุรกิจ GEICO จากเปอร์เซนต์ที่เหลือ ในช่วงที่ถูกต้องจังหวะที่ถูกต้อง ช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมประกันภัยส่วนใหญ่กำลังประสบกับความถดถอยของการทำกำไร

แบ่งปันสิ่งที่บัฟเฟตต์เน้นย้ำ หลักการที่เขาเชื่อว่า นักลงทุนและนักธุรกิจควรจะดูบริษัทในมุมมองแบบเดียวกัน มองถึงศักยภาพทางธุรกิจของกิจการ คนที่รับผิดชอบในการบริหารมัน และราคาที่เราต้องจ่าย

🔺 บทเรียนจากนักปราชญ์ทั้ง 3 คนของวงการเงิน

🗨️เบนจามิน แกรแฮม — ความเข้าใจเชิงปริมาณของราคาและมูลค่าหุ้น

คำนิยาม : “กิจกรรมการลงทุนคือสิ่งที่หลังจากการวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้วให้ความมั่นใจถึงความปลอดภัยของเงินต้น และผลตอบแทนที่น่าพอใจ กิจกรรมที่ไม่เข้าเงื่อนไขนี้ คือ การเก็งกำไร“

‘ผ่านการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ‘ ของแกรแฮมเน้นย้ำถึง 3 ขั้นตอน
1.การพรรณนา จากการรวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มีอยู่และนำเสนอมันในรูปแบบที่ชาญฉลาด
2.การวิเคราะห์ นั้นให้ความสนใจในการหาภาพที่แท้จริงของกิจการบนพื้นฐานของข้อมูลนั้น
3.การเลือกสรร นักวิเคราะห์จะตัดสินถึงความน่าลงทุนของสินทรัพย์ที่พิจารณา
ทั้งนี้สินทรัพย์ที่พิจารณาว่าเป็นการลงทุนของเกรแฮมนั้น ต้องมีระดับความปลอดภัยของเงินต้น (Margin of Safety) และผลตอบแทนที่น่าพอใจ ประกอบด้วย รายได้จากเงินปันผล และการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น
หลักการ MOS ประยุกต์มาจากมุมมองการมองโลกในแง่ดีของการลงทุน ที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของบริษัท โดยการนำไปใช้มีอยู่ 2 เทคนิค คือ

🧡ซื้อหุ้นของบริษัทเมื่อภาวะตลาดโดยรวมมีการซื้อขายหุ้นในราคาที่ต่ำ เช่น เกิดในสภาวะตลาดหมี หรือการปรับตัวของหุ้นในช่วงข่าวร้ายชั่วคราว แต่การคาดเดารอบของตลาดดูไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ แกรแฮมจึงเน้นที่ ข้อ 2 มากกว่า นั่นคือ
🧡ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยไม่สนใจในสภาวะตลาดโดยรวม

🗨️ฟิลลิป ฟิสเชอร์ — ความเข้าใจเชิงคุณภาพของตัวธุรกิจและฝ่ายบริหาร

คำนิยาม : “จงเป็นเจ้าของบริษัทที่โดดเด่นเพียงไม่กี่ตัวมากกว่าที่จะถือหุ้นระดับกลางๆจำนวนมาก”

ฟิสเชอร์ลงทุนประมาณ 75% ของพอร์ตกับหุ้นเพียง 3-4 ตัวเท่านั้น
ปัจจัยที่จะประสบความสำเร็จของฟิสเชอร์ คือ การลงทุนเฉพาะบริษัทที่อยู่ภายใต้ขอบเขตความสามารถของตนเท่านั้น ความผิดพลาดของเขาในช่วงแรกเกิดจาก การฉายทักษะที่เกินประสบการณ์

แน่นอนว่าการที่นักลงทุนจะตัดสินใจได้ดี จะต้องรู้จักกับธุรกิจเปนอย่างดี คือตรวจสอบบริษัทในทุกๆด้าน
มองให้ลึกมากกว่าตัวเลข ศึกษาคุณสมบัติของฝ่ายจัดการ เรียนรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยงข้อง คู่แข่ง การหาแหล่งข้อมูลจากทุกแหล่งเท่าที่จะเป็นไไปได้ รวมถึงเรียนรู้คุณค่าของ scuttlebutt

🗨️ชาร์ลีมังเกอร์

มองหาบริษัทที่สร้างกำไรเปนเงินสดสูงและต้องการการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรน้อย
เป็นเรื่องที่ดีกว่ามากที่จะจ่ายราคายุติธรรมสำหรับบริษัทที่ยิ่งใหญ่แทนที่จะจ่ายราคาถูกมากสำหรับบริษัทที่พอใช้ได้

_________________
🔺 กฎเหล็ก 12 ข้อที่เป็นแนวทางในการซื้อธุรกิจของบัพเฟตต์

ขั้นแรกและขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเข้าซื้อธุรกิจของบัฟเฟตต์ — ให้ดูที่ธุรกิจโดยรวม ตรวจสอบลักษณะเชิงปริมาณและคุณภาพของฝ่ายบริหาร ฐานะทางการเงิน และราคาหุ้นที่จะซื้อ

🔸1.บัญญัติทางธุรกิจ คือคุณลักษณะพื้นฐาน 3 ข้อของตัวธุรกิจ

✔️ธุรกิจต้องเข้าใจง่ายและเข้าใจได้

ครั้งนึง บัฟเฟตต์ได้กล่าวว่าความสำเร็จของการลงทุนไม่ใช่เรื่องว่าคุณรู้มากเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องว่าคุณสามารถกำหนดได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่คุณไม่รู้
สิ่งที่นักลงทุนต้องทำ คือ

ทำในสิ่งที่ถูกต้องเพียงไม่กี่อย่าง ตราบใดที่เขาหรือเธอสามารถหลีกเลี่ยงการผิดพลาดใหญ่ๆได้
การสร้างผลตอบแทนให้เหนือค่าเฉลี่ยนั้น บัฟเฟตต์ได้เรียนรู้ว่ามาจากการทำสิ่งที่ธรรมดาๆ
หัวใจสำคัญก้อคือ ทำสิ่งที่ธรรมดาๆนั้นอย่างดี

✔️ธุรกิจจะต้องมีประวัติการดำเนินการที่สม่ำเสมอ
หลีกเลี่ยงการซื้อบริษัทที่กำลังแก้ปัญหายุ่งยาก หรือกำลังเปลี่ยนทิศทางขั้นพื้นฐานของบริษัทเพราะแผนที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จ จากประสบการณ์ของเขาเชื่อว่า
ผลตอบแทนที่ดีที่สุดนั้น มาจากบริษัทที่ผลิตสินค้าและบริการต่อเนื่องมาหลายๆปี
ซื้อธุรกิจที่ดีในราคายุติธรรมนั้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการซื้อธุรกิจที่ยากลำบากในราคาที่ถูก

✔️ธุรกิจต้องมีระยะยาวที่สดใส
ความแตกต่างระหว่าง ธุรกิจเฟรนไชส์และธุรกิจที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์
คือ หัวใจที่เป็นอำนาจต่อรองในเรื่องราคาของธุรกิจเฟรนไชส์ โดยสามารถให้คำนิยามได้ดังนี้
จำเป็นหรือเป็นที่ต้องการ * ไม่มีสินค้าทดแทนที่ใกล้เคียง * ไม่ถูกควบคุมโดยทางการ

ลักษณะเหล่านี้ทำให้ เกิดความยืดหยุ่นทางด้านราคา หรือ ศักยภาพในการขึ้นราคาได้อย่างเสรี
เป็นโอกาสในสร้างกำไรต่อเงินลงทุนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย สามารถทนทานต่อผลกระทบทางด้านเงินเฟ้อ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ข่าวร้ายชั่วคราว การบริหารงานของฝ่ายบริหารที่อาจจะผิดพลาดในช่วงเวลานึงได้ดีกว่า สำหรับการลงทุนในระยะยาว

เมื่อสินค้าโภคภัณฑ์มีอำนาจต่อรองทางด้านราคาได้น้อยกว่า ส่งผลให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคามากกว่า
วิธีสร้างผลตอบแทนจากการลดราคาต้นทุนและค่าใช้จ่าย จึงเป็นหนทางเดียวที่สามารถแข่งขันได้ นอกเหนือจากปีที่เต็มกำลังการผลิต

🔸2.บัญญัติทางการบริหาร คือ คุณสมบัติที่สำคัญ 3 ประการที่ฝ่ายบริหารระดับสูงจะต้องมี : ความมีเหตุผล การเปิดเผย และความมีอิสระทางความคิด
สิ่งเหล่านี้ พิจารณาได้ยาก แต่มีความสำคัญเนื่องจากอาจะเปนสัญญาณเตือนถึงผลการดำเนินงานที่จะถูกเปิดเผยในงานการเงินประจำปี

✔️ฝ่ายบริหารควรมีเหตุผล

รู้ช่วงเวลาวัฎจักรของกิจการ และตัดสินใจว่าจะนำเงินทุนหรือกำไรของบริษัทไปลงทุนต่อหรือคืนเงินให้กับผู้ถือหุ้น

ก่อนอื่นฝ่ายบริหารต้องพิจารณาว่าฐานะของบริษัทอยู่ในช่วงไหนของวงจรธุรกิจ

> ช่วงพัฒนา — อัตราการเจริญเติบโตของรายได้ กำไร และกระแสเงินสดเปลี่ยนแปลงมหาศาล และสูญเสียเงินจำนวนมาก
> ช่วงเติบโต — บริษัทจะมีกำไรเติบโต แต่ไม่สามารถรองรับการเจริญเติบโดได้ กิจการจึงต้องเก็บกำไรทั้งหมดเพื่อลงทุนต่อ รวมไปถึงการกู้เงิน หรือออกหุ้นใหม่เพื่อนำเงินมาใช้ในการเติบโตนี้
> ช่วงอิ่มตัว — อัตราการเจริญเติบโตช้าลง กิจการเริ่มสร้างเงินสดที่มากกว่าความต้องการเพื่อนำไปพัฒนาและการดำเนินการปกติ
> ช่วงถดถอย — ยอดขายและกำไรลดลง แต่ยังคงสร้างเงินสดส่วนเกิน
ในช่วงที่ 3-4 นี้เองที่เกิดคำถามขึ้นว่า “บริษัทจัดสรรกำไรส่วนเกินนั้นอย่างไร ?”

กรณีนำเงินสดส่วนเกินไปลงทุนต่อและสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าค่าเฉลี่ย บริษัทควรเก็บกำไรทั้งหมดไว้ลงทุนต่อ
หากกรณีลงทุนแล้ว ผลตอบเทนที่ได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่กระแสเงินสดที่สร้างยังคงมากกว่าความต้องการใช้

กิจการจะมีทางเลือก 3 ทางคือ ;
1. ไม่รับรู้ถึงปัญหาและยังคงนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อ เกิดในกรณีที่ฝ่ายจัดการอาจจะประเมินว่า สถานการณ์การลงทุนที่แย่นั้น อาจจะเปนแค่เหตุการณ์เพียงชั่วคราว หลังจากนี้ด้วยความสามารถ จะทำให้กำไรของการลงทุนกลับมาดีขึ้น ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง
2. นำไปซื้อกิจการอื่นเพื่อสร้างการเติบโต บัฟเฟตต์บอกว่าให้พึงระวังว่า การซื้อเหล่านั้น อาจจะตามมาด้วยราคาที่เกินมูลค่าของมัน และ กิจการที่ต้องรวมธุรกิจอื่นและบริหารธุรกิจใหม่ มักมีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาดได้ง่าย
3. คืนเงินให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นวิธีที่บัฟเฟตต์ชื่นชอบที่สุด ในกรณีที่ผลตอบแทนการลงทุนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย โดยการคืนเงินนั้นมี 2 รูปแบบคือ การจ่ายปันผล และการซื้อหุ้นคืนเมื่อหุ้นซื้อขายกันในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง

✔️ฝ่ายจัดการควรเปิดเผยกับผู้ถือหุ้น — ยอมรับความล้มเหลวอย่างตรงไปตรงมา และการรายงานกำไรที่แยกผลการดำเนินงานรายอุตสาหกรรม

“CEO ที่ทำให้คนอื่นหลงผิดในที่สาธารณะ อาจทำให้ตัวเขาเองหลงผิดได้ในที่สุด”

✔️ฝ่ายจัดการควรยืนหยัดต่อต้านการทำตามประเพณี หรือการทำตามสิ่งที่คนทั่วไปล้วนทำกัน — บริษัทควรมีอิสระในการตัดสินใจในสิ่งที่อาจจะสวนทางไปจากมวลชน มันเปนเรื่องง่ายกว่าที่จะทำตามบริษัทอื่น เพราะไม่อยากมองว่า บริหารไม่ดี ในขณะที่บริษัทอื่นได้กำไร จึงไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงหากมีโอกาส

สำหรับการรวบรวมข้อมูล : แนะนำให้ อ่านรายงานประจำปีย้อนหลัง ไป 2-3 ปี
ให้ความสนใจเปนพิเศษกับสิ่งที่ฝ่ายจัดการพูดเกี่ยวกับกลยุทธ์ในอนาคต และเปรียบเทียบแผน กับผลการดำเนินงานในปัจจุบัน
มองหาบทความในหนังสือพิมพ์ และสื่อต่างๆ สอบถามนักลงทุนสัมพันธ์ และเวปไซต์

🔸3.บัญญัติทางการเงิน คือ การตัดสินใจทางการเงินที่สำคัญ 4 ข้อที่บริษัทจะต้องรักษาไว้

✔️มุ่งเน้นที่ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ไม่ใช่กำไรต่อหุ้น
มองหามูลค่าผลตอบแทนจากเงินทุนที่ใช้ไป
ดีกว่า กำไรต่อหุ้นที่เพิ่มในขณะที่มีการลงทุนเพิ่มเช่นกันเพราะมันก็ไม่น่าสนใจ

บัฟเฟตต์มองว่าธุรกิจที่ดีย่อมสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืนในขณะที่ใช้การกู้ยืมให้น้อยที่สุด
หรือไม่มีหนี้เลย ธุรกิจที่มีหนี้สูงค่อนข้างเสี่ยงในช่วงเศรษฐกิจถดถอย

✔️คำนวณ “กำไรของเจ้าของ” เพื่อที่จะได้ภาพที่สะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริง
โดยคำนวณมาจาก “กำไรสุทธิบวกกลับด้วยค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจ่าย ค่าความนิยมอื่นๆ (คล้ายงบกระแสเงินสด แต่ก็ไม่ได้รวมความเป็นจริงทางธุรกิจ) ลบ ค่าใช้จ่ายลงทุนและเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเพิ่มเติมที่จำเป็น เพื่อหามูลค่ากิจการที่แท้จริง"

กระแสเงินสดนั้นจำเป็นก็ต่อเมื่อธุรกิจที่มีการลงทุนมากๆในช่วงแรกๆ และใช้เงินเพิ่มเติมน้อยๆในภายหลัง เช่น อสังหาริมทรัพย์ บ่อน้ำมัน เคเบิลทีวี

อีกด้านนึงคือ กิจการที่ต้องการเงินลงทุนเรื่อยๆนั้น ไม่สามารถจะนำกระแสเงินสดมาคำนวนมูลค่ากิจการได้ เช่น โรงงานผลิตสินค้า

✔️มองหาบริษัทที่มีกำไรต่อยอดขายสูง : ทุกๆเหรียญของยอดขายจะมีระดับค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมอยู่ระดับหนึ่ง

✔️สำหรับทุกดอลลาร์ที่ถูกเก็บไว้ในบริษัท บริษัทได้สร้างอย่างน้อย 1 ดอลลาร์ในมูลค่าตลาดของหุ้นหรือไม่
มองหาธุรกิจที่มีคุณสมบัติเชิงธุรกิจที่จะให้แต่ละดอลลาร์ของกำไรที่ถูกเก็บสะสมไว้ ให้ถูกแปรให้เป็นอย่างน้อยหนึ่งดอลลาร์ของมูลค่าตลาดของหุ้นเพราะแน่นอนว่าราคาของหุ้นมักจะขยับตัวตามมูลค่าของธุรกิจในระยะยาว

🔸4.บัญญัติทางด้านตลาดหุ้น คือแนวทาวเกี่ยวกับตัวหุ้น 2 ข้อ

✔️กำหนดมูลค่าธุรกิจ บัฟเฟตต์ใช้วิธีการในการหายอดรวมของมูลค่าธุรกิจจากผลรวมของกระแสเงินสดสุทธิ
(กำไรของเจ้าของ) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดชีวิตของธุรกิจ ปรับลด โดยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม โดย;

–ส่วนที่หนึ่ง คือการคำนวนกำไรทั้งหมดที่น่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุของกิจการ คิดลดกำไรของเจ้าของทั้งหมด
ย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน โดยพิจารณาจาก คุณลักษณะทางธุรกิจของบริษัท สุขภาพทางการเงิน คุณภาพของผ่ายบริหาร

–ส่วนที่สอง คือ อัตราคิดลดเพื่อหามูลค่าปัจจุบัน มักใช้ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว
เนื่องจาก ไม่มีความเสี่ยงในระยะเวลานานหลายๆปี บัฟเฟตต์ไม่นำผลตอบแทนความเสี่ยงของหุ้นมารวมคำนวณแต่กลับใช้ Margin of safety ที่มีส่วนลดค่อนข้างมาก เพื่อกำหนดราคาเข้าซื้อหุ้น

หลักการที่เรียบง่ายและทำได้เสม่ำเสมอ คือ ต้องเป็นธุรกิจที่ธรรมดาและเข้าใจง่าย สามารถเข้าใจและกำหนดกำไรของเจ้าของในอนาคตด้วยความแน่นอนสูง ด้วย “ขอบเขตความสามารถ” ของตนเอง

✔️ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของมันมากๆ หรือหลักการใช้ margin of safety ในการเข้าซื้อหุ้นนั่นเอง

_________________

🔺 หลักการการลงทุนแบบ Focus

- หาบริษัทที่โดดเด่น เน้นหาบริษัทที่มีประวัติผลประกอบการที่เหนือกว่าอย่างยาวนานและฝ่ายจัดการที่มั่นคง โดยใช้ “กฎเหล็ก 12 ข้อของแนวทางในการซื้อธุรกิจ”
- น้อยกว่าคือมากกว่า การกระจายความเสี่ยงมากไปอาจจะเพิ่มโอกาสที่คุณจะเลือกซื้อบางอย่างที่คุณมีความรู้ไม่มากพอ
- เลือกบริษัทที่ดีที่สุด และพนันให้หนักในเหตุการณ์ที่มีโอกาสชนะสูง
- “จงอดทน” คิดระยะยาว 5-10 ปีเป็นอย่างต่ำ
- ถ้าความผันผวนเกิดขึ้นให้ถือต่อไป

🔺การคิดตัวเลข

1. ทฤษฎี กำหนดค่าความน่าจะเป็นในกรณีความเสี่ยงข้อต่างๆที่เกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์ต่างๆ จากต่ำไปสูง และถ่วงน้ำหนักผลกระทบเป็นตัวเลขด้วยความน่าจะเป็น การลงทุนที่เสี่ยงจะไม่เสี่ยง เมื่อกำไรที่เกิดขึ้นถูกถ่วงน้ำหนักด้วยโอกาสความเป็นไปได้ แล้วสูงกว่าขาดทุนที่ถูกถ่วงน้ำหนักในทำนองเดียวกัน รอจนกว่าโอกาสชนะของคุณที่มีมากกว่า
2. ปรับค่าสำหรับข้อมูลใหม่ หลังจากการติดตามศึกษาหุ้นอย่างละเอียดและรอบคอบ พิจารณาหากที่ปัจจัยอะไรที่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
3. ตัดสินใจว่าจะลงทุนเท่าไหร่
4. รอโอกาสชนะที่ดีที่สุด หาราคาที่มีส่วนต่างของความปลอดภัยมากที่สุด

🔺การลงทุนเข้าซื้อหุ้นตัวใหม่ๆของบัฟเฟตต์

-- ชาร์ลี มังเกอร์ย้ำว่า สำหรับนักลงทุนธรรมดา สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณมีอยู่แล้วควรจะเป็นมาตรวัดของคุณ ถ้าสิ่งใหม่ที่คุณพิจารณาจะซื้อไม่ดีไปกว่าสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว มันก็ไม่เข้าเกณฑ์ของคุณ – สิ่งนี้จะกรอง 99% ของสิ่งที่คุณเห็น
-- ใช้หุ้นที่มีอยู่ในพอร์ตเพื่อหาค่าเฉลี่ยมาตรฐานถ่วงน้ำหนักเชิงเศรษฐกิจ เมื่อได้นิยามจากมาตรฐานเชิงเศรษฐกิจแล้ว ลองพิจารณาว่า หุ้นตัวใหม่นั้นทำได้มากกว่าค่าเฉลี่ยมากแค่ไหน ที่จะทำให้มาตรฐานของคุณเพิ่มขึ้น

และแน่นอนว่า เมื่อราคาหุ้นตกลงมา
❗—อย่าขวัญผวา อย่ารีบขายทิ้ง
❗— ประเมินพื้นฐานทางธุรกิจ ระยะยาวของธุกิจของคุณ
❗— ถ้าพื้นฐานทางธุรกิจไม่เปลี่ยนซื้อเพิ่ม

🔺 5 คำเตือนสำหรับการลงทุนแบบ Focus

1-อย่าเข้าใกล้ตลาดหุ้นยกเว้นแต่ว่าคุณเต็มใจที่จะคิดเกี่ยวกับหุ้นในฐานะที่เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งขิงธุรกิจเสมอ
2-คุณต้องเตรียมพร้อมที่จะศึกษาธุรกิจที่คุณเป็นเจ้าของอย่างขยันขันแข็ง โดยมีความคิดที่ว่าไม่มีใครจะรู้เกี่ยวกับกิจการของคุณและอุตสาหกรรมมากไปกว่าคุณ
3-ไม่จำเป็นต้องเริ่มพอร์ตฟอลิโอแบบโฟกัส เว้นเสียว่าคุณพร้อมที่จะลงทุนอย่างต่ำ 5 ปี ยิ่งระยะเวลาที่ยาว ยิ่งทำให้การลงทุนของคุณปลอดภัยขึ้น
4-อย่ากู้เงินมาลงทุน
5-ยอมรับความจำเป็นที่ต้องมีอารมณ์และบุคลิกส่วนตัวที่มั่นคง

🔺 การจัดการทางด้านอารมณ์: คำพูดของแกรแฮมที่ว่า นักลงทุนที่แท้จริงสามารถมองได้จากอารมณ์ของเขา เช่นเดียวกับทักษะของเขา

1- นักลงทุนที่แท้จริง “ใจเย็น” -- เมื่อราคาหุ้นที่ตกลงเพราะอารมณ์ของคนในตลาด นักลงทุนจะพิจารณาอย่างเยือกเย็น ตราบใดที่บริษัทยังคงรักษาคุณภาพที่ดึงดูดให้คนเข้ามาซื้อในฐานะนักลงทุนตั้งแต่แรก ราคาหุ้นก็จะกลับมา รวมไปถึง “ความสงบนิ่ง” กับอาการตกรถ นักลงทุนที่แท้จริงไม่วิตกกับการพลาดงานปาร์ตี้ใดๆ แต่ควรวิตกหากมางานปาร์ตี้ของคนหมู่มากโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
2-นักลงทุนที่แท้จริง “อดทน” -- เพื่อรอคอยโอกาสที่เหมาะสมที่จะปรากฎตัว พวกเขาบอกปฎิเสธมากกว่าตกลง
3- นักลงทุนที่แท้จริง “มีเหตุผล” -- การมองโลกในแง่ดีในช่วงที่ตลาดกระทิงอาจจะก่อให้เกิดความประมาทมากเกินไป การมองโลกในแง่ร้ายเกิดไปเมื่อเกิดตลาดหมี อาจจะทำให้พลาดเเวลาที่เหมาะสมในการซื้อบริษัทที่ดีในราคาที่ต่ำมาก “อย่าเป็นคนที่ ต้องจ่ายราคาแพงมากในตลาดหุ้นสำหรับความรื่นรมย์ที่เห็นพ้องต้องกันทั้งหมดของมหาชน

หาโอกาสที่ดีที่สุด นักลงทุนจะต้องเต็มใจที่จะทวนกระแส การไม่ทำตามคนอื่นนั้น คือหนทางที่คุณควรไป

bier, moonshot thinking
17 jul 2024

ต้องการให้ธุรกิจของคุณ ธุรกิจ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง นักบัญชี ใน Bangkok?
คลิกที่นี่เพื่อเป็นสมาชิก?

วิดีโอทั้งหมด (แสดงผลทั้งหมด)

หุ้นที่คาดว่าจะถูกเข้าคำนวณในดัชนี SET50 SET100 #PISEKInvestmentConsultant#ภิเษกทัศนะนาคะจิตต์#วางแผนการเงิน #หุ้น #ลงทุ...
หุ้น 4 เหล่าCr. โค้ชซัน Super Trader Republic#PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #หุ้น #ลงทุน#การลงทุน #InvestmentT...
BROOK ceiling!!!!!!บริษัทจดทะเบียนรายเเรกของไทยที่ลงทุนคริปโต!!!#PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #หุ้น #ลงทุน#กา...
CR. เพจใส่เดี่ยวกับเจ้ามือ by George เเนะนำหุ้นน่าสนใจ >>> NER#PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #หุ้น #ลงทุน#การล...
DITTO เข้าตลาดวันเเรก +113% !!!#PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #หุ้น #ลงทุน#การลงทุน #InvestmentTikTok : https:...
Cr. Frankky Traderสิ่งสำคัญที่สุดของการ Day Trade#PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #หุ้น #ลงทุน#การลงทุน #Investm...
เเนะนำโบรกเกอร์เทรดหุ้น ค่าธรรมเนียมต่ำม๊ากก#PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #หุ้น #ลงทุน#การลงทุน #InvestmentTi...
Warren Buffet ยอมรับพลาดที่ขายหุ้น APPLE Cr. stock2morrow #PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #หุ้น #ลงทุน#การลงทุน...
PE แปปโฮ เอ้ย PE ratio
2 เหตุผลที่วัยรุ่นไทย ต้องเริ่มลงทุนหุ้นไทย ตั้งเเต่วันนี้ #PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #หุ้น #ลงทุน#การลงทุ...
KSecurities  เเนะ Global play STA, SCC, SCGP, IVL #หุ้น #ลงทุน #PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #การลงทุน #Inves...
AEONTS ทำไมน่าเก็บสะสมระยะยาว!?#PISEKInvestmentConsultant#วางแผนการเงิน #การลงทุน #InvestmentTikTok : https://vt.tiktok....

เว็บไซต์

ที่อยู่


Bangkok

ที่ปรึกษาทางการเงิน อื่นๆใน Bangkok (แสดงผลทั้งหมด)
CryptoSight CryptoSight
Bangkok

แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคริปโตและสกุลเงินดิจิทัล

FirstCash FirstCash
55 อาคารเวฟเพลส
Bangkok, 10330

All In-Sure By Aoy All In-Sure By Aoy
Bangkok

เพจที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจและรู้จัก?

EmpowerFinance - เงินทรงพลัง EmpowerFinance - เงินทรงพลัง
Bangkok

EmpowerFinance: เงินทรงพลังที่ทำให้ชีวิตเติบโตและเปลี่ยนแปลงได้อย่างทรงพลัง! ให้ทุกวันคือการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเงินของคุณ! 🌟💰

ประกันชีวิต ออนไลน์ by แหว๋ว ประกันชีวิต ออนไลน์ by แหว๋ว
เลขที่ 6 อาคารโอเนสทาวเวอร์ ชั้น 4, 22~23 ซอยสุขุมวิท 6 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย
Bangkok, 10110

ประกันชีวิตออนไลน์ มีตัวแทนดูแล ยินดีให้คำปรึกษา ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ สะสมทรัพย์ มรดก ลดหย่อนภาษี

เงินด่วน เงินกู้ เพื่อเจ้าของธุรกิจ : SaBai Cash สบายแคช เงินด่วน เงินกู้ เพื่อเจ้าของธุรกิจ : SaBai Cash สบายแคช
Bangkok

สินเชื่อธุรกิจเพื่อเจ้าของธุรกิจ ?

Khwan_Ratsaya Khwan_Ratsaya
รัชดาภิเษก
Bangkok, 10120

ที่ปรึกษาทางด้านการเงิน ช่องทางติดต่อ โทร.090 9942996

ชี้ช่องรวยด้วยบำนาญฉลาดเลือก ชี้ช่องรวยด้วยบำนาญฉลาดเลือก
Bangkok, 10900

เพจให้ความรู้ด้านการเงิน

Supawadee12 Aiaประกันชีวิตความมั่นคงที่คุณออกแบบได้ Supawadee12 Aiaประกันชีวิตความมั่นคงที่คุณออกแบบได้
Bangkok, 10700

ประกันเรื่องเล็ก เล็ก AIA

One 2 cash สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการและที่ปรึกษาทางการเงิน One 2 cash สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการและที่ปรึกษาทางการเงิน
88/9 Rama III Road, Bang Khlo, Bang Kho Laem
Bangkok, 10310

สินเชื่อ เงินหมุนเวียน สำหรับ เจ้าของธุรกิจ ที่ จดทะเบียน เท่านั้น! หรือ ต้องการปรึกษาธุรกิจ ฟรี! เอกสารไม่ยุ่งยาก , อนุมัติง่าย , ไม่มีการ โอนเงินมัดจำ , ทำสัญญา เมื่อผ่านการตรวจ...

BEPRO AIA รับสมัครตัวแทนประกันชีวิตกรุงเทพและทั่วประเทศ BEPRO AIA รับสมัครตัวแทนประกันชีวิตกรุงเทพและทั่วประเทศ
10500, กรุงเทพมหานคร
Bangkok, 10500

welcome to my team FA /LA สอน และฝึกอบรม การขาย ให้ฟ?

Ufaeat Ufaeat
888/8
Bangkok, 12120