KRABI - Modeling Agency

คิดเรทรับถ่ายรูปยังไงดี?

ดราม่าตัดราคา ดราม่ารับงานถูกในวงการช่างภาพนี่คือเรื่องคลาสสิคมากๆ เจอได้ทั่วไปตามกลุ่มรับงาน แล้วมักจะมีคำถามกลับมาเสมอว่าช่างภาพต้องคิดเรทยังไง โดยเฉพาะมือใหม่หัดรับงานอาจจะไม่รู้ว่าต้องตั้งเรทยังไงดี ตัวเองมีต้นทุนในรูปแบบไหนบ้าง

เอาละเราจะมาไกด์แบบคร่าวๆกันว่าต้นทุนที่ต้องใช้ในการออกไปรับงานมีอะไรบ้าง
1. แน่นอนคือค่าอุปกรณ์ทั้งกล้อง เลนส์ อุปกรณ์เสริมและคอม ตรงนี้แต่ละคนก็มีค่าคอร์สไม่เท่ากันตามราคาของอุปกรณ์ อาจจะเริ่มคิดจาก Set เริ่มต้นที่เราใช้งานเป็นประจำ แต่ถ้าเป็นงานที่มันค่อนข้างเฉพาะทางตรงนี้อาจจะต้อง add on เรทเพิ่มเข้าไปตามจำนวนกล้องหรือเลนส์ (ถ้าเราไม่มีกล้องหรือเลนส์ในมือต้องเช่า ก็บวกค่าเช่าเข้าไป) ก็ลองคิดดูคร่าวๆว่าถ้าเรารับงานเท่านี้จะคืนทุนค่าอุปกรณ์ภายในกี่เดือน
2. ค่าเสื่อมอุปกรณ์ การใช้งานกล้องแต่ละครั้งต้องเกิดการเสื่อมทุกครั้ง
3. ค่าโปรแกรมรายเดือนต่างๆ อันนี้ก็ลองหารเฉลี่ยเอาว่าแต่ละเดือนเรารับได้ประมาณกี่งาน
4. ค่า Storage การ์ดต่างๆ HDD SSD เมื่อเริ่มรับงาน HDD กี่ลูกก็ไม่พอบอกไว้เลย รวมถึงค่าเช่า Cloud ด้วย เพราะในยุคนี้ส่วนมากส่งงานผ่าน Cloud ซึ่งเราอาจจะต้อง Back Up ให้ลูกค้าไว้ประมาณ 3 เดือน
5. ค่าเดินทาง อาหาร
6. ค่าที่พักในกรณีต้องค้างคืนหรือไปถ่ายหลายวัน
7. ค่าประสบการณ์ ไอเดีย สกิลต่างๆ ทั้งไปลงคอร์ส ออกทริป Workshop
8. ค่าเหนื่อย ตรงนี้สำคัญมากบัดเจทที่ได้มาต้องคุ้มค่ากับความเหนื่อย เรารับงานมาแล้วรู้สึกเหนื่อยไม่คุ้ม ทำงานยากเพราะงบมีจำกัด แปลว่าเรารับถูกไป
9. ลองคิดคร่าวๆดูว่าเราใช้เวลาทำงานของแต่ละโปรเจคนานขนาดไหน ก็เอาจำนวนวันที่ทำงานนั้นๆมาหารบัดเจทที่ได้มา เราจะรู้เลยว่าค่าแรงต่อวันเราอยู่ที่เท่าไหร่

ลองเอาไกด์ที่เราพิมพ์ไว้ไปลองปรับใช้กับตัวเองดูครับ เพราะแต่ล่ะคนใช้ต้นทุนไม่เท่ากัน ทั้งหมดจะเป็นการรวมค่าใช้จ่ายเผื่อสิ่งต่างๆระหว่างทำงานด้วย เราจะได้มีเงินสำรองแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

มาช่วยผลักดันวงการให้ไปข้างหน้า ให้ทุกคนได้อยู่รอดกันครับ ทำงานเอสกำไรบ้างไม่ใช่เอาแค่สังคม
ขอบคุณสำหรับบทความ
#ช่างภาพชื่อดังฐานะร่ำรวย

TETE

KRABI - Modeling Agency ส่ง
2 นักแสดงสมทบ หนังต่างประเทศ
ถ่ายทำในจังหวัดกระบี่