Thailand International Motor Expo

แบทเตอรีติดรถยนต์มีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 2-3 ปี พอใกล้ถึง หรือเลยระยะนี้ไปแล้ว โอกาสไฟไม่พอสตาร์ทอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา MR. MOTOR EXPO ขอแนะนำวิธีสตาร์ทเครื่องยนต์ เมื่อไฟแบทเตอรีหมด

1. พ่วงแบทเตอรี
การพ่วงแบทเตอรี เป็นวิธีที่นิยมทำกัน เพราะสะดวกรวดเร็ว แต่ต้องมีรถอีกคันที่แบทเตอรียังเต็มอยู่ พร้อมสายพ่วงแบทเตอรี วิธีพ่วงที่ถูกต้องให้เอาสายพ่วงหนีบขั้วบวกของแบทเตอรีไฟให้ดีก่อน แล้วค่อยหนีบขั้วบวกอีกด้านกับแบทเตอรีที่หมด ต่อมาหนีบขั้วลบกับแบทเตอรีที่หมด ส่วนขั้วลบที่เหลือให้หนีบลงกราวน์ดบริเวณตัวถัง ส่วนที่เป็นเหล็กในห้องเครื่องของรถที่แบทเตอรีดี จากนั้นให้สตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นอันเสร็จ

2. เข็นสตาร์ท
วิธีนี้ใช้ได้เฉพาะรถ “เกียร์ธรรมดา” เท่านั้น เริ่มจากบิดกุญแจให้อยู่ในตำแหน่ง ON (ไฟหน้าปัดขึ้นโชว์) ใส่เกียร์ว่าง ให้เพื่อนช่วยเข็นจนความเร็วถึงระดับหนึ่ง จากนั้นเหยียบคลัทช์ เข้าเกียร์ 3 แล้วปล่อยคลัทช์ทันที พร้อมกดคันเร่ง ถ้าจังหวะถูกต้อง เครื่องยนต์จะติด

#แบตหมด #รถแบตหมด

Hispano Suiza Carmen Sagrera ซูเพอร์คาร์พลังไฟฟ้า 1,100 แรงม้า !
ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Hispano Suiza แบรนด์ผู้ผลิตรถเก่าแก่ที่เคยประสบวิกฤตจนหายไป จนกลับมาอีกครั้งเมื่อหลายปีก่อน โดยผลิตรถรุ่นแรกเมื่อปี 2564 ด้วย Hispano Suiza Carmen Boulogne ซูเพอร์คาร์ไฟฟ้าพลัง 1,100 แรงม้า ที่ราคาประมาณ 1.5 ล้านยูโร (ประมาณ 58.84 ล้านบาท) และเปิดตัวรุ่นใหม่ คือ Carmen Sagrera ในโอกาสฉลองครบรอบ 120 ปีการก่อตั้งบริษัทผู้ผลิตรถจากสเปน

ข้อมูลจำเพาะของตัวรถยังคงเดิม ด้วยโครงสร้างหลักแบบโมโนคอก และชิ้นส่วนตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ โดยได้พัฒนาแพคแบทเตอรีใหม่ ขนาด 103.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมีน้ำหนัก 1,350 ปอนด์ (เทียบกับรุ่นแรกใช้แพคแบทเตอรีขนาด 80.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่มีน้ำหนัก 1,750 ปอนด์) รับกระแสชาร์จสูงสุด 100 กิโลวัตต์ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่รองรับ 80 กิโลวัตต์ และมีระยะเดินทางเพิ่มเป็น 300 ไมล์ (762 กม.) ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP หากใช้มาตรฐานการทดสอบ EPA จะมีระยะเดินทาง 250 ไมล์ (635 กม.) และเมื่อแบทเตอรีมีน้ำหนักลดลงทำให้การกระจายน้ำหนัก หน้า:หลัง ดีขึ้นจนเกือบจะเท่ากับ 50:50

Hispano Suiza Carmen Sagrera ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 202 กิโลวัตต์/275 แรงม้า จำนวน 4 ตัว แยกขับเคลื่อนเฉพาะล้อหลังฝั่งละคู่ โดยมอเตอร์แต่ละคู่ส่งกำลังผ่านเกียร์แบบอัตราทดเดียว เพื่อขับเคลื่อนล้อหลังในแต่ละข้าง จึงให้กำลังขับเคลื่อนสุทธิ 1,100 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,159 นิวทันเมตร/118.2 กก.ม. เท่ากับ Carmen Boulogne ในรุ่นแรกของบริษัทฯ แม้ใช้มอเตอร์แยกขับในแต่ละข้าง แต่มีการควบคุมพลังขับเคลื่อนล้อหลังด้วยระบบเฟืองขับเสมือน "virtual differential" ที่ใช้ซอฟท์แวร์ในการควบคุมการส่งแรงบิดไปยังแต่ละล้อ แทนการใช้เฟืองขับแบบกลไก

Sagrera ได้รับการปรับปรุงด้านสมรรถนะให้เหนือกว่ารุ่นแรก ตั้งแต่การเปลี่ยนมาใช้ปีกดักลมหลังทรง “ปีกนกกระสา” ที่คล้ายกับมีปีกยื่นออกมาสองข้างจากส่วนกลางตัวรถ, ปรับปรุงระบบระบายความร้อน โดยเพิ่มช่องรับลมทั้งหน้า และหลังรวมถึงบริเวณโป่งล้อหน้าด้วย, นอกจากนั้นยังใช้สีบรอนซ์ที่เสริมความโดดเด่น, ระบบรองรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุน้ำหนักเบา ทั้งปีกนก และชอคอับปรับได้, ใช้ระบบเบรคจานแบบคาร์บอนเซรามิค และคาลิเพอร์โมโนบลอค

ภายในห้องโดยสารได้รับการปรับปรุงใหม่หมด โดยสำนัก Italdesign จากอิตาลี ออกแบบห้องโดยสารใหม่ โดยเฉพาะส่วนคอนโซลกลาง รวมถึงแผงปุ่มควบคุมด้วย

ขณะนี้บริษัทได้ส่งมอบรุ่น Carmen ให้แก่ลูกค้า 4 คัน และอีก 4 คันกำลังอยู่ในระหว่างการผลิต รถแต่ละคันจะใช้เวลาถึง 9 เดือน ตั้งแต่รับสั่งจองจนถึงการส่งมอบ แต่ละคันมีราคาเริ่มต้นที่ 2.5 ล้านยูโร และกำลังมีแผนจะวางตลาดสหรัฐ โดยมีตัวแทนจำหน่ายแห่งแรกในไมอามี

#รถยนต์ไฟฟ้า

Wuling Binguo พวงมาลัยขวามาแล้ว AC 419,000 บาท/DC 449,000 บาท
Wuling Binguo เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100 % ที่เหมาะกับครอบครัวคนรุ่นใหม่ เน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ด้วยขนาดตัวรถ ความยาว 3,950 มม. ความกว้าง 1,708 มม. ความสูง 1,580 มม. ระยะฐานล้อ 2,560 มม. โดยจะเปิดตัว 2 รุ่น คือ Standard Range 333AC และ Standard Range 333DC

Standard Range 333AC และ Standard Range 333DC มาพร้อมกับขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 31.9 กิโลวัตต์ (68 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 15.3 กก.ม. 150 นิวทันเมตร แบทเตอรีความจุ 31.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ชาร์จไฟเต็มวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 333 กม. ทำความเร็วสูงสุดที่ 120 กม./ชม. โดยในรุ่น Standard Range 333DC รองรับการชาร์จกระแสตรง DC ซึ่งใช้ระยะเวลาการชาร์จจากแบทเตอรีจาก 30 % ถึง 80 % เพียง 30 นาที อีกทั้งยังรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC ที่ 7 กิโลวัตต์/ชม. ที่จะชาร์จไฟเต็มในเวลา 4.5 ชม.



ราคาจำหน่ายช่วงแนะนำ 1,000 คันแรก ลด 40,000 บาท

Standard Range 333AC ราคา 419,000 บาท จาก 459,000 บาท

Standard Range 333DC ราคา 449,000 บาท จาก 489,000 บาท

- รับประกันแบทเตอรี 8 ปี หรือ 120,000 กม.
- รับประกันตัวรถ 3 ปี หรือ 100,000 กม.
- รับประกัน Electrical Core Components ตลอดอายุการใช้งาน


แต่ถ้าต้องการออพชันเต็ม ที่เรียกว่า The Icon Option จ่ายเพิ่ม 30,000 บาท

- จอ LCD รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
- กล้องบันทึกข้อมูลการขับด้านหน้า 1080p FHD Built-in Wi-Fi
- ประกัน Passive Lifetime Warranty มอเตอร์/แบทเตอรี/คอนทโรลเลอร์
- Wallbox Home Charger 7 กิโลวัตต์ พร้อมติดตั้ง

#รถไฟฟ้า #รถบ้าน #รถยนต์ไฟฟ้า

Neta X ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีใหม่...จุดเปลี่ยนที่หลายคนจับตามอง
Neta X ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100 % คู่แข่งใหม่ของ BYD Atto 3, GAC Aion Y Plus รวมถึง Honda e:H1 หรือ HR-V และ Toyota Yaris Cross ด้วยแบทเตอรี 62 กิโลวัตต์ชั่วโมง กับระยะทางที่ไปไกลถึง 480 กม.

Neta X มีขนาดตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 4,619/1,860/1,628 มม. ฐานล้อ 2,770 มม.

ยาว และสูงกว่า BYD Atto 3 (4,455/1,875/1,615 มม. ฐานล้อ 2,720 มม.) ยาวกว่า GAC Aion Y Plus (4,535/1,870/1,650 มม. ฐานล้อ 2,750 มม.)

ใหญ่กว่า Honda e:N1 (4,385/1,790/1,590 มม. ฐานล้อ 2,607 มม.) และ Omoda C5 EV (4,400/1,830/1,588 มม. ฐานล้อ 2,630 มม.)

มอเตอร์เดี่ยวพละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า (120 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 21.4 กก.-ม. (210 นิวตันเมตร) ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาน้อย 9.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. ระยะทางขับขี่สูงสุด/การชาร์จ 1 ครั้ง มาตรฐาน (NEDC) 480 กม.

แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน LFP 62 กิโลวัตต์ชั่วโมง แรงดันไฟฟ้า 400 โวลท์ รองรับการชาร์จ AC Type 2 ได้ 6.6 กิโลวัตต์ และรองรับการชาร์จ DC CCS 2 ชาร์จเร็ว (30-80 %) ใช้เวลา 30 นาที

ระบบคันเร่งเดียว One-Pedal ปรับระดับได้ โหมดการขับขี่ Standard/Sport

#รถไฟฟ้า

EX40/EC40 ชื่อใหม่ของ XC40/C40 รุ่น Recharge Pure Electric หรือไฟฟ้าล้วนของ Volvo
XC40 Recharge Pure Electric (เอกซ์ซี 40 รีชาร์จ เพียวร์ อีเลคทริค) และ C40 Recharge Pure Electric (ซี 40 รีชาร์จ เพียวร์ อีเลคทริค) หรือระบบไฟฟ้าล้วนของ Volvo (โวลโว) เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น EX40 (อีเอกซ์ 40) และ EC40 (อีซี 40) ทำให้ในตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (ฺBEV) ที่จำหน่ายในประเทศไทย ใช้รหัสขึ้นต้นด้วยตัวอักษร E ทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ EX30, EX40 และ EC40 (ซึ่ง Volvo ในต่างประเทศยังมี EX90 เอสยูวีไฟฟ้า 100 % และ EM90 เอมพีวีไฟฟ้า 100 %)

ไม่เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น แต่ Volvo กำลังจะเปิดตัวชุดซอฟท์แวร์เพิ่มประสิทธิภาพ หรือ Performance Software ที่ช่วยเพิ่มกำลังขับได้ถึง 34 แรงม้า (25kW) เพื่อการเร่งความเร็วที่ดีขึ้น สำหรับรุ่น EX40 และ EC40 Twin Motor สำหรับ Plus การตอบสนองของคันเร่งที่เร็วขึ้น และโหมดการขับขี่พิเศษ Performance ที่จะช่วยปลดลอคพละกำลังขึ้นไปจนถึง 441.9 แรงม้า (325kW)

Performance Software

และรู้หรือไม่ว่า ตอนนี้ XC40 Recharge Pure Electric และ C40 Recharge Pure Electric สามารถอัพเกรดเป็นชุด Performance Software นี้ได้โดยตรง ในประเทศที่พร้อมบริการ เรานำเสนอซอฟท์แวร์ Performance เป็นชุดอัพเกรดเสริมผ่านทาง Volvo Cars app โดยเพียงแค่ใช้ Volvo Cars app ในการสั่งการอัพเกรดสำหรับ EX40 หรือ EC40 ใหม่ของคุณ หรือสำหรับ C40 รุ่นก่อนหน้าปี 2024 และรถยนต์ไฟฟ้า XC40 Recharge ระบบไฟฟ้าล้วน

และหากชอบ XC60 รุ่น Black Edition ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว ก็จับตาดูให้ดี เพราะรุ่น EX40, EC40 และ XC40 จะได้รับการปรับปรุงแบบเดียวกัน โดยรุ่น Black Edition จะมาในสี Onyx Black พร้อมป้ายสีดำมันวาว ล้ออัลลอยแบบ 5 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว สีดำมันวาว และการตกแต่งภายในห้องโดยสารที่สามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ ไมโครเทค หรือผ้าสี Charcoal

#รถไฟฟ้า #รถยนต์ไฟฟ้า

ตลาดรถไฟฟ้าเมืองไทยกำลังร้อนละอุ !

ล่าสุด Neta ประเทศไทย ประกาศลดราคา Neta V-II รุ่น Minorchange ที่ประกอบจากโรงงานในไทยลงสูงสุด 50,000 บาท หวังได้ส่วนแบ่งตลาดรถ EV ราคาคุ้มค่าคืนจากน้องโลมา ทำให้ราคาล่าสุดของ Neta V-II 2024 รุ่นเริ่มต้น (Lite) มีราคาเพียง 499,000 บาท โดยเริ่มปรับลดราคาแล้วตั้งแต่วันนี้-31 กรกฎาคม 2567
Neta V-II เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % สไตล์ City Car มาพร้อมแนวคิด “Smart & Play สมาร์ทให้สุด สนุกให้เหนือใคร” ด้วยดีไซจ์นลงตัวกว่าเดิม และฟังค์ชันที่ครบครันยิ่งขึ้น พร้อมระบบความปลอดภัย และระบบช่วยในการขับขี่ ให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความสนุก และมั่นใจยิ่งขึ้น โดย Neta V-II มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น Lite และรุ่น Smart

ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของรถยนต์ไฟฟ้า Neta V-II Minorchange 2024 มีดังนี้

- Neta V-II รุ่น Lite จากเดิม 549,000 บาท เป็น 499,000 บาท ลดลง 50,000 บาท
- Neta V-II รุ่น Smart จากเดิม 569,000 บาท เป็น 549,000 บาท ลดลง 20,000 บาท

โดยมาพร้อมการรับประกันคุณภาพตัวรถ 5 ปี หรือ 100,000 กม. รับประกันคุณภาพมอเตอร์ไฟฟ้า 8 ปี หรือ 180,000 กม. และรับประกันแบทเตอรี 8 ปี หรือ 180,000 กม.

#รถไฟฟ้า #รถยนต์ไฟฟ้า #สงครามราคา

Nissan GT-R R35 ยุติการผลิตในสหรัฐอเมริกา พร้อมส่งท้าย 2 รุ่นพิเศษ
สำหรับ GT-R R35 รุ่น Takumi Edition (ทาคูมิ เอดิชัน) จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นการยกย่อง Takumi (ช่างฝีมือระดับปรมาจารย์) ที่ผลิต และประกอบเครื่องยนต์ GT-R ด้วยมือ การตกแต่งภายในสีเขียวมาพร้อมเบรค Carbon Ceramic พร้อมล้อลาย Forged Nismo Rays ขนาด 20 นิ้ว สีทอง และระบบควบคุมไดนามิคของรถที่ปรับแต่งโดย Nismo

ส่วน GT-R R35 รุ่น Skyline Edition (สกายไลน์ เอดิชัน) จะเป็นรุ่นที่มีราคาถูกกว่าเล็กน้อย ยกพื้นฐานมาจากรุ่น GT-R Premium เน้นปรับภายนอกมาพร้อมสีแบบพิเศษ Bayside Blue พร้อมการตกแต่งภายในด้วย Sora Blue หลังจากที่เคยใช้สีนี้กับรุ่น R34 Skyline GT-R ในตำนานได้ยุติการผลิตไป แต่ได้รับการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เป็นสีพิเศษสำหรับรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี ในปี 2019 ที่ผ่านมา

อ่านรายละเอียดใน Comment

MG Maxus 7 และ Maxus 9 สองพี่น้อง e-MPV จากค่าย MG แตกต่างกันยังไง มาดูกัน

📌มิติตัวถังระหว่าง Maxus 7 และ Maxus 9

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ มิติตัวถัง ทาง MG Maxus 7 มีความยาว 4,907 มม. กว้าง 1,885 มม. สูง 1,768 มม. และระยะฐานล้อ 2,975 มม. เทียบกับทาง MG Maxus 9 อยู่ที่ ความยาว 5,270 มม. กว้าง 2,000 มม. สูง 1,840 มม. และระยะฐานล้อ 3,200 มม. แม้ดูภายนอกเหมือนเอมพีวีทั้ง 2 รุ่นน่าจะมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่เมื่อเห็นด้วยสายตา + ตัวเลขมิติตัวถัง จะมีความแตกต่างกันพอสมควร ส่วนหนึ่งอาจมาจากการออกแบบที่มีเส้นสายในแนวทางเดียวกัน คือ เอมพีวีทันสมัย เน้นสันเหลี่ยม นอกจากนี้ Maxus 7 ใช้ล้อแมกขนาด 18 นิ้ว ส่วน Maxus 9 คือ 19 นิ้ว

มอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรีเท่ากัน

ทั้ง MG Maxus 7 และ Maxus 9 ต่างก็ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. แบทเตอรีความจุ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง เท่ากันพอดี แต่ด้วยขนาดตัวถังที่ต่างกันทำให้มีระยะทำการสูงสุดเมื่อชาร์จเต็ม โดยทาง Maxus 7 คือ 570 กม. และ Maxus 9 คือ 540 กม. (มาตรฐาน NEDC) ถือว่าแตกต่างกันไม่มากนัก ส่วนการชาร์จไฟฟ้า MG Maxus 7 รองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุดที่ 120 กิโลวัตต์ ส่วนการชาร์จแบบ AC สูงสุดที่ 11 กิโลวัตต์ แต่ออพชันที่ Maxus 7 มีความได้เปรียบ คือ การรองรับการจ่ายไฟสู่ภายนอก (ระบบ V2L) ที่ 6.6 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยกันได้ด้วยหากจำเป็น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.autoinfo.co.th/online/470689

#รถตู้หรู #รถตู้ไฟฟ้า

Mini Cooper 2025 (LCI)

ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Mini Cooper 2025 (มีนี คูเพอร์) ได้รับการปรับปรุงใหม่ แต่ยังคงโคมไฟทรงกลมสุดคลาสสิค ไฟท้ายทรงสี่เหลี่ยมคางหมู และปรับแดชบอร์ดใหม่ จากเดิมที่โมเดลนี้มีแต่รุ่น 3 ประตู แต่ในรุ่นปี 2568 จะมีรุ่น 5 ประตู ในรุ่น Cooper S (คูเพอร์ เอส) ให้เลือกเพิ่ม

ความยาวตัวรถที่วัดได้ 158.9 นิ้ว (ประมาณ 4.03 ม.) จากจมูกถึงท้าย รุ่น 5 ประตู มีความยาวตัวรถเพิ่มจากรุ่น 3 ประตู ประมาณ 6 นิ้ว (ประมาณ 15.24 ซม.) จนใกล้เคียงกับรุ่น 5 ประตู เจเนอเรชันก่อนหน้า ระยะฐานล้อหน้า-หลัง เพิ่มขึ้น 2.8 นิ้ว (ประมาณ 7.11 ซม.) ส่งผลให้มีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารได้พอดี แม้จะมีเพิ่มประตูอีกสองบาน แต่รุ่น 5 ประตู ยังคงแนวทาง และรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ในห้องโดยสารแทบไม่ต่างจากเดิม มีการปรับเปลี่ยนวัสดุหุ้มแผงแดชบอร์ด และจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ทรงกลมขนาดใหญ่ตรงกลาง ห้องโดยสารมีสไตล์เรียบง่าย ไม่มีกลุ่มเกจ์วัดให้เห็นแล้ว โดยถูกแทนที่ด้วยระบบ Head-up Display และระบบอินโฟเทนเมนท์ควบคุมด้วยเสียง สำหรับพนักพิงของเบาะนั่งแถวสอง สามารถพับลงเพื่อเพิ่มเนื้อที่เก็บสัมภาระได้อีก

Mini Cooper ที่วางจำหน่ายทั่วโลกใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ 3 สูบ ให้กำลัง 154 แรงม้า แต่เมื่อข้ามมาฝั่งอเมริกาเหนือ รุ่น 5 ประตู จะใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ เทอร์โบ ความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 201 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 22.5 กก.-ม. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ และจะมีการเพิ่มรุ่น Cooper C (คูเพอร์ ซี) ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร โดยจะแจ้งข้อมูลกำลัง และแรงบิดให้ทราบที่หลัง

การผลิต Mini Cooper รุ่น 5 ประตู จะเริ่มในเดือนกรกฎาคม 2567 โดยตัวแทนจำหน่ายจะได้รถในเดือนกันยายน 2567 สำหรับ Cooper S รุ่น 5 ประตู พร้อมจำหน่ายในสหรัฐฯ เดือนมกราคม 2568 ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 34,195 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.25 ล้านบาท) ส่วนรุ่น Cooper C จะแจ้งราคาให้ทราบภายหลัง

Zeekr พร้อมทำตลาดรถยนต์ Premium EV ในไทย

Zeekr อยู่ภายใต้การดูแลของ Geely Holding Group เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของประเทศจีน มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก ความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงความแข็งแรงจากนวัตกรรมการผลิตขั้นสูง เทคโนโลยี Giga-Press สามารถช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเป็นหลัก

Ruiping Wang รองประธาน Geely Holding Group กล่าวว่าหนึ่งในเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ Zeekr คือ การเพิ่มกำลังการผลิตของชิ้นส่วนให้มีคุณภาพดีที่สุด และลดต้นทุนการพัฒนาในรถยนต์ทุกรุ่นรวมถึง Volvo (โวลโว) และ Polestar (โพลสตาร์) เลือกใช้เทคโนโลยี Giga Press ถือเป็นหนึ่งในวิธีการผลิตที่แม่นยำสูง ลดความยุ่งยากในการผลิต

กระบวนการ Giga Press มีความน่าสนใจอย่างมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนสามารถหล่อขึ้นรูปได้อย่างรวดเร็ว โดยอลูมิเนียมร้อนจะถูกฉีดเข้าไปในแม่พิมพ์ เกิดเป็นรูปทรงที่ประกอบเป็นส่วนของตัวรถ เชื่อมต่อกับชุดแบทเตอรีขนาดใหญ่ใต้พื้นเพื่อสร้างพแลทฟอร์มไฟฟ้า Sustainable Experience Architecture (SEA) ที่สามารถยืดหยุ่นได้ในหลากหลายรุ่น

อ่านรายละเอียด https://www.autoinfo.co.th/online/470716

#รถไฟฟ้า

Motor Expo 2024 เปิดจองพื้นที่เรียบร้อยแล้ว
ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” เปิดเผยว่า “จากความสำเร็จของงานปีก่อน ที่มียอดจำหน่ายรถยนต์ 53,248 คัน จักรยานยนต์ 7,373 คัน สร้างเม็ดเงินสะพัดรวมกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท

ส่งผลให้การเปิดจองพื้นที่ Motor Expo 2024 ภายในอาคารชาลเลนเจอร์ 1-3 รวม 60,000 ตารางเมตร ได้รับความสนใจจากค่ายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่อง อย่างล้นหลาม แม้ยอดจำหน่ายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปีนี้จะลดลง 24.6 %

ยิ่งกว่านั้น จำนวนแบรนด์รถยนต์ที่สนใจร่วมจองพื้นที่งาน Motor Expo 2024 ยังมีมากขึ้น ส่งผลให้เราต้องขยายพื้นที่แสดงรถยนต์ให้มีขนาดใหญ่กว่าปีที่แล้ว พร้อมจัดสรรพื้นที่สำหรับรถจักรยานยนต์ มอเตอร์สปอร์ท เครื่องเสียง อุปกรณ์เกี่ยวเนื่อง ให้ลงตัวกว่าเดิม รวมทั้งยังมีพื้นที่แสดงเรือ และอากาศยานด้วย”
“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม…ยานยนต์ล้ำอนาคต-Innovative Spirit…Futuristic Vehicles” โดยมีผู้อุปถัมภ์อย่างเป็นทางการ ได้แก่ บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด

พบกับ งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2567 ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ motorexpo.co.th และทุกสื่อในเครือ “IMC สื่อสากล”

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

๓ มิถุนายน ๒๕๖๗

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม

ข้าพระพุทธเจ้า บริษัท สื่อสากล จำกัด

Honda Civic 2025 Minorchange เปิดตัวแล้วในสหรัฐอเมริกา คาดเจอกันในไทยปลายปีนี้ !
Honda Civic 2025 (Gen11) ได้รับการปรับโฉมใหม่ เปิดตัวที่สหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ด้วยขุมพลังไฮบริดที่ทรงพลังยิ่งขึ้น พร้อมปรับโฉมด้านหน้าให้ดูดุดัน โดยมีให้เลือกทั้งรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู

ดีไซจ์นภายนอกของ Honda Civic Minorchange มีการออกแบบกระจังหน้าหกเหลี่ยมลายรังผึ้ง และกันชนหน้าใหม่ เป็นลายตะแกรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อน ไฟท้ายเพิ่มลายเส้นสายที่ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยมากยิ่งขึ้น รุ่นไฮบริดจะมีการตกแต่งไฟหน้าสีเดียวกับตัวรถ

ภายในห้องโดยสารยังเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงไม่มาก แต่เพิ่มเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่

แบ่งออกเป็น 4 รุ่นย่อย ได้แก่ LX (ในรุ่น 4 ประตู) และ Sport ใช้ขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร และรุ่น Sport Hybrid และ Sport Touring Hybrid จะใช้เครื่องยนต์ไฮบริดแทนเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตรเดิม

รุ่นเริ่มต้นใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร ที่ให้พละกำลัง 158 แรงม้า แรงบิด 187 นิวตันเมตร เครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 2.0 ลิตร ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว AC Synchronous Permanent Magnet Electric Motor ให้กำลังสูงสุดรวม 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร (มากกว่ารุ่นเดิมที่ให้กำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร)

ใน Civic Hybrid จะมาพร้อมระบบ Active Noise Control ที่ช่วยลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร มีโหมดการขับขี่ Eco, Normal และ Sport ที่สามารถปรับระดับความไวของพวงมาลัย การตอบสนองต่อคันเร่ง และการเปลี่ยนเกียร์

Honda Civic ในตลาดสหรัฐอเมริกาจะมีสีภายนอกให้เลือก 4 สี ได้แก่ Solar Silver Metallic, Urban Grey Pearl, Blue Lagoon Pearl (เฉพาะรถซีดาน) และ Sand Dune Pearl (เฉพาะแฮทช์แบค) และคาดการณ์ว่า Honda Civic FE Minorchange เวอร์ชันไทย จะเปิดตัวปลายปีนี้

#ซีวิค #ฮอนด้า

ภาพหลุด Deepal S05 ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในจีน


Deepal S05 ใกล้เปิดตัวในจีน ล่าสุดมีการเผยภาพหลุดไม่พรางตัว ที่มาจากกระทรวงอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) ของทางการจีน รูปร่างภายนอกมีความคล้ายคลึงกับรุ่นพี่อย่าง Deepal S07 แต่มีความโค้งมนลงตัวมากขึ้น

ไฟหน้า LED รูปทรงเรียวทั้ง 2 ฝั่ง ชุดกันชนหน้าทรงสปอร์ททูโทน ติดตั้งไฟ LED Daytime รูปทรงธนู มือเปิดประตูแบบซ่อนเรียบเนียนกับตัวรถ ไฟท้าย LED ดีไซจ์นเพรียวแนวยาว Star Flame พร้อมสปอยเลอร์ คาดว่าจะมีมิติตัวรถความยาว 4,620 มม. ความกว้าง 1,900 มม. ความสูง 1,600 มม. ฐานล้อ 2,880 มม. น้ำหนักรถ 1,720-1,855 กก. ในรุ่น EV และ 1,865-1,880 กก. ในรุ่น EREV

และเมื่อเทียบกับรุ่นพี่ Deepal S07 มีความยาว 4,750 มม. ความกว้าง 1,930 มม. ความสูง 1,625 มม. ระยะฐานล้อ 2,900 มม. มีความยาวกว่าคู่แข่งอย่าง BYD Atto 3 ที่มีความยาว 4,455 มม. ความกว้าง 1,875 มม. ความสูง 1,615 มม. ระยะฐานล้อ 2,720 มม.

Deepal S05 นี้มี 2 ขุมพลังให้เลือก เริ่มที่เวอร์ชันไฟฟ้าล้วน มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ที่มี 2 แบบ คือ รุ่น XTDM40 ให้กำลังมากถึง 238 แรงม้า และ XTDM33 ให้กำลัง 252 แรงม้า มาพร้อมแบทเตอรีลิเธียมไอรอนฟอสเฟท และขุมพลัง EREV ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 98 แรงม้า ซึ่งเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าไปเก็บในแบทเตอรี เพื่อเพิ่มระยะทางในการเดินทางให้ไกลขึ้น หลังจาก Deepal S05 เปิดตัวในจีนไปแล้ว อีกไม่นาน Deepal S05 คงต้องตามมาบุกตลาดไทยอย่างแน่นอน

อ่านรายละเอียด https://www.autoinfo.co.th/online/470401

3 เทคนิค ขับรถ “กลางคืน” ให้ปลอดภัย

หลายคนชอบขับรถเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน เพราะอากาศไม่ร้อน และรถน้อย แต่รู้หรือไม่ การขับรถในเวลากลางคืนมีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ากลางวันถึง 3 เท่า “MR. MOTOR EXPO” มีเทคนิคดีๆ มาฝาก

1. หรี่ไฟหน้าปัด ไม่ให้แยงตา
ไฟหน้าปัดรถยนต์ ควรปรับให้มีความสว่างที่พอดี ไม่สว่างเกินไป โดยเฉพาะในที่มืดสนิท เช่น บนถนนในต่างจังหวัด การหรี่ไฟหน้าปัดจะช่วยลดแสงสะท้อนบนกระจก ทำให้เรามองเห็นในความมืดได้ชัดเจนขึ้น



2. ขับให้ช้าลง เว้นระยะให้มากขึ้น
จากทฤษฎีการมองเห็นระบุว่า ปฏิกิริยาการตอบสนองของผู้ขับรถ 90 % มาจากการมองเห็น ดังนั้น การขับรถเวลากลางคืน ควรขับให้ช้าลงกว่าตอนกลางวัน และต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากขึ้น เพราะในความมืด การรับรู้ระยะใกล้ ไกล การจำแนกสี และการมองเห็น จะช้าลงอย่างชัดเจน



3. ปรับลำแสงไม่ให้เกินป้ายทะเบียน
แม้รถของเราจะถูกปรับตั้งระดับไฟหน้ามาแล้วจากโรงงาน แต่บางครั้งระดับไฟหน้าอาจสูงเกินไป ควรปรับตั้งระดับไฟต่ำ ให้ลำแสงมีความสูงไม่เกินป้ายทะเบียนของรถซีดานทั่วไป ไม่ให้ไฟไปแยงตาเพื่อนร่วมทางเมื่อขับตามหลัง และหากจำเป็นต้องใช้ไฟสูง ต้องปรับเป็นไฟต่ำทุกครั้งเมื่อเห็นรถยนต์แล่นสวนมา

#เทคนิคการขับรถ #ขับรถกลางคืน

BYD Shark กระบะ Hybrid คันแรกของค่าย เปิดตัวแล้วที่เมกซิโก
ใหญ่ที่สุดในคลาส!
ออกแบบโดย Wolfgang Egger นักออกแบบรถยนต์ชาวเยอรมัน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นหัวหน้านักออกแบบให้กับแบรนด์รถยนต์หรูของยุโรปอย่าง Alfa Romeo, Audi และ Lamborghini ปัจจุบันเป็นหัวหน้านักออกแบบของ BYD

BYD Shark มาพร้อมดีไซจ์นภายนอกสุดแกร่ง ให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนรถกระบะจ้าวตลาดอย่าง Ford F Series ดีไซจ์นกระจังหน้าขนาดใหญ่ทรงเหลี่ยม ติดตรา BYD ล้อมกรอบด้วยไฟหน้าแนวตั้ง Dual LED ไฟหน้า DRL รูปตัว C ให้ความรู้สึกบึกบึน ดีไซจ์นลงตัวกับชุดกันชนหน้า เพิ่มความสปอร์ท และความหรูหราด้วยราวหลังคา และซันรูฟขนาดใหญ่ ด้านข้างเด่นด้วยคิ้วขอบล้อทรงเหลี่ยมกับล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/65R18

BYD Shark สร้างจากพแลทฟอร์ม DMO Super Hybrid Off-Road Platform ซึ่งเป็นแชสซีขั้นบันได หรือ Ladder-Frame Architecture เช่นเดียวกับ Bao 5 ซึ่งเป็นรถสปอร์ทอเนกประสงค์สุดหรู ภายใต้แบรนด์ Leopard หรือ Fangchengbao หนึ่งในแบรนด์ย่อยของ BYD ตัวรถมีความยาว 5,457 มม. ความกว้าง 1,971 มม. ความสูง 1,925 มม. ระยะฐานล้อ 3,260 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ 210 มม. น้ำหนักรถ 2,665 กก.

ขนาดตัวมีความใหญ่กว่าคู่แข่งในทุกมิติ หากเทียบกับ Hilux Revo Double Cab ยาวxกว้างxสูง 5,275x1,855x1,700 มม. ความยาวฐานล้อ 3,085 มม. New Ford Ranger Double Cab
ยาวxกว้างxสูง 5,370x1,918x1,884 มม. ความยาวฐานล้อ 3,270 มม.

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. ชาร์จ และเติมน้ำมันครั้งหนึ่ง วิ่งได้ไกลกว่า 840 กม. และชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งไกล 100 กม. ตามมาตรฐาน NEDC

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน Comment

#รถกระบะ #รถกระบะไฟฟ้า

Toyota Majesty กลับมาแล้ว

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถตู้ระดับพรีเมียม Toyota Majesty รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2024 มาพร้อมกับพื้นที่ห้องโดยสารที่เน้นการใช้งาน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ตอกย้ำภาพลักษณ์ “The Elegance of All Episodes”

Toyota Majesty ได้รับการออกแบบให้มีความโดดเด่นด้วยดีไซจ์น ความทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งภาพลักษณ์ความหรูหรา มีให้เลือก 2 เกรด คือ Premium กับ Grande

มีให้เลือก 2 สี คือ ขาวมุก และดำ

ขาวมุก (White Pearl) ภายในสีดำ (Black)
ดำ (Black Mica) ภายในมีทั้งสีดำ (Black) และสีเบจ (Beige)

ราคาจำหน่าย
Grande 2,329,000 บาท
Premium 1,989,000 บาท

สี White Pearl จ่ายเพิ่มอีก 15,000 บาท

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน Comment

#รถตู้ #รถตู้หรู

แบทเตอรี โซเดียม-ไอออน คือ เป็นความหวังของหมู่บ้าน

ข่าวจากประเทศอังกฤษ ระบุว่า เทคโนโลยีอุตสาหกรรมรถไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน เป็นตัวเลือกหลัก แม้มีแต่ข้อด้อยทั้งความยั่งยืน, ความมั่นคงของระดับพลังงาน และต้นทุน จนอาจถูกแทนที่โดยแหล่งเก็บพลังงานประเภทอื่น แบทเตอรีโซเดียม-ไอออน (SIBs: Sodium-Ion Battery หรือในรูปแบบของสัญลักษณ์ คือ Na ที่เรียกกันว่า NIBs) เป็นอีกแหล่งเก็บพลังงาน ซึ่งยังไม่ได้ถูกนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

เมื่อต้นเดือนมกราคมปีนี้ JAC ผู้ผลิตรถจากประเทศจีนได้ส่งออกรถไฟฟ้าขนาดเล็กแบรนด์ Yiwei พลังแบทเตอรีโซเดียม-ไอออน ที่ผลิตโดยบริษัท Hina Battery ทั้งยังมีบริษัทผู้ผลิตอีกราย คือ JMEV ได้เปิดตัวรถไฟฟ้าใหม่ JMEV EV3 (Youth Edition) ซึ่งใช้แบทเตอรีโซเดียม จากบริษัท Farasis Energy โดยเป็นรถไฟฟ้าขนาดเล็ก (Micro) ประเภทซิทีคาร์ ที่มีระยะเดินทางต่อชาร์จได้ 156 ไมล์ (ประมาณ 251 กม.)

แบทเตอรีโซเดียม-ไอออน มีข้อเสียด้านความหนาแน่นของพลังงานต่ำ (วัตต์ชั่วโมง/กก.) หากต้องการความจุพลังงานเท่ากัน SIB จะมีน้ำหนักมากกว่าแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ซึ่งจะทำให้ระยะเดินทางน้อยกว่า แต่ในแง่ดี คือ ความยั่งยืน

แบทเตอรีโซเดียม-ไอออน ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นลิเธียม หรือโคบอลท์ นอกจากนั้น ยังมีแหล่งโซเดียมมากมายทั่วโลก ทั้งสามารถใช้อลูมิเนียมเป็นอีเลคโทรไลท์ ซึ่งหาง่ายกว่า มีความยั่งยืน และราคาถูกกว่าทองแดง

อ่านรายละเอียดต่อใน Comment 👇

#แบตเตอรี่ #รถไฟฟ้า #รถยนต์ไฟฟ้า #แบตลิเธียม

NHTSA กำหนดให้รถใหม่
ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2572
ต้องมีระบบเบรคอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

Maserati Tridente เรือสุดหรูพลังไฟฟ้า

ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า การพักผ่อนช่วงฤดูร้อนของคุณจะสมบูรณ์แบบ ด้วยการขับ Maserati มาล่องเรือชมชายฝั่งด้วย Maserati Tridente เพาเวอร์โบทพลังไฟฟ้าต้นแบบ และเมื่อถึงเวลาผลิตจริงอาจจะไม่พอขาย เพราะขณะนี้เรือไฟฟ้ามีกระแสตอบรับดีมาก

Tridente เป็นการร่วมพัฒนากับบริษัท Vita Power ผู้ผลิตเรือไฟฟ้า โดยพัฒนาจากเรือเพาเวอร์โบท Vita Lion ที่นำมาอัพเกรดให้อยู่ในระดับของ Maserati เพิ่มความหรูหรา โดยติดตั้งจอสัมผัสขนาดใหญ่ที่ส่วนควบคุมเรือ, สามารถรับผู้โดยสารได้ 8 ที่นั่ง, มีที่อาบแดด และมีพแลทฟอร์มสำหรับลงน้ำ Tridente ติดตั้งแบทเตอรี 4 แพค บริเวณกราบข้างเรือทั้งฝั่งละ 2 ชุด

Tridente เป็นเรือขนาด 34 ฟุต (ประมาณ 10.36 ม.) มีรูปทรงปราดเปรียว ภายนอกพ่นสีทองกุหลาบผิวด้าน, ภายในส่วนโดยสารใช้วัสดุสีครีม ตัวลำเรือผลิตขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์, ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ให้กำลังรวม 600 แรงม้า

Maserati Tridente ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 40 นอท (ประมาณ 74.08 กม./ชม.) หากใช้ความเร็วเดินทางเฉลี่ย 25 นอท (46.3 กม./ชม.) จะมีระยะเดินทาง 43 ไมล์ (ประมาณ 70 กม.) ต่อการชาร์จ ทั้งสามารถชาร์จด้วยกระแสไฟตรงจนเต็มภายในเวลาน้อยกว่า 1 ชม.

Maserati Tridente เหมาะแก่การใช้งานรายวัน หรือจะใช้เดินทางก็ได้ โดย Maserati ยืนยันว่าสามารถเดินทางข้ามทะเลสาบโคโม (Lake Como) ได้ ทั้งล่องเรือชมความงามของชายฝั่ง โดยไม่ทำให้เกิดมลพิษ และสามารถติดตั้งหลังคาที่ดาดฟ้าเรือได้ ใต้หัวเรือมีห้องเคบินพร้อมที่นอนขนาดเล็ก พร้อมห้องสุขา และอ่างล้างมือ

Tridente พร้อมรับการสั่งจองแล้ว ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 2,660,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 97.86 ล้านบาท) และต้องใช้เวลารออีกประมาณ 10 เดือน