มือเย็น สตูดิโอของคนรักต้นไม้

๐ ขอบคุณชีวภัณฑ์จาก Appliedchem (Thailand) Co.,Ltd. ที่สนับสนุนการเดินทางของมือเย็นครับ สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.facebook.com/bioareus หรือค้นหาคำว่า Appliedchem-Thailand และสั่งซื้อได้จาก Line เพียงเพิ่มเพื่อนแอดไลน์ไอดี : ครับผม

๐ คติความเชื่อแต่โบราณนานมาเรียกขานคนที่ปลูกอะไรก็งาม ปลูกอะไรก็ขึ้นว่าเป็นคน “มือเย็น” ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า “Green Thumb” หรือพวก��ัวแม่โป้งเขียว ก็คือคนมือเย็นน้่นเอง

๐ Muuyehn Studio หรือ มือเย็น สตูดิโอ เป็นช่องที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจให้คนทั้งมือเย็น มือไม่เย็น มืออุ่น มือร้อน มือไหนๆ ก็ปลูกต้นไม้ได้งอกงามดี ขอแค่ทำความรู้จักและรักที่จะปลูก
ถึงปลูกแล้วตาย ปลูกแล้วโตช้าก็อย่าได้แคร์ ขอให้ปลูกกันต่อไปนะครับผม

เข็มกุดั่นด่าง ทรงสวย เลี้ยงง่าย ทนแล้ง ไม่เหมาะกับบ้านที่มีเด็กเล็ก

๐ เข็มกุดั่นด่าง

๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Yucca elephantipes 'Silver Star’
ชื่อสกุล ‘Yucca' มาจากชื่อ Carbi หรือ yuca สําหรับเรียกมันสําปะหลัง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ที่เรียกเช่นนี้เพราะต้นไม้ในสกุลนี้มีโครงสร้างรากที่ขยายใหญ่ขึ้นในทํานองเดียวกัน
บ้างก็ว่า ชื่อสกุล ‘Yucca' มาจากภาษา Taino ของชาวพื้นเมืองอเมริกา หมายถึง 'พืชที่มีหนาม'
ชื่อชนิด 'elephantipes' มาจากคำภาษากรีก 'elephas' หมายถึง 'ช้าง' และ 'pes' หมายถึง 'เท้า' แสดงสัณฐานของลำต้นมีลักษณะคล้ายขาช้าง
ชื่อชนิดย่อย 'Silver Star' หรือดาวสีเงิน มาจากสัณฐาน ใบมีสีเขียวอมเทา มีแถบสีขาวคล้ายดาว
๐ ชื่อสามัญ (Common Name): Spanish bayonet, dagger plant, Spanish dagger, or aloe yucca
๐ ชนิด (Type): ใบกว้างเขียวชอุ่มตลอดปี หรือไม้ไม่ผลัดใบ (Broadleaf evergreen) มีอายุหลายปี
๐ วงศ์ (Family): Asparagaceae
๐ ถิ่นกำเนิด (Native Range) : .อเมริกากลาง ตั้งแต่ เม็กซิโก ถึง กัวเตมาลา
๐ ความสูงของทรงพุ่ม (Height) : 8.0 - 12.0 เมตร
๐ ความกว้างของทรงพุ่ม: 1.0 - 3.0 เซนติเมตร
๐ ระยะเวลาดอกบาน (Bloom Time):
๐ ความต้องการแสง (Sun): แดดเต็มวัน ถึง ร่มบางส่วนของวัน
๐ ความต้องการน้ำ (Water): ปานกลางถึงน้อย
๐ การดูแลรักษา (Maintenance): ต่ำ อาศัยเพียงการตัดแต่งใบที่ไม่สวยงามออกบ้าง
๐ การใช้งานที่แนะนำ (Suggested Use): ใช้เป็นไม้พุ่มสูงในการประดับตกแต่งสวนกลางแจ้ง สำหรับการปลูกเป็นไม้กระถางก็สามารถทำได้ดีเพราะเป็นพืชที่เติบโตช้า
๐ ใบไม้ (Leaf): ใบยาวขอบขนานปลายใบแหลม เนื้อใบสีเขียวเข้ม มีแถบกลางใบสีเขียวอมเทาหรือขาว ผิวใบมัน

๐ การเพาะปลูก (Culture)
ต้นพ่อแม่พันธุ์มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ร้อนและแห้งของอเมริกากลางและแคริบเบียน เป็นต้นไม้ที่สามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่มีความหลากหลายมาก ทั้งในดินเลวที่มีคุณสมบัติของอินทรีย์วัตถุน้อยมาก ๆ มีการระบายน้ำแย่ ดินที่ต้องการคือดินปลูกที่มีคุณสมบัติหรือมีส่วนผสมของอินทรีย์วัตถุสูง ดินร่วนระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้เป็นอย่างดี เป็นต้นไม้ที่มีการเก็บสะสมอาหารอยู่ในลำต้นที่มีเปลือกแข็งสีน้ำตาลอยู่เป็นจำนวนมากจึงทำให้นิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำซึ่งจะมีอัตราการงอกรากสูงโดยอาศัยอาหารที่มีการเก็บสะสมอยู่ในลำต้นเหล่านี้
๐ ปัญหา (Problems)
ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรงมากนัก ขอเพียงให้ระมัดระวังการเข้าทำลายใบจากเพลี้ยแป้งเข้าดูดกินน้ำเลี้ยงเป็นพืชที่สามารถทนการขาดน้ำเป็นระยะเวลาหลายวันติดต่อกันได้ อาจแสดงอาการใบสีน้ำตาลแห้งได้จากทั้งกรณีที่รับความชื้นมากเกินไป หรือขาดน้ำติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

เสลา ไม้ยืนต้นทรงลู่ ดอกงาม เต็มต้น เลี้ยง่าย ทนแล้งสุด ๆ

๐ เสลาใบใหญ่ อินทรชิต ตะแบกขน เกรียบตะเกรียบ

๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Lagerstroemia loudonii เสลาใบใหญ่ และ Lagerstroemia tomentosa เสลาใบเล็ก
ชื่อสกุล 'Lagerstroemia' ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่นักพฤกศาตร์ ชื่อ Magnus von Lagerstroem (1691-1759), Director of the Swedish East Indies Company and friend of Linnaeus.
ชื่อชนิด 'loudonii' ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่ นักพฤกษศาสตร์และนักออกแบบภูมิทัศน์ชาวสกอต ชื่อ John Claudius Loudon (1783-1843)
ชื่อชนิด 'tomentosa' หมายถึง 'ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มทั้งหน้าใบและหลังใบ'
๐ ชื่อสามัญ (Common Name): Thai Bungor, Bungur, Burmese Bungor
๐ ชนิด (Type): ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ (Large evergreen tree)
๐ วงศ์ (Family): Lythraceae
๐ ถิ่นกำเนิด (Native Range) : เมียนม่า ไทย กัมพูชา ลาว
๐ ความสูงของทรงพุ่ม (Height) : 9-20 เมตร
๐ ความกว้างของทรงพุ่ม: 5-10 เมตร
๐ ระยะเวลาดอกบาน (Bloom Time): กุมภาพันธ์ ถึง เมษายน ออกดอกแบบช่อกระจุก (Cymose) บริเวณซอกใบ หรือปลายกิ่ง ในช่อดอกจะมีดอกย่อยที่เกิดก่อนอยู่บริเวณตรงกลางช่อดอก หรือปลายช่อดอก โดยดอกย่อยจะเริ่มบานจากจุดเหล่านี้ ในหนึ่งช่อดอกจะมีดอกย่อย 3 ดอก ดอกย่อยมีกลีบดอก 6-7 กลีบ ๆ ดอกมีสีม่วง เมื่อใกล้จะร่วงเปลี่ยนเป็นสีขาว เกสรสีเหลือง

๐ ความต้องการแสง (Sun): แดดเต็มวัน
๐ ความต้องการน้ำ (Water): ปานกลาง
๐ การดูแลรักษา (Maintenance): ช่วงการให้ดอกจะมีการทิ้งเกสรและกลีบดอกจำนวนมาก
๐ การใช้งานที่แนะนำ (Suggested Use): ปลูกประดับสวนกลางแจ้ง
๐ ใบไม้ (Leaf): มีใบเป็นใบเดี่ยว ใบออกเรียงตรงข้ามบนกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปรีแกมขอบขนาน (Oblong) เส้นใบชัด ปลายใบเรียวแหลมเป็นติ่งแหลมสั้นๆ โคนใบมน พื้นใบสีเขียว ผิวใบอ่อนมีขนอ่อนนุ่มทั้งสองด้าน ลำต้นมีเปลือกสีดำ เปลือกลำต้นแตกเป็นร่องเล็กๆ ตามยาวลำต้น เรือนยอดเป็นพุ่มรีหรือแผ่กว้าง กิ่งก้านมักคดงอ ปลายกิ่งมักลู่ลง

๐ การเพาะปลูก (Culture)
ในธรรมชาติพบขึ้นอยู่ตามพื้นที่ป่าไม้ผลัดใบ สามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูงมีความสามารถในการระบายน้ำได้ดีในระดับปานกลางถึงระบายน้ำได้ดีมาก นิยมขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง และการเพาะเมล็ด จัดเป็นต้นไม้ที่มีการเติบโตในระดับปานกลาง

๐ ปัญหา (Problems)
ระมัดระวังโรคใบจุด จากเชื้อราหรือแบคทีเรีย โรคราน้ำค้าง นอกจากนี้ยังดึงดูดและถูกเข้าโจมตีโดยง่ายจากเพลี้ยชนิดต่างๆ

โคลงเคลงเลื้อย ไม้คลุมดินก็ได้ ไม้แขวนก็ดี มีดอกสีชมพูสดใส Heterotis rotundifolia

๐ โคลงเคลงเลื้อย

๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Heterotis rotundifolia ชื่อพ้อง Osbeckia rotundifolia, Dissotis plumosa, Dissotis rotundifolia
ชื่อสกุล 'Heterotis' มาจากคําภาษากรีก 'héteros' หมายถึง 'แตกต่าง' แต่ละชนิดพันธุ์ของต้นไม้ในสกุลนี้ มีความแข็งแกร่งที่ไม่เท่ากัน
ชนิดพันธุ์ 'rotundifolia' มาจากภาษาละตินคำว่า 'rotundus' หมายถึง 'รูปร่างกลม' และ 'folium' หมายถึง 'ใบ' แสดงสัณฐานใบค่อนข้างกลม
๐ ชื่อสามัญ (Common Name): Dwarf tibouchina, pinklady, Rock rose, Spanish shawl, Trailing tibouchina
๐ ชนิด (Type): ไม้เนื้ออ่อนที่มีอายุหลายปี (Herbaceous perennial) ไม้คลุมดิน (Groundcover)
๐ วงศ์ (Family): Melastomataceae
๐ ถิ่นกำเนิด (Native Range) : แอฟริกาเขตร้อน อาทิ แองโกลา แคเมอรูน คองโก อิเควทอเรียลกินี เอธิโอเปีย กานา กินี กินี-บิสเซา ไอวอรีโคสต์ เคนยา ไลบีเรีย มาลาวี โมซัมบิก ไนจีเรีย เซียร์ราลีโอน แทนซาเนีย โตโก ยูกันดา แซมเบีย และซิมบับเว ในธรรมชาติซึ่งเติบโตใกล้หนองน้ํา ในป่าชื้น และตามลําธาร
๐ ความสูงของทรงพุ่ม (Height) : 15 ถึง 30 เซนติเมตร
๐ ความกว้างของทรงพุ่ม (Spread) : 60 ถึง 90 เซนติเมตร
๐ ระยะเวลาดอกบาน (Bloom Time): ออกดอกตลอดทั้งปี ทั้งนี้หลังจากดอกบานจะร่วงลงภายใน 1 ถึง 2 วัน ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวสีม่วงสด บริเวณซอกใบปลายยอด กลีบดอกบาง 4 – 5 กลีบ ปลายกลีบดอกมน เกสรตัวผู้และตัวเมียยืดพ้นตัวดอก ออกดอกตลอดปี
๐ ความต้องการแสง (Sun): แดดเต็มวัน หรือมีแดดอย่างน้อย 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ร่มรำไร จะมีการเติบโตช้าลำต้นยืด ใบบาง และให้ดอกน้อย
๐ ความต้องการน้ำ (Water): ปานกลาง ควรรักษาความชื้นให้ได้ตลอดตลอดทั้งวัน สามารถทนแล้งได้เป็นระยะเวลาหลายวัน แต่พยายามหลีกเลี่ยงโดยรักษาความชื้นอย่างสม่ำเสมอ
๐ การดูแลรักษา (Maintenance): ต่ำ
๐ การใช้งานที่แนะนำ (Suggested Use): ไม้คลุมดินตกแต่งสวนในพื้นที่ขนาดเล็ก พื้นที่แคบ หรือเลื้อยไปตามกำแพงหิน ใช้เป็นไม้แขวนในพื้นที่ได้รับแสงเต็มวัน
๐ ใบไม้ (Leaf): ลำต้นค่อนข้างทอดเลื้อย กิ่ง และใบมีขนอ่อน ๆ ขึ้นปกคลุม กิ่งและก้านใบมีสีออมแดง กิ่งแก่สีน้ำตาล มีใบเดี่ยวขึ้นเรียงตรงข้ามบนกิ่ง ใบรูปไข่ (Ovate) แผ่นใบมีรูปคล้ายไข่ โดยมีส่วนกว้างที่สุดของแผ่นใบค่อนมาทางฐานใบแล้วค่อย ๆ เรียวไปทางปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ใบด้านบนเป็นมัน ใบแก่เนื้อใบสีเขียว เส้นใบชัดจมลงเล็กน้อย โดยพาดจากฐานไปไปยังปลายใบ

๐ การเพาะปลูก (Culture)
เป็นไม้คลุมดินที่มีอายุหลายปี มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ลำต้นอ่อนหากปลูกลงดินกิ่งที่แผ่ขนานไปกับดิน ทรงพุ่มจะมีลักษณะเป็นกองแผ่กิ่งก้าน ลำต้นที่เกิดใหม่มักจะเติบโตในแนวนอนไปทางด้านข้าง ควรปลูกในดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง มีความสามารถในการระบายน้ำได้ดีในระดับปานกลางถึงระบายน้ำได้ดีมากเมื่อปลูกในตะกร้าหรือภาชนะ ขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่ง หรือปักชำยอด

๐ ปัญหา (Problems)
มีโรคและแมลงที่ร้ายแรงเข้าทำลาย ในกรณีปลูกในพื้นที่กึ่งร่มให้ระมัดระวังการเข้าทำลายของเชื้อราบางประเภท

อโศกอินเดีย ไม้บังลม ปลูกในที่แคบได้ดีอย่างที่ไม้อื่นให้ได้ยาก

๐ อโศกอินเดีย

๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Polyalthia longifolia var. pendula ชื่อพ้อง Polyalthia longifolia 'Temple Pillar', Monoon longifolium ‘Pendula'
ชื่อสกุล ‘Polyalthia' มาจากคำในภาษากรีก 'poly' หมายถึง ‘หลาย' และ 'althia' หมายถึง ‘คุณสมบัติในการรักษา’ ซึ่งแสดงถึงคุณสมบัติทางยาจากดอกไม้ของพืชบางชนิดในสกุลนี้
ชื่อชนิด 'longifolia' ภาษาละติน 'longus' หมายถึง ‘ยาว' และ 'folium' หมายถึง ‘ใบ’ แสดงถึงสัณฐานใบยาว
๐ ชื่อสามัญ (Common Name): False Ashoka, False Asoka, Mast Tree, Indian Mast Tree, Weeping Mast Tree, Green Champa
๐ ชนิด (Type): ไม้ยืนต้นขนาดกลางไม่ผลัดใบ (Medium Evergreen tree)
๐ วงศ์ (Family): Annonaceae
๐ ถิ่นกำเนิด (Native Range) : ภูมิภาคตอนใต้ของอินเดีย ศรีลังกา
๐ ความสูงของทรงพุ่ม (Height) : 6-15 เมตร (สามารถสูงได้ถึง 20 เมตร)
๐ ความกว้างของทรงพุ่ม: 1-2 เมตร
๐ ระยะเวลาดอกบาน (Bloom Time): เดือน มกราคม ถึง มีนาคม ออกดอกแบบช่อกระจุกที่ซอกใบของกิ่งแก่ ช่อดอกห้อย ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบดอกสีครีม ติดผลได้ ผลย่อยรูปไข่กลับ ผิวเรียบ ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกมีสีด ผลสุกเป็นอาหารโปรดของค้างคาวและนก
๐ ความต้องการแสง (Sun): แดดเต็มวัน ถึงแดดบางส่วนของวัน ควรได้รับแสงแดดอย่างน้อยสี่ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน
๐ ความต้องการน้ำ (Water): ปานกลาง
๐ การดูแลรักษา (Maintenance): ตัดแต่งแนวพุ่มใบแนวโคนต้นให้โปร่งเห็นลำต้น เพื่อดูแลรักษาได้โดยง่าย
๐ การใช้งานที่แนะนำ (Suggested Use): ปลูกเป็นต้นไม้ริมถนน ไม้ยืนต้นป้องกันแนวฝุ่น และลมแรง ตลอดจนไม้ยืนต้นในพื้นที่แคบ

๐ ใบไม้ (Leaf): มีเรือนยอดรูปกรวย (conical) เปลือกต้นสีน้ำตาลผิวเรียบ มีขีดแคบยาว เป็นรอยด่างสีขาวทั่วทั้งลำต้น กิ่งอ่อนปลายกิ่งลู่ลง มีใบเดี่ยวขึ้นเรียงสลับระนาบเดียวบนกิ่ง รูปใบหอก (lanceolate) ปลายใบแหลม โคนใบสอบ เนื้อใบสีเขียวเข้มเรียบเป็นมัน ขอบใบเป็นคลื่น

๐ การเพาะปลูก (Culture)
เป็นต้นไม้ที่เติบโตเร็วพอสมควร เติบโตได้ดีในดินที่มีความสามารถในการระบายน้ำดี อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอินทรีย์วัตถุสูง โดยดินเหล่านั้นต้องสามารถรักษาความชื้นได้ดี ซึ่งจะสนับสนุนการเจริญเติบโตของต้นอย่างต่อเนื่อง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่ง ทั้งนี้การเพาะเมล็ดควรใช้ผลที่สุกเต็มที่และทิ้งให้เปลือกแห้ง หรือลอกเปลือก และเนื้อยาง ๆ ที่ติดเมล็ดออกให้หมด

๐ ปัญหา (Problems)
ไม่มีปัญหาโรคและแมลงศัตรูที่ร้ายแรงเข้าทำลาย

ตาเบบูญ่าแดง แดงปรีดียาธร ดอกสีแดงสด แปลกตาไม่เหมือนใคร Tabebuia haemantha

๐ ตาเบบูญ่าแดง แดงปรีดียาธร

๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Tabebuia haemantha ชื่อพ้อง Bignonia haemantha
ชื่อสกุล 'Tabebuia' มาจากภาษา Tupi-Guarani ของชาวพื้นเมืองในบราซิล เรียกว่า tabebuia หรือ taiaveruia หมายถึง 'ต้นไม้ที่มีเปลือกแตก'
ชื่อชนิด 'haemantha' มาจากคำในภาษากรีก 'haima' หมายถึง ‘เลือด' และ 'anthos' หมายถึง ‘ดอกไม้' แสดงถึงสัณฐานของดอกไม้ที่มีสีแดงสดเหมือนสีเลือด บ้างก็ว่า กลีบดอกบางและบอบบาง ร่วงโรยง่าย เปรียบเสมือนหยดเลือด
๐ ชื่อสามัญ (Common Name): Blood-Red Trumpet Tree, Roble Cimarron, Roble Cimmaron
๐ ชนิด (Type): ไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ (Small evergreen tree) หรือ ไม้พุ่มสูงผลัดใบ (Large evergreen shrub) ในบางพื้นที่นิยามเป็นไม้ผลัดใบก็ได้เนื่องจากภาวะกระทบแล้ง จะทิ้งใบเกือบหมดทั้งต้นเพื่อลดปริมาณการคายน้ำของพืช
๐ วงศ์ (Family): Bignoniaceae
๐ ถิ่นกำเนิด (Native Range) : หมู่เกาะเปอร์โตริโก ในทะเลแคริบเบียน อเมริกากลาง
๐ ความสูงของทรงพุ่ม (Height) : 3-8 เมตร
๐ ความกว้างของทรงพุ่ม: 2-5 เมตร
๐ ระยะเวลาดอกบาน (Bloom Time): ตลอดปี ดอกสีบานเย็นเข้ม หรือแดงเข้ม ออกดอกเป็นช่อดอกรวมแบบช่อกระจุก (Cymose type) ช่อดอกเกิดตามปลายยอด กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 6-10 ซม. ปลายกลีบแผ่บานออกคล้ายปากแตร ดอกมักจะบานไล่เลี่ยกันกัน แล้วทยอยร่วงหล่น
๐ ความต้องการแสง (Sun): แดดเต็มวัน ถึงแดดบางส่วนของวัน ควรได้รับแสงอย่างน้อย 4ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน
๐ ความต้องการน้ำ (Water): ปานกลาง
๐ การดูแลรักษา (Maintenance): ช่วงการให้ดอกจะมีการทิ้งเกสรและกลีบดอกจำนวนมาก
๐ การใช้งานที่แนะนำ (Suggested Use): ปลูกให้ร่มเงา ปลูกเป็นต้นไม้ถนน
๐ ใบไม้ (Leaf): เป็นใบประกอบรูปนิ้วมือ (Palmately compound leaf) ใบย่อย 5 ใบ รูปรีแกมขอบขนาน เส้นใบชัด ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน ใบหนา แผ่นใบสีเขียวเข้ม ลำต้นมีเปลือกสีน้ำตาลอมเทา ต้นที่มีอายุมากจะมีการแตกของเปลือกเป็นร่องตามแนวยาวของลำต้น

๐ การเพาะปลูก (Culture)
เติบโตได้ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูงมีความสามารถในการระบายน้ำได้ดี ชอบดินที่มีความชื้นสูง พยายามหลีกเลี่ยงดินแห้งหรือเก็บความชื้นไม่ได้ นิยมขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง และการเพาะเมล็ด

๐ ปัญหา (Problems)
เป็นต้นไม้ที่ไม่ค่อยมีโรคและแมลงที่อันตรายทำให้เกิดความเสียหายอย่างรวดเร็ว ควรระมัดระวังโรคใบ. และกิ่งแห้งตาย

ปีบยูนาน ไม้ยืนต้นชอบแดด แต่ปลูกเป็นไม้พุ่มให้ดอกก็ดี

๐ ปีบยูนาน ปีบไหนาน ปีบยูนนาน

๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Radermachera 'Kunming'
ชื่อสกุล 'Radermachera' ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ Jacobus Cornelius Matthaeus Radermacher
ชื่อชนิด ‘Kunming' หรือ ‘คุนหมิง' ชื่อลูกผสมที่มีการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ สันนิษฐานว่าตั้งชื่อจากสถานที่ปรับปรุงพันธุ์
๐ ชื่อสามัญ (Common Name): Dwarf Tree Jasmine
๐ ชนิด (Type): ไม้ยืนต้นขนาดกลางผลัดใบ (Medium deciduous tree)
๐ วงศ์ (Family): Bignoniaceae
๐ ถิ่นกำเนิด (Native Range) : ตอนใต้ของจีน
๐ ความสูงของทรงพุ่ม (Height) : 8 -16 เมตร
๐ ความกว้างของทรงพุ่ม: 5 -10 เมตร
๐ ระยะเวลาดอกบาน (Bloom Time): ทยอยออกดอกตลอดปี ออกดอกแบบช่อกระจุก (cymose type) ช่อดอกที่มีดอกย่อยที่เกิดก่อนอยู่ตรงกลาง ออกตามปลายกิ่ง หรือตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกย่อยมีกลีบดอกสีขาว ดอกตูมมีกลีบดอกสีม่วงอ่อน ๆ กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 6-10 ซม. ปลายกลีบแผ่บานออกคล้ายปากแตร แยกเป็น 5 แฉก แฉกกลีบดอกยับย่น ขอบแฉกมีขนขึ้นปกคลุม หลอดกลีบดอกด้านในมีเส้นสีส้มเจือในหลอดกลีบดอก มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ดึงดูดแมลงได้ดี สามารถติดเมล็ดได้
๐ ความต้องการแสง (Sun): แดดเต็มวัน หรือแดดบางส่วนของวัน
๐ ความต้องการน้ำ (Water): ปานกลาง
๐ การดูแลรักษา (Maintenance): ต่ำ
๐ การใช้งานที่แนะนำ (Suggested Use): ปลูกเป็นไม้ประดับแนวถนน ไม้ยืนต้นปลูกให้ดอกในพื้นที่สวนกลางแจ้ง ใช้เป็นต้นไม้ดึงดูดผีเสื้อ นกฮัมมิ่งเบิร์ด และแมลงผสมเกสรอื่นๆ
๐ ใบไม้ (Leaf): มีเรือนยอดต้นไม้ทรงกลมหรือรูปไข่ มีลําต้นตั้งตรงแตกแขนงทรงพุ่มใบแน่น ลำต้นมีเปลือกเรียบ น้ำตาลสีเทา มีช่องอากาศ (lenticel) จำนวนมาก ใบประกอบแบบขนนกสองชั้นปลายใบเดี่ยว ขึ้นตรงกันข้ามบนกิ่งใบย่อยมีรูปรี ฐานใบสอบ ปลายใบแหลม พื้นใบมีสีเขียวเป็นมัน มีขอบใบเรียบ
๐ การเพาะปลูก (Culture)
เป็นต้นไม้ที่มีเรือนยอดเป็นพุ่มแน่น อัตราการเติบโตปานกลาง ต้องการดินปลูกที่มีความสามารถระบายน้ำดี ร่วนและถ่ายเทอากาศได้ดี ลงดินปลูกให้มีอินทรีย์วัตถุสูงจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชได้ดีมากยิ่งขึ้น ถึงแม้มีความต้องการน้ำในระดับปานกลางแต่ก็สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ฝนตกชุก ดินไม่ขังน้ำชื้นแฉะ นิยมขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง

๐ ปัญหา (Problems)
มักถูกเข้าทำลายโดยแมลงปากกัด อาทิ หนอนผีเสื้อ ตั๊กแตน เป็นต้น

สวนญี่ปุ่น ทำได้ดี ทำถึง ญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น จากข้าวซอยโซอิ เชียงใหม่ I มือเย็น 108 พันไอเดีย

๐ มือเย็น 108 พันไอเดีย พาทุกท่านที่อยากตกแต่งสวนญี่ปุ่นไปหาไอเดียจากสวนญี่ปุ่นในร้านข้าวโวอิ ฟ้าฮ่าม เชียงใหม่

๐ คติความเชื่อแต่โบราณนานมาเรียกขานคนที่ปลูกอะไรก็งาม ปลูกอะไรก็ขึ้นว่าเป็นคน 'มือเย็น' ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า 'Green Thumb' หรือพวกหัวแม่โป้งเขียว ก็คือคนมือเย็นน้่นเอง

๐ Muuyehn Studio หรือ มือเย็น สตูดิโอ เป็นช่องที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจให้คนทั้งมือเย็น มือไม่เย็น มืออุ่น มือร้อน มือไหนๆ ก็ปลูกต้นไม้ได้งอกงามดี ขอแค่ทำความรู้จักและรักที่จะปลูก
ถึงปลูกแล้วตาย ปลูกแล้วโตช้าก็อย่าได้แคร์ ขอให้ปลูกกันต่อไปนะครับผม

มิกกี้เมาส์ ไม้พุ่มให้ดอกสีสันสดใส นกก็โปรดปราน ผีเสื้อก็รักมาก Ochna serrulata

๐ มิกกี้เมาส์

๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Ochna serrulata ชื่อพ้อง. Ochna thomasiana Ocha kirkii
ชื่อสกุล 'Ochna' มาจากคำในภาษากรีก 'ochne' หมายถึง ลูกแพรป่า แสดงถึงสัณฐานของผลที่มีความคล้ายคลึงกับลูกแพรป่า
ชื่อชนิด 'serrulata' คำในภาษาละติน 'serratus' หมายถึง 'ฟันเลื่อย' แสดงถึงสัณฐานของขอบใบจักเป็นฟันย่อย ๆ
๐ ชื่อสามัญ (Common Name): Micky mouse, Bird’s bush, Carnival bush
๐ ชนิด (Type): ไม้พุ่มสูงผลัดใบ (Large deciduous shrubs)
๐ วงศ์ (Family): Ochnaceae
๐ ถิ่นกำเนิด (Native Range) : อาฟริกาใต้
๐ ความสูงของทรงพุ่ม (Height) : 1.5-5 เมตร
๐ ความกว้างของทรงพุ่ม: 1-3 เมตร
๐ ระยะเวลาดอกบาน (Bloom Time): ออกดอกตลอดทั้งปี ออกดอกแบบช่อกระจุก (Cymose) บริเวณซอกใบ หรือปลายกิ่ง ออกที่ซอกใบและใกล้ปลายกิ่งที่ไม่มีใบ ในบางสถานที่อาจจะทิ้งพร้อมกันหมดต้นมักออกดอกพร้อมแตกใบใหม่ หรืออาจจะไม่มีการผลัดใบก็เป็นไปได้ แต่ละช่อมี 3-5 ดอก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ และกลีบดอกสีเหลืองสด 5 กลีบ มีเกษรเพศผู้และเพศเมียยื่นพ้นกลีบดอกคล้ายพู่ ติดผลได้ดี โดยผลกลมคล้ายลูกแพร ผลอ่อนมีสีเขียวเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นจะกลายเป็นสีแดงสด ช่วงออกดอกดึงดูดนกและผีเสื้อได้ดี
๐ ความต้องการแสง (Sun): แดดเต็มวัน หรือแดดบางส่วนของวัน อย่างน้อย 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน
๐ ความต้องการน้ำ (Water): ปานกลาง
๐ การดูแลรักษา (Maintenance): ช่วงการให้ดอกจะมีการทิ้งเกสรและกลีบดอกจำนวนมาก
๐ การใช้งานที่แนะนำ (Suggested Use): ปลูกประดับสวนกลางแจ้ง ปลูกเป็นไม้กระถางเน้นให้ดอก
๐ ใบไม้ (Leaf): ลำต้นสีน้ำตาลอมเทาเข้ม ผิวเปลือกขลุกขลัก แต่กิ่งก้านได้ดีแบบไม้พุ่ม เมื่อทิ้งใบทำให้ทรงพุ่มโปร่งแต่จะมีการแตกใบใหม่ไปพร้อมพร้อมกันด้วย มีใบเป็นใบเดี่ยว ใบออกเรียงตรงข้ามบนกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปรีแกมขอบขนาน (Oblong) เส้นใบชัด ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ พื้นใบสีเขียว ขอบใบจักฟันเลื่อยถี่ ผิวใบเรียบ
๐ การเพาะปลูก (Culture)
ในธรรมชาติพบขึ้นอยู่ตามพื้นที่ป่าไม้ผลัดใบ สามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูงมีความสามารถในการระบายน้ำได้ดีในระดับปานกลางถึงระบายน้ำได้ดีมาก นิยมขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง และการเพาะเมล็ด จัดเป็นต้นไม้ที่มีการเติบโตในระดับปานกลาง

๐ ปัญหา (Problems)
ระมัดระวังโรคใบจุด จากเชื้อราหรือแบคทีเรีย โรคราน้ำค้าง

แมลงปากกัด ด้วงกุหลาบ ด้วงหมัดผัก ปลวก กำจัดโดยไม่ใช้สารเคมี ด้วยเมทาซาน I มือเย็น สวนปลอดภัย ใช้ชีวภัณฑ์

๐ ชีวภัณฑ์ปฏิปักษ์แมลงศัตรูพืชของ Appliedchem (Thailand)Co.,Ltd. ที่ใช้ในการกำจัดแมลงปากกัดและแมลงปากดูดหลายชนิดอย่างได้ผล มีชื่อการค้าว่า 'เมทาซาน' ซึ่งก็คือ เชื้อรา เมตาไรเซียม อะนิโซเพล (Metarhizium anisopliae) ที่ถูกผลิตให้อยู่ในรูปละลายน้ำ เข้มข้น 1x109 cfu/gm โดยขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร เลขที่ 263-2557 (ทะเบียนหมดอายุ 24 ก.พ. 2569)

๐ เมตาไรเซียม อะนิโซเพลีย (Metarhizium anisopliae) ถือเป็นเชื้อราที่เป็นศัตรูธรรมชาติของแมลงที่สำคัญในการควบคุมศัตรูพืชและแมลงนำโรคของคนทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 150 ปีแล้ว เชื้อรา เมตาไรเซียม อะนิโซเพล หรือ Metarhizium นี้ เป็นเชื้อราสีเขียวที่เป็นศัตรูธรรมชาติของแมลงหลายชนิด จัดอยู่ในกลุ่มของรา (Fungi) ซึ่งพบได้ทั่วไปในดินบริเวณรากพืชหรือซากแมลง โดยดำรงชีวิตแบบปรสิต (saprophyte) เชื้อรานี้มีความสามารถในการโจมตีและฆ่าแมลงมากกว่า 200 ชนิด รวมถึงแมลงศัตรูพืชทางการเกษตร และทางการแพทย์ โดย Metarhizium เจริญเติบโตในดินและสามารถติดเชื้อแมลงผ่านการเกาะติดและเจาะผ่านผิวหนังของแมลง จากนั้นแพร่กระจายภายในตัวแมลงจนทำให้แมลงศัตรูพืชนั้นตายลง

๐ Metarhizium มีกลไกในการกำจัดแมลงศัตรูพืช 3 ขั้นตอนสำคัญ ประกอบด้วย
1. การเกาะติดและเจาะผ่านผิวหนัง (Attachment and Pe*******on) : สปอร์ของเชื้อราเมตาไรเซียมจะเกาะติดบนผิวของแมลง โดยใช้เอนไซม์โปรติเอส และแรงกดเพื่อเจาะผ่านผิวเข้าในตัวของแมลง
2. การเจริญเติบโตภายใน (Internal Proliferation): เชื้อราเมตาไรเซียมแพร่กระจายภายในตัวแมลง โดยผลิตสารเมตาโบไลต์ทุติยภูมิจำนวนมาก รวมถึงสารพิษชนิดหนึ่งที่เรียกว่า DTXs ซึ่งทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของแมลงเสียหาย ส่งผลให้ระบบต่าง ๆในร่างกายล้มเหลว แมลงเป็นอัมพาต และตายลงในที่สุด
3. การตายของแมลงและการผลิตสปอร์ใหม่ (Host Death and Spore Production): แมลงที่ติดเชื้อราเมตาไรเซียมจะตายลง และเชื้อราจะผลิตสปอร์ใหม่เพื่อแพร่กระจายไปยังแมลงตัวอื่น ๆ ต่อไป

๐ สรรพคุณของ เมตาไรเซียม อะนิโซเพลีย (Metarhizium anisopliae)
ป้องกันกำจัดด้วงกุหลาบ ด้วงแรด ด้วงหมัดผัก ด้วงหนวดยาว หนอนด้วงชนิดต่าง ๆ เต่าแตง ค่อมทอง แมลงดำหนาม หนอนเจาะลำต้น ผีเสื้อกลางคืนหลายชนิด ตั๊กแตน เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ปลวก เพลี้ยจักจั่น ไรแดงแอฟริกัน ฯลฯ สามารถใช้ฉีดพ่นพืชผัก ไม้ผลและไม้ดอกไม้ประดับทุกชนิดในทุกระยะการเจริญเติบโตของพืช
๐ อัตราใช้ เมทาซาน หรือ เมตาไรเซียม อะนิโซเพลีย (Metarhizium anisopliae)
เพื่อการป้องกันใช้อัตรา 80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมสารจับใบ ฉีดพ่นซ้ำทุกๆ 7-10 วัน
หากแมลงระบาดแล้วใช้อัตรา 100-150 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมสารจับใบ ฉีดพ่นซ้ำทุกๆ 3-5 วัน จนกว่าแมลงจะหยุดระบาด
กรณีที่พบด้วงและหนอนที่อยู่ในบริเวณที่ไม่สามารถฉีดพ่นได้ ให้ทำกับดักล่อโดยการทำกองปุ๋ยหมักโดยใช้ปุ๋ยหมักที่มีส่วนผสมของขี้วัวที่หมักสุกดีแล้ว ขนาดประมาณ 1 x 1 เมตร สูง 0.5 เมตร ราดน้ำให้ชุ่ม แล้วละลายเมทาซานในอัตรา 200 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรราดบนกองปุ๋ยหมักด้วยให้ทั่ว หาวัสดุคลุมกองล่อ เช่น ทางมะพร้าว หรือเศษใบไม้ เพื่อรักษาความชื้นในกองล่อ กลับกองปุ๋ยและราดเชื้อซ้ำทุก 2-4 สัปดาห์
สามารถใช้ผสมฉีดพ่นพร้อมกันกับชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช ยาเคมีกำจัดแมลง ตลอดจนปุ๋ยทาง ใบ ฮอร์โมน และธาตุอาหารเสริมต่างๆ ได้ แต่ห้ามใช้ผสมฉีดพ่นพร้อมกับชีวภัณฑ์และยาเคมีป้องกันกำจัดโรคพืช
๐ วิธีการเก็บรักษา
ให้เก็บในภาชนะที่ปิดสนิท ในที่แห้งและเย็น ห่างจาก มือเด็ก อาหารและสัตว์เลี้ยง

๐ มือเย็นแนะนำให้ใช้ชีวภัณฑ์จาก Appliedchem (Thailand) Co.,Ltd. ซึ่งไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างไว้ในสวนของเรา
๐ สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.facebook.com/bioareus หรือค้นหาคำว่า Appliedchem-Thailand
๐ สั่งซื้อได้จาก
๐ Line เพียงเพิ่มเพื่อนแอดไลน์ไอดี :
๐ www.facebook.com/bioareus ครับผม